เมนู

3. อันธกวินทสูตร



ว่าด้วยสหัมบดีพรหมเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า



[611] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในอันธกวินทคาม
ในแคว้นมคธ.
ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งอยู่ในที่แจ้งในราตรี
คืนเดือนมืดและฝนกำลังตกประปรายอยู่.
ลำดับนั้นแล ท้าวสหัมบดีพรหม เมื่อราตรีปฐมยามล่วงไปแล้ว มี
รัศมีอันงดงามยิ่ง ยังอันธกวินทคามทั้งสิ้นให้สว่างแล้ว เข้าไปเฝ้พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควร
ข้างหนึ่ง.
[612] ท้าวสหัมบดีพรหมยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้
ภาษิตคาถาเหล่านั้นในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ภิกษุพึงเสพที่นอนและที่นั่งอันสงัด
พึงประพฤติเพื่อควานหลุดพ้นจากสัญโญชน์
ถ้าว่าภิกษุไม่พึงได้ความยินดีในที่นั้นไซร้
ก็พึงเป็นผู้มีตนรักษาแล้ว มีสติ พึงอยู่ใน
หมู่ภิกษุผู้เที่ยวไปอยู่จากตระกูลสู่ตระกูล
เพื่อบิณฑบาต มีอันทรีย์อันคุ้มครองแล้ว
มีปัญญารักษาตน มีสติ พึงเสพที่นอนและ
ที่นั่งอันสงัด ภิกษุพ้นแล้วจากภัย น้อม
ไปแล้วในธรรมอันไม่มีภัย ปราศจากความ
สยดสยอง นั่งอยู่แล้วในที่มีสัตว์เลื้อย-

คลาน อันน่ากลัว สายฟัาฉวัดเฉวียน ฝน
ตกในราตรีอันมืด ก็ข้าพระองค์ไม่อาจ
กำหนดนับในใจของข้าพระองค์ได้เลยว่า
เหตุนี้ข้าพระองค์เคยเห็นแล้วแน่ ข้าพระ-
องค์ไม่กล่าวถึงเห็นนี้ว่าเป็นอย่างนี้ใน
พรหมจรรย์ (คือธรรมเทศนา) คราวหนึ่ง
เถิดมีพระขีณาสพผู้ละความตายได้มีจำนวน
พัน พระเสขะมากกว่าห้าร้อย และพระ-
เสขะทั้งสิบ ทั้งร้อย ทั้งหมดถึงถระแส
มรรคแล้ว ไม่ไปสู่กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน
ส่วนหมู่สัตว์นอกนี้เป็นผู้มีส่วนบุญดังนี้
เพราะกลัวมุสาวาท.


อรรถกถาอันธกวินทสูตร



ในอันธกวินทสูตรที่ 3 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-
บทว่า อนฺธกวินฺทํ ความว่า บ้านมีชื่ออย่างนั้น . บทว่า อุปสงฺกมิ
ความว่า ท้าวสหัมบดีพรหมคิดว่า พระศาสดาทรงกระทำความเพียรอยู่แม้ใน
บัดนี้ ชนทั้งหลายประกอบความเพียรกันเนือง ๆ เราจะไปยืนอยู่ในสำนักแล้ว
จักกล่าวคาถาว่าด้วยเรื่องความเพียรที่เหมาะแก่คำสอน ดังนี้จึงเข้าไปเฝ้า.
บทว่า ปนฺตานิ ความว่า เสนาสนะที่อยู่นอกถิ่นมนุษย์เลยชุมชน
ออกไป. บทว่า สญฺโญชนวิปฺปโมกฺขา ความว่า เมื่อเสพเสนาสนะเหล่า