เมนู

พืชชนิดใดชนิดหนึ่งที่บุคคลหว่าน
ลงในนา ย่อมงอกขึ้นเพราะอาศัยเหตุ 2
ประการ คือ รสในแผ่นดิน และยาง
ในพืช ฉันใด ขันธ์ ธาตุ และอายตนะ
6 เหล่านี้ ก็เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุ ดับไป
เพราะเหตุดับ ฉันนั้น.

ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า เสลาภิกษุณีรู้จักเรา ดังนี้
จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง.

อรรถกถาเสลาสูตร



ในเสลาสูตรที่ 9 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า เกนทํ ปกตํ ความว่า ใครสร้างรูปนี้. ด้วยบทว่า พิมฺพํ
ท่านกล่าวหมายเอาอัตภาพ. ด้วยบทว่า อฆํ ท่านกล่าวเฉพาะอัตภาพ เพราะ
เป็นที่ตั้งแห่งทุกข์. บทว่า เหตุภงฺคา ได้แก่ เหตุดับ เพราะปัจจยับกพร่อง.
จบอรรถกถาเสลาสูตรที่ 9

10. วชิราสูตร



ว่าด้วยมารรบกวนวชิราภิกษุณี



[552] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี.
ครั้งนั้น เวลาเช้า วชิราภิกษุณีนุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไป
บิณฑบาตยังกรุงสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาตไปในกรุงสาวัตถีแล้ว เวลาปัจฉาภัต
กลับจากบิณฑบาตแล้ว เข้าไปยังป่าอันธวันเพื่อพักกลางวัน ครั้นถึงป่าอันธวัน
แล้ว จึงนั่งพักกลางวันที่โคนไม้ต้นหนึ่ง.
[553] ลำดับนั้น มารผู้มีบาปใคร่จะให้วชิราภิกษุณีบังเกิดความกลัว
ความหวาดเสียว ขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงเข้า
ไปหาวชิราภิกษุณีถึงที่นั่งพัก ครั้นแล้วได้กล่าวกะวชิราภิกษุณีด้วยคาถาว่า
สัตว์นี้ ใครสร้าง ผู้สร้างสัตว์อยู่
ที่ไหน สัตว์บังเกิดในที่ไหน สัตว์ดับไป
ในที่ไหน.

[554] ลำดับนั้น วชิราภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่ใครหนอกล่าว
คาถา จะเป็นมนุษย์หรืออมมุษย์.
ทันใดนั้น วชิราภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่คือมารผู่มีบาปใคร่จะให้
เราบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้
เคลื่อนจากสมาธิ จึงกล่าวคาถา.
ครั้นวชิราภิกษุณีทราบว่า นี่คือมารผู้มีบาป แล้วจึงได้กล่าวกะมาร
ผู้มีบาปด้วยคาถาว่า