เมนู

อรรถกถานันทิสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ 2 ต่อไป :-
บทว่า นนฺทติ แปลว่า ย่อมยินดี คือ ย่อมมีใจเป็นของ ๆ ตน.
บทว่า ปุตฺติมา ได้แก่ มีบุตรมาก. จริงอยู่ บุตรบางพวกทำกสิกรรมแล้ว
ย่อมยังยุ้งข้าวเปลือกให้เต็ม บางพวกทำการค้าแล้วย่อมนำเงินและทองมา
บางพวกบำรุงพระราชา (รับราชการ) ย่อมได้วัตถุทั้งหลายมียาน พาหนะ
คาม นิคมเป็นต้น. มารดาหรือบิดาเมื่อเสวยสิริอันเกิดขึ้นด้วยอานุภาพแห่งบุตร
เหล่านั้น ย่อมยินดี. อีกอย่างหนึ่ง มารดาหรือบิดาเห็นบุตรทั้งหลาย ผู้อันบุคคล
ตกแต่งประดับประดา ทำให้เกิดความยินดี เสวยอยู่ซึ่งสมบัติในวันรื่นเริง
เป็นต้น ย่อมยินดี. ด้วยเหตุนั้น เทวดา หมายเอาความเป็นไปนั้น จึงกล่าวว่า
นนฺทติ ปุตฺเตหิ ปุตฺติมา แปลว่า คนมีบุตรย่อมยินดีเพราะบุตรทั้งหลาย
ดังนี้. บทว่า โคหิ ตเถว ความว่า คนมีบุตรย่อมยินดีเพราะบุตร ฉันใด
แม้คนมีโค ก็ฉันนั้น คนมีโคเห็นมณฑลแห่งโค (สนามโค) สมบูรณ์แล้ว
เพราะอาศัยโคทั้งหลาย เสวยสมบัติ คือ เบญจโครส จึงชื่อว่า ย่อมยินดี
เพราะโคทั้งหลาย. บทว่า อุปธิ ในบทว่า อุปธีหิ นรสฺส นนฺทนา
นี้ได้แก่ อุปธิ 4 อย่าง คือ กามูปธิ (อุปธิคือกาม) ขันธูปธิ (อุปธิคือขันธ์)
กิเลสูปธิ (อุปธิคือกิเลส) และอภิสังขารูปธิ (อุปธิคืออภิสังขาร).
จริงอยู่ แม้กามทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสเรียกว่า อุปธิ
เพราะวจนัตถะนี้ว่า ความสุขที่บุคคลเข้าไปตั้งไว้ในกามคุณนี้ ก็เพราะความที่
กามเหล่านี้ เป็นที่อาศัยอยู่แห่งความสุขดังที่ตรัสไว้ อย่างนี้ว่า ความสุข ความ

โสมนัส อันใด อาศัยกามคุณ 5 เกิดขึ้น นี้ชื่อว่า ความพอใจในกามทั้งหลาย
ดังนี้.
แม้ขันธ์ทั้งหลาย ก็ตรัสเรียกว่า อุปธิ เพราะความที่ขันธ์เหล่านั้น
เป็นที่อาศัยอยู่ แห่งทุกข์ซึ่งมีขันธ์เป็นมูล. แม้กิเลสทั้งหลาย ก็ตรัสเรียกว่า
อุปธิ เพราะความที่กิเลสเหล่านั้นเป็นที่อาศัยอยู่แห่งทุกข์ในอบาย. แม้อภิสังขาร
ทั้งหลายก็ตรัสเรียกว่า อุปธิ เพราะความที่อภิสังขารเหล่านั้นเป็นที่อาศัยอยู่
แห่งทุกข์ในภพ.
แต่ในที่นี้ ท่านประสงค์เอา กามูปธิ เพราะกามคุณ 5 อัน
บุคคลบำรุงบำเรอด้วยอำนาจแห่งวัตถุทั้งหลาย มีการอยู่ในปราสาท 3 ฤดู
เป็นต้น มีที่นั่งที่นอนอาภรณ์เสื้อผ้าอันโอฬาร มีบริวารคอยบำเรอด้วยการ
ฟ้อนรำเป็นต้น เป็นเหตุนำมาซึ่งปีติโสมนัส ย่อมยังนระให้ยินดีอยู่ ฉะนั้น
บุตรทั้งหลายและโคทั้งหลาย ฉันใด พึงทราบว่า แม้อุปธิเหล่านี้ก็ฉันนั้น
เพราะเป็นที่ยินดีของนระ.
บาทแห่งคาถาว่า น หิ โส นนฺทติ โย นิรูปธิ ความว่า
บุคคลใด ไม่มีอุปธิ คือ เว้นจากการถึงพร้อมด้วยกามคุณ เป็นผู้ขัดสน มี
อาหารและเครื่องนุ่งห่มหาได้โดยยาก บุคคลนั้นแลย่อมยินดีไม่ได้.
ถามว่า มนุษย์เพียงดังเปรต มนุษย์เพียงดังสัตว์นรก เห็นปานนี้
จักยินดีอย่างไร.
ตอบว่า ข้อนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสวิสัชนาไว้แล้ว (ในคาถา
ที่ 27)
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสดับคำ (อันเทวดากล่าว) นี้แล้ว ทรงพระ
ดำริว่า เทวดานี้ ย่อมทำเรื่องแห่งความเศร้าโศกนั่นแหละ ให้เป็นเรื่องน่ายินดี
เราจักแสดงความที่สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องแห่งความเศร้าโศกแก่เธอ ดังนี้ เมื่อจะ

ทำลายวาทะของเทวดานั้น ด้วยอุปมานั้นนั่นเอง เหมือนบุคคลยังถ้อยคำอัน
เป็นเหตุผลให้ตกไปด้วยเหตุผล จึงทรงเปลี่ยนพระคาถานั้นนั่นแหละ แล้วตรัส
ว่า โสจติ เป็นอาทิ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โสจติ ปุตฺเตหิ ความว่า เมื่อบุตร
ทั้งหลายสูญหายไปก็ดี เสื่อมเสียไปก็ดี ด้วยอำนาจแห่งการเดินทางไปต่างประเทศ
แม้มีความสงสัยในบัดนี้ว่า จักสูญเสียไป มารดาและบิดาย่อมเศร้าโศก.
อนึ่ง เมื่อบุตรตายแล้วก็ดี กำลังจะตายก็ดี หรือถูกราชบุรุษหรือโจร
เป็นต้นจับตัวไป หรือว่าเข้าไปสู่เงื้อมมือของข้าศึกทั้งหลาย มารดาหรือบิดา
เป็นผู้มีความสงสัยว่าตายแล้วก็ดี ย่อมเศร้าโศก. เมื่อบุตรพลัดตกจากต้นไม้
หรือจากภูเขาเป็นต้น มีมือและเท้าหักก็ดี บอบช้ำก็ดี มีความสงสัยว่าแตกหัก
แล้วก็ดี มารดาหรือบิดาย่อมเศร้าโศก. บุคคลมีบุตรย่อมเศร้าโศกเพราะบุตร
ทั้งหลาย ฉันใด แม้คนมีโคก็ฉันนั้น ย่อมเศร้าโศกเพราะโคทั้งหลาย โดย
อาการ 9 อย่าง.
บาทพระคาถาว่า อุปธี หิ นรสฺส โสจนา ความว่า เหมือนอย่างว่า
บุตรและโคทั้งหลาย ฉันใด แม้อุปธิคือ กามคุณ 5 ก็ฉันนั้น ย่อมยังนระ
ให้เศร้าโศก โดยนัยที่ตรัสไว้ว่า
ตสฺส เจ กามยมานสฺส ฉนฺทชาตสฺส ชนฺตุโน
เต กามา ปริหายนฺติ สลุลวิทฺโธว รุปฺปติ
หากว่าสัตว์นั้นมีความรักใคร่มีความ
พอใจเกิดแล้ว กามเหล่านั้นย่อมยังเขาให้
ย่อยยับไป เหมือนบุคคลถูกลูกศรแทงแล้ว
ย่อมพินาศ ฉะนั้น.

เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ความเศร้าโศกของนระ ก็คือเรื่อง
ความเศร้าโศกนั่นแหละ. บทว่า น หิ โส โสจติ โย นิรูปธิ ความว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอธิบายไว้ว่า อุปธิ 4 เหล่านี้ ไม่มีแก่ผู้ใด ผู้นั้นย่อม
ไม่มีอุปธิ คือความเศร้าโศก ดูก่อนเทวดา เพราะเหตุนั้นแหละ พระมหา-
ขีณาสพจักเศร้าโศก หรือกำลังเศร้าโศกมีหรือ ดังนี้แล.
อรรถกถานันทิสูตรที่ 2

3. นัตถิปุตตสมสูตร



ว่าด้วยสิ่งที่ไม่มีอะไรเปรียบ



[28] เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้
กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ความรักเสมอด้วยบุตรไม่มี ทรัพย์
เสมอด้วยโคย่อมไม่มี แสงสว่างเสมอ
ด้วยดวงอาทิตย์ย่อมไม่มี สระทั้งหลาย
มีทะเลเป็นอย่างยิ่ง.

[29] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ความรักเสมอด้วยตนไม่มี ทรัพย์
เสมอด้วยข้าวเปลือกย่อมไม่มี แสงสว่าง
เสมอด้วยปัญญาย่อมไม่มี ฝนต่างหากเป็น
สระยอดเยี่ยม,