เมนู

อรรถกถามานกามสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ 9 ต่อไป :-
บทว่า มานกามสฺส ได้แก่ บุคคลผู้ใคร่อยู่ คือปรารถนาอยู่ซึ่ง
มานะ. บทว่า ทโม อธิบายว่า เทวดาย่อมกล่าวว่า ทมะอันเป็นไปในฝ่ายสมาธิ
ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้เห็นปานนี้. ก็ในบทว่า สจฺเจน ทนฺโต ทมสา อุเปโต
เวทนฺตคู วิสิตพฺรหฺมจริโย
แปลว่า บุคคลผู้ฝึกฝนแล้วด้วยสัจจะผู้เข้าถึง
แล้วด้วยทมะ ผู้ถึงที่สุดแห่งเวท ผู้อยู่จบพรหมจรรย์ ดังนี้ ท่านเรียกอินทรีย์
ว่า ทมะ. ในบทว่า ยทิ สจฺจา ทมา จาคา ขนฺตยา ภิยฺโยธ วิชฺชติ
แปลว่า ผิว่า จะมีธรรมอื่นยิ่งกว่า สัจจะ ทมะ จาคะ ขันติ ในโลกนี้
ดังนี้ ท่านเรียกปัญญา ว่า ทมะ. ในคำนี้ว่า ทาเนน ทเมน สํยเมน
สจฺจวาเทน อตฺถิ ปุญฺญํ อตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโม
แปลว่า บุญมีอยู่
การมาถึงแห่งบุญย่อมมี ด้วยทาน ด้วยทมะ. ด้วยสังยมะ ด้วยสัจจวาจา ดังนี้
ท่านเรียก อุโบสถกรรม ว่า ทมะ.
ในคำว่า สกฺขิสฺสสิ โข ตฺวํ ปุณฺณ อิมินา ทมูปสเมน
สมนฺนาคโต สุนาปรนฺตสฺมึ ชนปเท วิหริตุํ
แปลว่า ดูก่อนปุณณะ
เธอเป็นผู้ประกอบด้วยความอดทนด้วยความสงบนี้แล้ว จักอาจเพื่อ อยู่ใน
ชนบทสุนาปรันตะดังนี้ ท่านเรียก อธิวาสนขันติ ว่า ทมะ
แต่คำว่า ทมะ ในพระสูตรนี้ เป็นชื่อของธรรมอันเป็นฝ่ายสมาธิ
เพราะเหตุนั้น เทวดาจึงกล่าวว่า น โมนมตฺถิ อสมาหิตสฺส แปลว่า
ความรู้ย่อมไม่มีแก่ผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น. ในบทเหล่านั้น บทว่า โมนํ ได้แก่

ญาณในมรรค 4. จริงอยู่ ญาณในมรรค 4 นั้น ญาณใด ย่อมรู้ เหตุนั้น
ญาณนั้น จึงชื่อว่า โมนะ อธิบายว่า ย่อมรู้สัจจธรรม 4. บทว่า มจฺจุเธยฺยสฺส
ได้แก่ วัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ 3 จริงอยู่ วัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ 3 นั้น
ท่านเรียกว่า มัจจุเธยยะ เพราะอรรถว่า เป็นที่ตั้งแห่งความตาย.
บทว่า ปารํ ได้แก่ ฝั่ง (นิพพาน) คือที่ดับแห่งเตภูมิกวัฏนั้นแล.
บทว่า ตเรยฺย ได้แก่ พึงแทงตลอด หรือพึงถึง. คำนี้ ท่านกล่าวไว้ว่า
บุคคลผู้เดียวเมื่ออยู่ในป่าประมาทแล้ว ไม่พึงข้ามพ้น ไม่พึงแทงตลอด ไม่พึง
ถึงฝั่งแห่งเตภูมิกวัฎอันเป็นที่ตั้งแห่งมัจจุได้. ในบทว่า มานํ ปหาย ได้แก่
ละมานะ 9 อย่าง ด้วยพระอรหัตมรรค. บทว่า สุสมาหิตตฺโต ได้แก่
มีจิตตั้งมั่นดีแล้วด้วยอุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ. บทว่า สุเจตโส ได้แก่
จิตที่ดีสัมปยุตแล้วด้วยญาณ อธิบายว่า จริงอยู่ ท่านไม่เรียกว่า ผู้มีจิตดี
โดยปราศจากญาณ เพราะฉะนั้น ผู้นั้น จึงชื่อว่า มีจิตดี เพราะประกอบ
ด้วยญาณ. บทว่า สพฺพธิ วิปฺปมุตฺโต ความว่า พ้นไปแล้วในธรรม
ทั้งปวง มีขันธ์ และอายตนะเป็นต้น.
ในคำว่าว่า ตเรยฺย นี้ ท่านกล่าวว่า เมื่อก้าวล่วงเตภูมิกวัฏ แทงตลอด
ถึงพระนิพพานข้ามไป ดังนี้ จึงชื่อว่า การข้ามพ้นด้วยการแทงตลอด.
เพราะเหตุนี้ สิกขา 3 เป็นอันท่านกล่าวแล้วด้วยคาถานี้. อย่างไร คือ ขึ้นชื่อว่า
มานะ นี้ เป็นเครื่องทำลายศีล เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวถึงอธิศีลสิกขา
ด้วยคำว่า มานํ ปหาย แปลว่า ละมานะแล้ว. ท่านกล่าวอธิจิตตสิกขา
ด้วยคำว่า สุสมาหิตตฺโต แปลว่า มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว. ท่านแสดงปัญญาไว้
ด้วยจิตตศัพท์ ในคำว่า สุเจตโส นี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า แสดงอธิ-
ปัญญาสิกขา ด้วยคำว่า สุเจตโส นี้.

เมื่อศีลมี ก็ชื่อว่ามีอธิศีล เมื่อจิตมีก็ชื่อว่ามีอธิจิต เมื่อปัญญามีก็ชื่อว่า
มีอธิปัญญา เพราะฉะนั้น ศีล 5 ก็ดี ศีล 10 ก็ดี จึงชื่อว่าศีล ในที่นี้.
ปาฏิโมกขสังวร พึงทราบว่าชื่อว่า อธิศีล. สมาบัติ 8 ชื่อว่า จิต. ฌานอันเป็น
บาทแห่งวิปัสสนา ชื่อว่า อธิจิต. กัมมสัสกตญาณ ชื่อว่า ปัญญา. วิปัสสนา
ชื่อว่า อธิปัญญา.
จริงอยู่ ศีลที่เป็นไปในกาลที่พระพุทธเจ้ายังไม่เกิด ฉะนั้น ศีล 5
ศีล 10 ชื่อว่า ศีลเท่านั้น. ปาฎิโมกขสังวรศีลย่อมเป็นไปในกาลที่พุทธเจ้า
ทรงอุบัติขึ้น ฉะนั้น จึงชื่อว่า อธิศีล. แม้ในจิตและปัญญา ก็นัยนี้เหมือนกัน.
อีกอย่างหนึ่ง แม้ศีล 5 ศีล 10 อันผู้ปรารถนาพระนิพพาน สมาทาน
แล้วก็ชื่อว่า อธิศีลเหมือนกัน. แม้สมาบัติ 8 ที่เข้าถึงแล้ว ก็ชื่อว่า อธิจิต
เหมือนกัน.
หรือว่า โลกียศีลทั้งหมด ชื่อว่า ศีล เหมือนกัน โลกุตรศีล
ชื่อว่า อธิศีล. แม้ในจิตและปัญญา ก็นัยนี้เหมือนกัน. ท่านประมวลสิกขา
3 มากล่าวศาสนธรรมทั้งสิ้นไว้ ด้วยพระคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบอรรถกถามานกามสูตรที่ 9

10. อรัญญสูตร



[21] เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้
ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
วรรณะของภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ในป่า
ฉันภัตอยู่หนเดียว เป็นสัตบุรุษผู้ประพฤติ
ธรรมอันประเสริฐ ย่อมผ่องใสด้วยเหตุ
อะไร.

[22] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ภิกษุทั้งหลายไม่เศร้าโศกถึงปัจจัยที่
ล่วงแล้ว ไม่ปรารถนาปัจจัยที่ยังมาไม่ถึง
เลี้ยงตนด้วยปัจจัยที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า
วรรณะ(ของภิกษุทั้งหลายนั้น) ย่อมผ่องใส
ด้วยเหตุนั้น เพราะความปรารถนาถึง
ปัจจัยที่ยังไม่มาถึง และความโศกถึงปัจจัย
ที่ล่วงแล้ว พวกพาลภิกษุจึงซูบซีด
เหมือนต้นอ้อสดที่ถูกถอนเสียแล้ว ฉะนั้น

จบ นฬวรรค ที่ 1