เมนู

ข้าพเจ้าขอทำอัญชลีต่อท่าน ขอพูด
ท่านบางพวกในที่นี้ว่า พวกท่านถูกเขา
ทอดทิ้งหมดที่พึ่ง เป็นเหมือนเปรต.
ที่ข้าพเจ้ากล่าวนี้หมายเอาบุคคล
จำพวกที่อยู่ประมาท ส่วนท่านพวกใดอยู่
ไม่ประมาท ข้าพเจ้าขอนมัสการท่านพวก
นั้น.


อรรถกถาชันตุสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในชันตุสูตรที่ 5 ต่อไป :-
บทว่า โกสเลสุ วิหรนฺติ ความว่า เหล่าภิกษุเป็นอันมาก รับ
กัมมัฏฐานในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พากันไปอยู่แคว้นโกศล. บทว่า
อุทฺธตา ได้แก่ เป็นผู้มีปกติฟุ้งซ่าน เพราะสำคัญในสิ่งที่ไม่ควรว่าควร
สำคัญในสิ่งที่ควรว่าไม่ควร สำคัญในที่ไม่มีโทษว่ามีโทษ สำคัญในสิ่งที่มีโทษ
ว่าไม่มีโทษ. บทว่า อุนฺนฬา ได้แก่ มีมานะดุจไม้อ้อที่ชูขึ้น ท่านอธิบายว่า
ยกมานะที่เปล่า ๆ ขึ้น. บทว่า จปลา ได้แก่ ประกอบด้วยความฟุ้งเฟ้อ
มีแต่งบาตรจีวรเป็นต้น. บทว่า มุขรา แปลว่า ปากกล้า ท่านอธิบายว่า
มีถ้อยคำกร้าว. บทว่า วิกิณฺณวาจา ได้แก่ ไม่ประหยัดถ้อยคำ [เพ้อเจ้อ]
เจรจาถ้อยคำที่ไร้ประโยชน์ได้ทั้งวัน. บทว่า มุฏฺฐสฺสติ ได้แก่ มีสติหายไป
เว้นจากสติ กิจที่ทำในที่นี้ ภิกษุทั้งหลายก็หลงลืมเสียในที่นี้. บทว่า อสมฺป-
ชานา
ได้แก่ ปราศจากความรอบรู้. บทว่า อสมาหิตา ได้แก่ เว้นจาก

สมาธิที่เป็นอัปปนาและอุปจาระ เสมือนเรือที่ผูกไว้ในกระแสน้ำเชี่ยว. บทว่า
วิพฺภนฺตจิตฺตา ได้แก่ มีจิตไม่มั่นคง เสมือนมฤคร้ายที่ขึ้นทาง. บทว่า
ปากตินฺทฺริยา ได้แก่ มีอินทรีย์เปิดเหมือนครั้งเป็นคฤหัสถ์ เพราะไม่มี
ความสำรวม. บทว่า ชนฺตุ ได้แก่ เทพบุตรมีนามอย่างนี้. บทว่า ตทหุ
โปสเถ
ได้แก่ ในอุโบสถวันนั้น อธิบายว่า ในวันอุโบสถ. ศัพท์ว่า ปณฺณรเส
ห้ามวันอุโบสถ 14 ค่ำเป็นต้นเสีย. บทว่า อุปสงฺกมิ ได้แก่ เข้าไปหาเพื่อ
ทักท้วง ได้ยินว่า ชันตุเทพบุตรนั้นคิดว่า ภิกษุเหล่านี้รับกัมมัฏฐานในสำนัก
ของพระศาสดาแล้ว พากันออกไป บัดนี้ ก็อยู่เป็นผู้ประมาท ก็แก่ภิกษุเหล่านี้
ถูกเราทักท้วงในสถานที่นั่งแยก ๆ กัน จัก ไม่ถือคำเรา จำเราจักทักท้วงในเวลา
ที่มารวมกันถึงวันอุโบสถ รู้ว่าภิกษุเหล่านั้นประชุมกัน แล้วจึงเข้าไปหา. บทว่า
คาถาย อชฺฌภาสิ ความว่า เทพบุตรยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าภิกษุทั้งหมด
ได้กล่าวด้วยคาถาทั้งหลาย ในคาถาเหล่านั้น เพราะเหตุที่สภาพมิใช่คุณ [โทษ]
ของผู้ไร้คุณ ย่อมปรากฏพร้อมกับการกล่าวคุณ ฉะนั้น เทพบุตรเมื่อกล่าวถึง
คุณก่อน จึงกล่าวคาถาว่า สุขชีวิโน ปุเร อาสุํ เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า สุขชีวิโน ปุเร อาสุํ ความว่า พวกภิกษุแต่ก่อน เป็นผู้บำรุงเลี้ยงง่าย
เทพบุตรกล่าวอย่างนี้ โดยอธิบายว่า พวกภิกษุแต่ก่อน ยังชีพให้เป็นไปด้วย
อาหารคลุกกัน ซึ่งเที่ยวไปตามลำดับตรอกในตระกูลสูงและต่ำได้มา. บทว่า
อนิจฺฉา ได้แก่ ปราศจากตัณหา เทพบุตรครั้นกล่าวคุณของเหล่าภิกษุเก่าก่อน
อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะกล่าวโทษของภิกษุเหล่านั้น จึงกล่าวว่า ทุปฺโปสํ
เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า คาเม คามณิกา วิย เทพบุตร
กล่าวอธิบายว่า เปรียบเหมือนนายบ้าน เยี่ยมประชาชนในตำบลบ้าน ให้
ลูกบ้านนำนมสดนมส้มข้าวสาร เป็นต้น มากิน ฉันใด แม้พวกท่าน ตั้งอยู่ใน
อเนสนา แสวงหาไม่สมควร มาเลี้ยงชีวิตของพวกท่าน ก็ฉันนั้น. บทว่า

นิปชฺชนฺติ ได้แก่ ไม่ต้องการด้วยการเรียนอุเทศ สอบถาม และใส่ใจ
กัมมัฏฐาน นอนปล่อยมือเท้าอยู่บนที่นอน. บทว่า ปราคาเรสุ ความว่า
ในเรือนของผู้อื่น คือในเรือนสะใภ้ของตระกูลเป็นต้น. บทว่า มุจฺฉิตา ได้แก่
หมกมุ่น ด้วยอำนาจกิเลส. บทว่า เอกจฺเจ ได้แก่ พวกที่ควรจะกล่าวถึง
นี่แหละ. บทว่า อปวิฏฺฐา ได้แก่ ที่เขาทอดทิ้งแล้ว. บทว่า อนาถา ได้แก่
ไม่มีที่พึ่ง. บทว่า เปตา ได้แก่ คนที่ตายแล้ว เขาทิ้งในป่าช้า เปรียบเหมือน
คนตายที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า ย่อมถูกนกต่าง ๆ เป็นต้นจิกกิน แม้เหล่าญาติก็
เป็นที่พึ่งของคนเหล่านั้นไม่ได้ รักษาไม่ได้ คุ้มครองไม่ได้ ฉันใด ภิกษุ
ทั้งหลายเห็นปานนั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่ได้รับโอวาทและคำพร่ำสอน
แต่สำนักของอาจารย์และอุปัชฌาย์เป็นต้น เพราะฉะนั้น ภิกษุเหล่านั้นจึงถูก
ทอดทิ้งไม่มีที่พึ่ง เป็นเหมือนคนตายที่เขาละทิ้งแล้ว ฉะนั้น.
จบอรรถกถาชันตุสูตรที่ 5

6. โรหิตัสสสูตร



[295] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหาร
เชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี.
ครั้งนั้น เมื่อล่วงปฐมยาม โรหิตัสสเทวบุตรมีวรรณะงานยิ่งนัก ทำ
พระวิหารเชตวันให้สว่างทั่วแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ครั้น แล้วจึงถวายอภิวาทแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
โรหิตัสสเทพบุตรยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้ทูลพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ณ โอกาสใดหนอ บุคคลจึงจะไม่เกิด ไม่แก่
ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุปบัติ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อันบุคคลอาจ หรือบรรลุ
ที่สุดโลกได้ด้วยการเดินทางได้บ้างไหมหนอ.
[296] พระผู้มีพระภาคเจ้า. ผู้มีอายุ โอกาสใดบุคคลไม่เกิด ไม่แก่
ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุปบัติ เราไม่เรียกโอกาสนั้นว่าที่สุดของโลกว่า ที่ควรรู้
ควรเห็น ควรบรรลุด้วยการเดินทาง.
ร. น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า ไม่เคยมีมา พระเจ้าข้า. พระดำรัสนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้วว่า ผู้มีอายุ โอกาสใดบุคคลไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย
ไม่จุติ ไม่อุปบัติ เราไม่เรียกโอกาศนั้นว่าที่สุดของโลก ที่ควรรู้ ควรเห็น
ควรบรรลุด้วยการเดินทาง.
[297] ร. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แต่ปางก่อน ข้าพระองค์เป็นฤาษี
ชื่อโรหิตัสสะ เป็นบุตรของอิสรชน มีฤทธิ์ เหาะไปในอากาศได้ มีความเร็ว
ประดุจอาจารย์สอนศิลปธนู จับธนูมั่น ชาญศึกษา ชำนาญมือ เคยประลอง
ยิงธนูมาแล้ว ยิงผ่านเงาตาลตามขวางได้ด้วยลูกศรขนาดเบาโดยสะดวกดาย