เมนู

อรรถกถาสุพรหมสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในสุพรหมสูตรที่ 7 ต่อไป :-
บทว่า สุพฺรหฺมา ความว่า ได้ยินว่า เทพบุตรนั้น อันเหล่าเทพ
อัปสรห้อมล้อมแล้ว ไปยังสนามกีฬานันทนวัน นั่ง ณ อาสนะที่จัดไว้ ได้
โคนต้นปาริฉัตร เหล่าเทพธิดา 500 ก็นั่งล้อมเทพบุตรนั้น. เหล่าเทพธิดา
500 ก็ปืนขึ้นต้นไม้. ถามว่า ก็ต้นไม้แม้สูง 100 โยชน์ ก็น้อมลงมาถึงมือ
ด้วยอำนาจจิตของเหล่าเทวดามิใช่หรือ เหตุไร เทพธิดาเหล่านั้น จึงต้องปืน
ขึ้นเล่า. ตอบว่า เพราะเทพธิดาเหล่านั้นสนใจแต่จะเล่น แต่ครั้นปีนขึ้นไป
แล้ว ก็ขับเพลงด้วยเสียงอันไพเราะทำดอกไม้ทั้งหลายให้หล่นลง เหล่าเทพธิดา
นอกนี้ (ที่ไม่ได้ปีนขึ้น) เก็บดอกไม้เหล่านั้น เอามาร้อยทำเป็นพวงมาลัยขั้ว
เดียวกันเป็นต้น. ครั้งนั้น เหล่าเทพธิดา ที่ปีนขึ้นต้นไม้ ก็ทำกาละ (จุติ)
ด้วยอำนาจอุปัจเฉทกกรรมประหารครั้งเดียวเท่านั้น ไปบังเกิดในอเวจีนรก
เสวยทุกข์ใหญ่.
เมื่อเวลาล่วงไป เทพบุตรก็นึกรำพึงว่า ไม่ได้ยินเสียงเทพธิดาเหล่า
นั้น ดอกไม้ก็ไม่หล่น เขาไปไหนกันหนอ. ก็เห็นไปบังเกิดในนรก เกิดรันทด
ใจ เพราะความโศกในของรัก จึงดำริว่า ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เหล่าเทพธิดา
ก็ไปตามกรรม ตัวเราจะมีอายุสังขารเท่าไรกันเล่า เทพบุตรนั้น ดำริว่า ใน
วันที่ 7 เราก็จะพึงทำกาละ พร้อมกับเหล่าเทพธิดา 500 ส่วนที่เหลือพากันไป
บังเกิดในนรกนั้นเหมือนกัน รันทดระทมเพราะความโศกที่รุนแรง. เทพบุตร
นั้น ก็ดำริว่า ในมนุษยโลกพร้อมทั้งเทวโลก นอกจากพระตถาคตแล้ว ก็ไม่มี
ใครสามารถดับความโศกของเรานี้ได้ จึงไปเฝ้ากล่าวคาถาว่า นิจฺจมุตฺรสุตํ

ดังนี้เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า อิทํ เทพบุตรนั้น แสดง
จิตของตน. บทที่ 2 เป็นไวพจน์ของบทต้นนั่นแหละ. ก็บทว่า นิจฺจํ ไม่
พึงถือเอาความว่า จำเดิมแต่กาลที่บังเกิดในเทวโลก. พึงทราบความนั้นว่าเป็น
นิตย์ จำเดิมแต่เวลาที่สะเทือนใจ. บทว่า อนุปฺปนฺเนสุ กิจฺเจสุ ได้แก่ใน
ทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น โดยล่วงไป 7 วัน แต่วันนี้. ด้วยบทว่า อโถ
อุปฺปตฺติเตสุ จ
เทพบุตรนั้นแสดงว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในทุกข์ทั้ง
หลายที่เกิดขึ้นแล้วและยังไม่เกิดขึ้นเหล่านี้ อย่างนี้ คือ ในทุกข์ที่ข้าพระองค์
เห็นนางอัปสร 500 บังเกิดในนรก จิตของข้าพระองค์ก็หวาดสะดุ้งเป็นนิตย์
ข้าพระองค์เป็นประหนึ่งถูกไฟเผาอยู่ในอก.
บทว่า นาญฺญตฺร โพชฺฌงฺคตปสา ความว่า นอกจากการเจริญ
โพชฌงค์และ คุณคือตปะ เรามองไม่เห็นความสวัสดีในที่อื่น. บทว่า
สพฺพนิสฺสคฺคา ได้แก่ พระนิพพาน. ก็ในบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
ถือเอาการเจริญโพชฌงค์ก่อน ภายหลังก็ทรงถือเอาอินทรียสังวรก็จริงอยู่ ถึง
อย่างนั้น โดยใจความอินทรียสังวร ก็พึงทราบว่า ทรงถือเอาก่อน ด้วยว่า
เมื่อภิกษุถือเอาอินทรียสังวรแล้ว ก็เป็นอันถือเอาจตุปาริสุทธิศีลด้วย. ภิกษุตั้ง
อยู่ในจตุปาริสุทธิศีลนั้น เป็นนิสสัยมุตตกะ (พ้นจากการถือนิสสัยกับอุปัชฌาย์
หรืออาจารย์) สมาทานตปคุณ กล่าวคือธุดงค์เข้าป่าเจริญกัมมัฏฐาน ย่อมทำ
โพชฌงค์ให้เกิดมีพร้อมกับวิปัสสนา. อริยมรรคของภิกษุนั้น ทำนิพพานธรรม
อันใดเป็นอารมณ์แล้วเกิดขึ้น นิพพานธรรมอันนั้น ชื่อว่า สัพพนิสสัคคะ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปลี่ยนเทศนาเป็นสัจจะ 4. เมื่อจบเทศนา เทพบุตรก็
ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล.
จบอรรถกถาสุพรหมสูตรที่ 7

8. กกุธสูตร



[266] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระอัญชนวัน ที่
พระราชทานอภัยแก่เนื้อ เมืองสาเกต ครั้งนั้น กกุธเทวบุตร เมื่อสิ้นราตรี
ปฐมยาม มีวรรณะงามยิ่งนัก ทำอัญชนวันให้สว่างทั่วแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มี-
พระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ได้
ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[267] กกุธเทวบุตร ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระสมณะ
พระองค์ทรงยินดีอยู่หรือ. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนผู้มีอายุ เราได้
อะไรจึงจะยินดี. กกุธเทวบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ ถ้าอย่างนั้นพระองค์
ทรงเศร้าโศกอยู่หรือ. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนผู้มีอายุ เราเสื่อมอะไร
จึงจะเศร้าโศก. กกุธเทวบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ ถ้าอย่างนั้นพระองค์
ไม่ทรงยินดีเลย ไม่ทรงเศร้าโศกเลยหรือ. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็น
เช่นนั้น ผู้มีอายุ.
[268] กกุธเทวบุตร กราบทูลว่า
ข้าแต่ภิกษุ พระองค์ไม่มีทุกข์บ้าง
หรือ ความเพลิดเพลินไม่มีบ้างหรือ ความ
เบื่อหน่ายไม่ครอบงำพระองค์ผู้ประทับนั่ง
แต่พระองค์เดียวบ้างหรือ.