เมนู

อรรถกถาจตุจักกสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในจตุจักกสูตรที่ 9 ต่อไป :-
บทว่า จตุจกฺกํ แปลว่า มีจักร 4 ได้แก่ อิริยาบถ 4 เพราะในที่นี้
อิริยาบถท่านเรียกว่าจักร. บทว่า นวทฺวารํ แปลว่า ทวาร 9 ได้แก่ ทวาร
9 ซึ่งมีปากแผล 9 แห่ง. บทว่า ปุณฺณํ แปลว่า มีอสุจิเต็มแล้ว คือ เต็ม
ไปด้วยของไม่สะอาด. บทว่า โลเภน สํยุตฺตํ แปลว่า ประกอบด้วยโลภะ
คือว่า สัมปยุตด้วยตัณหา. บทว่า กถํ ยาตฺรา ภวิสฺสติ นี้เทวดาย่อม
ทูลถามว่า การออกไป (จากทุกข์) แห่งสรีระนี้ เห็นปานนี้ จักมีได้อย่างไร
คือว่า ความพ้น ความพ้นรอบ ความก้าวล่วง อย่างดี จักมีได้อย่างไร ดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
เฉตฺวา นทฺธึ วรตฺตญฺจ อิจฺฉาโลภญฺจ ปาปกํ
สมูลํ ตณฺหํ อพฺพุยฺห เอวํ ยาตฺรา ภวิสฺสติ
ตัดความผูกโกรธด้วย กิเลสเป็น
เครื่องร้อยรัดด้วย ความปรารถนาและ
ความโลภอันลามกด้วย ถอนตัณหาอันมี
อวิชชาเป็นมูลเสียแล้วอย่างนี้ ความออก-
ไป (จากทุกข์) จึงมีได้.

บทว่า นทฺธึ แปลว่า ความผูกโกรธ อธิบายว่า ความโกรธมีก่อน
ภายหลัง ความโกรธมีกำลังเป็นไปแล้วอย่างนี้ จึงชื่อว่า ความผูกโกรธ. บทว่า
วรตฺตํ แปลว่า กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัด ได้แก่ ตัดความผูกโกรธ และ
เครื่องร้อยรัด. ชื่อความเกี่ยวข้องกันแห่งตัณหาและทิฏฐิ ท่านกล่าวไว้ใน

คาถาว่า สนฺธานํ สหนุกฺกมํ แต่ในที่นี้ ยกเว้นกิเลสที่ท่านอธิบายไว้ใน
พระบาลีแล้ว กิเลสที่เหลือ พึงทราบว่า เป็นเครื่องร้อยรัด เพราะฉะนั้น
จึงตรัสว่า ตัดกิเลสเป็นเครื่องร้อยรัด ดังนี้. บทว่า อิจฺฉาโลภํ นี้พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ธรรมอันหนึ่งนี้แหละ ชื่อว่าโลภะ เพราะอรรถว่า
ปรารถนา เพราะอรรถว่าความอยากและความต้องการ. อีกอย่างหนึ่ง ความอยาก
มีกำลังทรามเกิดขึ้นครั้งแรก ความโลภมีกำลังเกิดขึ้นในเวลาต่อ ๆ มา. อีก
อย่างหนึ่ง ความปรารถนาในวัตถุอันตนยังไม่ได้ ชื่อว่า ความอยาก ความ
ยินดีในวัตถุอันตนได้แล้ว ชื่อว่า ความโลภ. บทว่า สมูลํ ตณฺหํ ได้แก่
ตัณหาอันมีมูล โดยมีอวิชชาเป็นมูล. บทว่า อพฺภุยฺห ได้แก่ อันมรรค
ถอนขึ้นแล้ว. คำที่เหลือง่ายทั้งนั้นแล.
จบจตุจักกสูตรที่ 9

10. เอณิชังฆสูตร



[76] เทวดากล่าวว่า
พวกข้าพระองค์เข้ามาเฝ้าแล้ว ขอ
ทูลถามพระองค์ผู้มีความเพียร ซูบผอม
มีแข้งดังเนื้อทราย มีอาหารน้อย ไม่มี
ความโลภ เป็นเหมือนราชสีห์และช้างเที่ยว
ไปโดดเดี่ยว ไม่มีห่วงใยในกามทั้งหลาย
บุคคลจะพ้นจากทุกข์ได้อย่างไร.

[77] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
กามคุณ 5 มีใจเป็นที่ 6 บัณฑิต
ประกาศแล้วในโลก บุคคลเลิกความ
พอใจในนามรูปมิได้แล้ว ก็พ้นจากทุกข์
ได้อย่างนี้.
จบเอณิชังฆสูตรที่ 10
จบสัตติวรรค ที่ 3