เมนู

คันถะทั้งปวง อันภิกษุนั้นกำจัดเสียแล้ว
ภิกษุเป็นผู้มีปัญญาดี ล่วงเสียแล้วซึ่งความ
สำคัญ ภิกษุนั้นพึงกล่าวว่า เราพูดดังนี้
บ้าง บุคคลทั้งหลายอื่นพูดกะเราดังนี้บ้าง
ภิกษุนั้นฉลาด ทราบคำพูดในโลก พึง
กล่าวตามที่พูดกัน.


อรรถกถาอรหันตสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในอรหันตสูตรที่ 5 ต่อไป :-
บทว่า กตาวี แปลว่า มีกิจทำเสร็จแล้ว คือ มีกิจอันมรรค 4
ทำแล้ว. บทว่า อหํ วทามิ ความว่า เทวดาผู้อยู่ในไพรสณฑ์นี้นั้น ฟัง
โวหารของพวกภิกษุอยู่ป่าพูดกันว่า เราฉันอาหาร เรานั่ง บาตรของเรา จีวร
ของเรา เป็นต้น จึงคิดว่า เราสำคัญว่าภิกษุเหล่านี้ เป็นพระขีณาสพ ก็แต่
ถ้อยคำอิงอาศัยความเห็นว่าเป็นคนเป็นสัตว์ชื่อเห็นปานนี้ของพระขีณาสพ
ทั้งหลาย มีอยู่หรือไม่หนอ ดังนี้ เพื่อจะทราบความเป็นไปนั้น จึงได้กราบทูล
ถามแล้วอย่างนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ภิกษุใด เป็นผู้ไกลจากกิเลส
มีกิจทำเสร็จแล้ว มีอาสวะสิ้นแล้ว เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งร่างกายอันมีในที่สุด ภิกษุ
นั้นพึงกล่าวว่า เราพูดดังนี้บ้าง บุคคลอื่น ๆ พูดกะเราดังนี้บ้าง ภิกษุนั้น
ฉลาด ทราบคำพูดในโลก พึงกล่าวตามสมมติที่พูดกัน. บทว่า สมญฺญํ
แปลว่า คำพูด ถือเป็นภาษาของชาวโลก เป็นโวหารของชาวโลก. บทว่า

กุสโล แปลว่า ฉลาด คือ ฉลาดในธรรมมีขันธ์เป็นต้น. บทว่า โวหาร-
มตฺเตน
แปลว่า กล่าวตามสมมติที่พูดกัน ได้แก่ เมื่อละเว้น ถ้อยคำอัน-
อิงอาศัยความเห็นเป็นคนเป็นสัตว์แล้ว ไม่นำคำที่พูดให้แตกต่างกัน จึงสมควร
ที่จะกล่าวว่า เรา ของเรา ดังนี้ จริงอยู่ เมื่อเขากล่าวว่า ขันธ์ทั้งหลาย
ย่อมบริโภค ขันธ์ทั้งหลายย่อมนั่ง บาตรของขันธ์ทั้งหลาย จีวรของขันธ์
ทั้งหลาย ดังนี้ ความแตกต่างกันแห่งคำพูดมีอยู่ แต่ใคร ๆ ก็ทราบไม่ได้
เพราะฉะนั้น พระขีณาสพ จึงไม่พูดเช่นนั้น ย่อมพูดไปตามโวหารของชาว
โลกนั่นแหละ.
ลำดับนั้น เทวดาจึงคิดว่า ถ้าภิกษุนี้ไม่พูดด้วยทิฐิ ก็ต้องพูดด้วย
อำนาจแห่งมานะแน่ จึงทูลถามอีกว่า โย โหติ เป็นต้น แปลว่า ภิกษุใด
เป็นพระอรหันต์ มีกิจทำเสร็จแล้ว มีอาสวะสิ้นแล้ว เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งร่างกาย
อันมีในที่สุด ภิกษุนั้นยังติดนานะหรือหนอ จึงกล่าวว่า เราพูดดังนี้บ้าง
คนอื่น ๆ พูดกะเราดังนี้บ้าง. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยังติดมานะหรือ
หนอ
ได้แก่ ภิกษุนั้น ยังติดมานะ พึงกล่าวด้วยสามารถแห่งมานะ หรือหนอ.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงดำริว่า เทวดานี้ย่อมทำพระ-
ขีณาสพเหมือนบุคคลมีมานะ ดังนี้ เมื่อจะทรงแสดงว่า มานะแม้ทั้ง 9 อย่าง
พระขีณาสพละได้หมดแล้ว จึงตรัสพระคาถาตอบว่า
กิเลสเป็นเครื่องผูกทั้งหลาย มิได้มี
แก่ภิกษุที่ละมานะเสียแล้ว มานะและ
คันถะทั้งปวงอันภิกษุนั้นกำจัดเสียแล้ว
ภิกษุเป็นผู้มีปัญญาดีล่วงเสียแล้วซึ่งความ
สำคัญตน ภิกษุนั้นพึงกล่าวว่า เราพูด

ดังนี้บ้าง บุคคลทั้งหลายอื่นพูดกะเราดังนี้
บ้าง ภิกษุนั้นฉลาด ทราบคำพูดในโลก
พึงกล่าวความสมมติที่พูดกัน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิธูปิตา แปลว่า กำจัดเสียแล้ว. บทว่า
มานคนฺถสฺส แปลว่า มานะและคันถะ. . .อันภิกษุนั้น. คำว่า สมญฺญํ
หมายถึง คำพูดที่สำคัญตน. อธิบายว่า พระขีณาสพนั้นเป็นผู้ครอบงำได้แล้ว
คือ ก้าวล่วงแล้วซึ่งความสำคัญตนในตัณหา ทิฏฐิ และมานะ. คำที่เหลือมี
เนื้อความง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาอรหันตสูตรที่ 5

6. ปัชโชตสูตร



[68] เทวดากล่าวว่า
โลกย่อมรุ่งเรืองเพราะแสงสว่าง
ทั้งหลายใด แสงสว่างทั้งหลายนั้นย่อมมีอยู่
เท่าไรในโลก ข้าพระองค์ทั้งหลายมาเพื่อ
จะทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า ไฉนจะรู้จัก
แสงสว่างที่ทูลถามนั้น.

[69] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
แสงสว่างทั้งหลายในโลกมีอยู่ 4
อย่าง แสงสว่างที่ 5 มิได้มีในโลกนี้
ดวงอาทิตย์สว่างในกลางวัน ดวงจันทร์
สว่างในกลางคืน อนึ่ง ไฟย่อมรุ่งเรืองใน
กลางวันและกลางคืนทุกหนแห่ง พระ-
สัมพุทธเจ้าประเสริฐกว่าแสงสว่างทั้งหลาย
แสงสว่างของพระสัมพุทธเจ้า เป็นแสง-
สว่างอย่างเยี่ยม.