เมนู

10. สมิทธิสูตร



ว่าด้วยการละกาม



[44] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ตโปทาราม กรุงราชคฤห์
ครั้งนั้นแล พระสมิทธิเถระผู้มีอายุ ตื่นขึ้นในเวลาใกล้รุ่งแห่งราตรี เข้าไปที่
ลำน้ำตโปทาเพื่อจะล้างตัว ครั้นล้างตัวแล้ว จึงกลับขึ้นยืนมีจีวรผืนเดียวรอให้
ตัวแห้ง.
[45] ครั้งนั้นแล เมื่อราตรีใกล้สว่าง เทวดาองค์หนึ่ง มีวรรณะงาม
ยังลำน้ำตโปทาทั้งสิ้นให้สว่างทั่ว เข้าไปหาพระสมิทธิเถระผู้มีอายุ ครั้นแล้ว
จึงลอยอยู่ในอากาศ ได้กล่าวกะพระสมิทธิเถระผู้มีอายุด้วยคาถาว่า
ภิกษุ ท่านไม่บริโภคแล้ว ยังขออยู่
ท่านบริโภคแล้ว ก็ไม่ต้องของเลย ภิกษุ
ท่านบริโภคแล้ว จงขอเถิด กาลอย่าล่วง
ท่านไปเสียเลย.

[46] พระสมิทธิเถระกล่าวว่า
เรายังไม่รู้กาล กาลยังลับ มิได้
ปรากฏ เพราะเหตุนั้น เราไม่บริโภคแล้ว
จึงยังขออยู่ กาลอย่าล่วงเราไปเสียเลย.

[47] ครั้งนั้นแล เทวดานั้นลงมายืนที่พื้นดินแล้ว กล่าวกะพระ-
สมิทธิเถระว่า ภิกษุ ท่านเป็นบรรพชิตยังหนุ่มแน่น มีผมดำประกอบด้วย
ปฐมวัยจำเริญรุ่น จะเป็นผู้ไม่เพลิดเพลินในกามทั้งหลายเสียแล้ว ภิกษุ ท่าน

จงบริโภคกามทั้งหลายเป็นของมนุษย์ อย่าละกามที่เห็นประจักษ์เสีย วิ่งไปหา
ทิพยกามอันมีโดยกาลเลย.
[48] ส. ท่านผู้มีอายุ เราหาได้ละกามที่เห็นประจักษ์ วิ่งเข้าไปหา
ทิพยกามอันมีโดยกาลไม่ ท่านผู้มีอายุ เราละกามอันมีโดยกาลแล้ว วิ่งเข้าไปหา
โลกุตรธรรมที่เห็นประจักษ์ ท่านผู้มีอายุ ด้วยว่ากามทั้งหลายอันมีโดยกาล
(เป็นของชั่วคราว) พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
ในกามทั้งหลายนั้นมีโทษยิ่ง โลกุตรธรรมนี้ อันบุคคลพึงเห็นเอง ให้ผล
ไม่มีกาล ควรเรียกร้องผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด ควรน้อมเข้ามาในตน อัน
วิญญูชนทั้งหลายพึงทราบเฉพาะตน.
[49] ท. ภิกษุ ก็กามทั้งหลายอันมีโดยกาล พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก มีโทษมาก เป็นอย่างไร โลกุตร-
ธรรมนี้ อันบุคคลพึงเห็นเอง ให้ผลไม่มีกาล ควรร้องเรียกผู้อื่นว่า ท่านจง
มาดูเถิด ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนทั้งหลาย พึงทราบเฉพาะตน
เป็นอย่างไร.
[50] ส. ท่านผู้มีอายุ เราเป็นผู้ใหม่ บวชไม่นาน เพิ่งมาสู่ธรรม-
วินัยนี้ เราไม่อาจบอกท่านได้พิสดาร พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็น
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จประทับที่ตโปทาราม กรุงราชคฤห์ ท่าน
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นแล้ว ทูลถามเรื่องนี้เถิด พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงพยากรณ์แก่ท่านอย่างใด ท่านพึงทรงจำเรื่องนั้น ไว้อย่างนั้นเถิด.
ท. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น อันพวกเทวดามีบริวารมากจำพวกอื่น
แวดล้อมแล้ว ข้าพเจ้าจะเข้าไปเฝ้าไม่ได้ง่ายเลย ภิกษุ ถ้าท่านเข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล้วพึงทูลถามเรื่องนี้ แม้ข้าพเจ้าพึงมาเพื่อฟังธรรม.

พระสมิทธิเถระผู้มีอายุรับต่อเทวดานั้นว่า ท่านผู้มีอายุ เราจะทูลถาม
อย่างนี้ แล้วจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปแล้ว จึงถวายอภิวาท
พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[51] พระสมิทธิเถระผู้มีอายุ ครั้นนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้ว ได้ทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าพระองค์ขอประทานโอกาสกราบทูล
ข้าพระองค์ตื่นขึ้นในเวลาใกล้รุ่งแห่งราตรี เข้าไปที่ลำน้ำตโปทาเพื่อล้างตัว
ครั้นล้างตัวแล้วกลับขึ้นยืน มีจีวรผืนเดียวรอให้ตัวแห้ง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ครั้งนั้นแล เมื่อราตรีใกล้สว่าง เทวดาองค์หนึ่ง มีวรรณะงาม ยังลำน้ำตโปทา
ทั้งสิ้นให้สว่างทั่ว เข้าไปหาข้าพระองค์ ครั้นแล้วจึงลอยอยู่ในอากาศ ได้กล่าว
ด้วยคาถานี้ว่า
ภิกษุ ท่านไม่บริโภคแล้ว ยังขออยู่
ท่านบริโภคแล้ว ก็ไม่ต้องขอเลย ภิกษุ
ท่านบริโภคแล้ว จงขอเถิด กาลอย่าล่วง
ท่านไปเสียเลย.

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเทวดากล่าวอย่างนี้แล้ว ข้าพระองค์ได้กล่าว
กะเทวดานั้นด้วยคาถาว่า
เรายังไม่รู้กาล กาลยังลับ มิได้
ปรากฏ เพราะเหตุนั้น เราไม่บริโภคแล้ว
จึงยังขออยู่ กาลอย่าล่วงเราไปเสียเลย.

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ครั้งนั้นแล เทวดานั้นลงมายืนที่พื้นดินแล้ว
กล่าวคำนี้กะข้าพระองค์ว่า ภิกษุ ท่านเป็นบรรพชิตยังหนุ่มแน่น มีผมดำ
ประกอบด้วยปฐมวัยจำเริญรุ่น จะเป็นผู้ไม่เพลิดเพลินในกามทั้งหลายเสียแล้ว

ภิกษุท่านจงบริโภคกามทั้งหลายเป็นของมนุษย์ อย่าละกามที่เห็นประจักษ์ วิ่ง
เข้าไปหาทิพยกามอันมีโดยกาลเลย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเทวดานั้นกล่าว
อย่างนี้แล้ว ข้าพระองค์ได้กล่าวคำนี้กะเทวดานั้นว่า ท่านผู้มีอายุ เราหาได้
ละกามที่เห็นประจักษ์ วิ่งเข้าไปหาทิพยกามอันมีโดยกาลไม่ ท่านผู้มีอายุ
เราละกามอันมีโดยกาลแล้ว วิ่งเข้าไปหาโลกุตรธรรมที่เห็นประจักษ์ ท่านผู้มี
อายุ ด้วยว่ากามทั้งหลายอันมีโดยกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มีทุกข์มาก
มีความคับแค้นมาก ในกามทั้งหลายนั้นมีโทษยิ่ง โลกุตรธรรมนี้ อันบุคคล
พึงเห็นเอง ให้ผลไม่มีกาล ควรร้องเรียกผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด ควรน้อม
เข้ามาในตน อันวิญญูชนทั้งหลายพึงทราบเฉพาะตน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
เมื่อข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้แล้ว เทวดานั้นได้กล่าวคำนี้กะข้าพระองค์ว่า ภิกษุ
ก็กามทั้งหลายอันมีโดยกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มีทุกข์มาก มีความ
คับแค้นมาก มีโทษมากเป็นอย่างไร โลกุตรธรรมนี้ อันบุคคลพึงเห็นเอง
ให้ผลไม่มีกาล ควรร้องเรียกผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด ควรน้อมเข้ามาในตน
อันวิญญูชนทั้งหลายพึงทราบเฉพาะตน เป็นอย่างไร ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
เมื่อเทวดานั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ข้าพระองค์ได้กล่าวคำนี้กะเทวดานั้นว่า ท่านผู้มี
อายุ เราเป็นผู้บวชใหม่ เพิ่งมาสู่ธรรมวินัยนี้ เราไม่อาจบอกท่านได้พิสดาร
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จประ-
ทับอยู่ที่ตโปทาราม กรุงราชคฤห์ ท่านเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์
นั้นแล้ว ทูลถามเรื่องนี้เถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์แก่ท่านอย่างไร
ท่านพึงทรงจำเรื่องนั้นไว้อย่างนั้นเถิด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์
กล่าวอย่างนี้แล้ว เทวดานั้นได้กล่าวคำนี้ กะข้าพระองค์ว่า ภิกษุ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้านั้น อันพวกเทวดามีบริวารมากจำพวกอื่นแวดล้อมแล้ว ข้าพเจ้าจะ
เข้าไปเฝ้าไม่ได้ง่ายเลย ภิกษุ ถ้าท่านเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล้ว

พึงทูลถามเรื่องนี้ แม้ข้าพเจ้าพึงมาเพื่อฟังธรรม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้า
คำของเทวดานั้นเป็นคำจริง เทวดานั้นพึงมาในที่ใกล้วิหารนี้นี่แล.
เมื่อพระสมิทธิเถระทูลอย่างนี้แล้ว เทวดานั้นได้กล่าวคำนี้กะพระ-
สมิทธิเถระผู้มีอายุว่า ทูลถามเถิด ภิกษุ ทูลถามเถิด ภิกษุ ข้าพเจ้าตามมา
ถึงแล้ว.
[52] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าไค้ตรัสกะเทวดานั้นด้วยคาถา
ทั้งหลายว่า
สัตว์ทั้งหลายมีความสำคัญในข้อที่
ได้รับบอก ติดอยู่ในข้อที่ได้รับบอก ไม่
กำหนดรู้ข้อที่ได้รับบอก ย่อมมาสู่อำนาจ
แห่งมัจจุ ส่วนขีณาสวภิกษุกำหนดรู้ข้อที่
ได้รับบอก ย่อมไม่สำคัญข้อที่ได้รับบอก
แล้ว เพราะข้อที่ได้รับบอกนั้น ย่อมไม่มี
แก่ขีณาสวภิกษุนั้น ฉะนั้น เหตุที่จะพึง
พูดถึงข้อที่ได้รับบอก จึงมิได้มีแก่ขีณาสว
ภิกษุนั้น ดูก่อนเทวดา ถ้าท่านเข้าใจ ก็
จงพูดเถิด.

เทวดานั้นทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่ทราบเนื้อความ
แห่งธรรมนี้ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโดยย่อให้ได้ความโดยพิสดารได้ ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอพระโอกาส ข้าพระองค์พึงทราบเนื้อความแห่ง
ธรรมนี้ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโดยย่อให้ได้ความโดยพิสดารได้อย่างไร
พระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดตรัสแก่ข้าพระองค์อย่างนั้นเถิด.

[53] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสต่อไปด้วยพระคาถาว่า
บุคคลได้สำคัญว่าเราเสมอเขา ว่า
เราดีกว่าเขา ว่าเราเลวกว่าเขา บุคคลนั้น
พึงวิวาทกับเขา ขีณาสวภิกษุเป็นผู้ไม่
หวั่นไหวอยู่ในมานะ 3 อย่าง มานะว่า
เราเสมอเขา ว่าเราดีกว่าเขา ว่าเราเลว
กว่าเขา ย่อมไม่มีแก่ขีณาสวภิกษุนั้น
ดูก่อนเทวดา ถ้าท่านเข้าใจก็จงพูดเถิด.

เทวดานั้นทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่ทราบเนื้อความ
แห่งธรรมนี้ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโดยย่อให้ได้ความโดยพิสดารได้ ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอประทานพระโอกาส ข้าพระองค์พึงทราบ
เนื้อความเเห่งธรรมนี้ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโดยย่อให้ได้ความโดยพิสดารได้
อย่างใด ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดตรัสแก่ข้าพระองค์อย่างนั้นเถิด.
[54] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสต่อไปด้วยพระคาถาว่า
ขีณาสวภิกษุละบัญญัติเสียแล้ว บรร-
ลุธรรมที่ปราศจากมานะแล้ว ได้ตัดตัณหา
ในนามรูปนี้เสียแล้ว พวกเทวดา พวก
มนุษย์ ในโลกนี้ก็ดี ในโลกอื่นก็ดี ใน
สวรรค์ทั้งหลายก็ดี ในสถานที่อาศัยของ
สัตว์ทั้งปวงก็ดี เที่ยวค้นหาก็ไม่พบขีณา-
สวภิกษุนั้น ผู้มีเครื่องผูกอันตัดเสียแล้ว
ไม่มีทุกข์ ไม่มีตัณหา ดูก่อนเทวดา
ถ้าท่านเข้าใจก็จงพูดเถิด.

[55] เทวดานั้นทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ข้าพระองค์ทราบเนื้อความ
แห่งธรรมนี้ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโดยย่อให้ได้ความโดยพิสดารอย่างนี้ว่า
ไม่ควรทำบาปด้วยวาจา ด้วยใจ
และด้วยกาย อย่างไหน ๆ ในโลกทั้งปวง
ควรละกามทั้งหลายเสียแล้ว มีสติ มี
สัมปชัญญะ ไม่ควรเสพทุกข์อันประกอบ
ด้วยโทษ ไม่เป็นประโยชน์.

จบนันทวรรคที่ 2

อรรถกถาสมิทธิสูตร



พึงทราบวินิจฉัยสมิทธิสูตรที่ 10 ต่อไป :-
บทว่า ตโปทาราม คือพระอารามที่มีชื่ออันได้แล้วอย่างนี้เพราะ
ห้วงน้ำลึกมีน้ำอันร้อน ชื่อว่า ตโปทา.
ได้ยินว่า ภพของนาคตั้งอยู่ที่แผ่นดินใต้ภูเขาเวภารบรรพต มีปริ-
มลฑลประมาณ 500 โยชน์ เช่นกับเทวโลก ซึ่งมีพื้นที่อันสำเร็จแล้วด้วยแก้ว
มณี และประกอบด้วยอุทยาน อันเป็นที่รื่นรมย์ ในที่นั้น มีห้วงน้ำใหญ่สำหรับ
เป็นที่เล่นของพวกนาค. ลำแม่น้ำชื่อตโปทานี้ เป็นน้ำร้อนเดือดพล่านไหลมา
จากห้วงน้ำใหญ่นั้น.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร จึงเป็นเช่นนี้. ตอบว่า ได้ยินว่า โลก (หมาย
โอกาสโลกคือที่อยู่อาศัย) ของเปรตจำนวนมากแวดล้อมเมืองราชคฤห์. ในที่