เมนู

เหตุที่เป็นผู้ถือเอกาสนิกังคธุดงค์เป็นวัตร ถึงแม้ภิกษุนั้นจะไม่เป็นผู้ถือเอกา-
สนิกังคธุดงค์เป็นวัตร แต่เธอก็เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ
ประพฤติสมควรแก่ธรรม เป็นผู้ที่คนทั้งหลาย ควรบูชา ควรสรรเสริญ ใน
ที่นั้นๆ. เธอทำข้อปฏิบัติให้เป็นไปในภายใน (เป็นส่วนตัว) เท่านั้น ไม่
ยกตน ไม่ข่มผู้อื่นเลย เพราะเหตุที่เป็นผู้ถือเอกาสนิกังคธุดงค์เป็นวัตรนั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลคือ สัปปุริสธรรม.

อสัปปุริสธรรม


[191] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอยู่อีกคือ อสัตบุรุษ
สงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าปฐมฌาน มีวิตก มี
วิจาร มีปีติ และสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่. เธอพิจารณาเห็นอย่างนี้ว่า เราเป็น
ผู้ได้สมาบัติคือ ปฐมฌานแล แต่ภิกษุอื่น ๆ เหล่านั้น ไม่ได้สมาบัติคือ
ปฐมฌาน. เธอยกตนข่มผู้อื่น เพราะสมาบัติคือปฐมฌานนั้น ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย นี้แลคือ อสัปปุริสธรรม.

สัปปุริสธรรม


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนสัตบุรุษแล พิจารณาเห็นอย่างนี้ว่า แม้
ปฐมฌานสมาบัติ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสว่า เป็นปฏิปทาที่ไม่มีตัณหา1
เพราะคนทั้งหลายสำคัญตนด้วยเหตุใด ๆ เหตุนั้น ๆ ย่อมเป็นอื่นจากที่สำคัญ
นั้น. เธอทำความที่ปฏิปทาไม่มีตัณหานั้น ให้เป็นไปในภายใน (เป็นการ
ส่วนตัว) เท่านั้น ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะสมาบัติคือปฐมฌานนั้น
นี้แลคือ สัปปุริสธรรม.
1. บาลีในที่ทุกแห่งในสูตรนี้เป็น อคมฺมยตา ฉบับพม่า ยุโรป เป็น อตมฺมยตา
แปลตามคำหลัง.

อสัปปุริสธรรม


[192] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอยู่อีก (คือ) อสัตบุรุษ
เข้าทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งใจ อันเป็นไปในภายใน มีความเป็นธรรม
เอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารระงับไป มีแต่ปีติและสุขเกิด
แต่สมาธิอยู่. . .เข้าตติยฌาน . . . เข้าจตุตถฌาณ. . . อยู่. เธอพิจารณาเห็น
อย่างนี้ว่า เราเป็นผู้ได้สมาบัติ คือจตุตถฌานแล แต่ภิกษุอื่น ๆ เหล่านั้น ไม่
เป็นผู้ได้สมาบัติคือจตุตถฌาน. เธอยกตนข่มผู้อื่น เพราะสมาบัติคือจตุตถฌาน
นั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลคือ อสัปปุริสธรรม.

สัปปุริสธรรม


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนสัตบุรุษแล พิจารณาเห็นอย่างนี้ว่า แม้
สมาบัติคือจตุตถฌานแล พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสว่า เป็นปฏิปทาไม่มี
ตัณหา เพราะคนทั้งหลายสำคัญกันด้วยเหตุใด ๆ เหตุนั้น ๆ จะเป็นอย่างอื่น
จากที่สำคัญนั้น. เธอทำความเป็นผู้ไม่มีตัณหานั้นให้เป็นไปในภายใน (เป็น
ส่วนตัว) เท่านั้น ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่นเลย เพราะสมาบัติคือจตุตถฌาณนั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลคือ สัปปุริสธรรม.

อสัปปุริสธรรม


[193] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอยู่อีก (คือ) อสัตบุรุษ
เข้าอากาสานัญจายตนฌาน ด้วยมนสิการว่า อากาสไม่มีที่สุดอยู่ เพราะ
ล่วงเลยรูปสัญญาไปแล้ว เพราะปฏิฆสัญญาดับไปแล้ว (และ) เพราะไม่มนสิ-
การถึงนานัตตสัญญา. เธอพิจารณาเห็นอย่างนี้ว่า เราเป็นผู้ได้สมาบัติคือ
อากาสานัญจายตนะแล้ว แค่ภิกษุอื่น ๆ เหล่านี้ไม่เป็นผู้ได้สมาบัติคืออากาสา-
นัญจายตนะ. เธอยกตน ข่มผู้อื่น ด้วยสมาบัติคืออากาสานัญจายตนะนั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลคือ อสัปปุริสธรรม.