เมนู

ปัญญาคม



ปัญญาคมเป็นไฉน ?
ชื่อว่าปัญญาคม เพราะตัดกิเลสได้เร็ว. ชื่อว่าปัญญาคม เพราะไม่ให้
กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ที่ให้เกิดขึ้นแล้ว อาศัยอยู่ ไม่ให้อกุศล.
ธรรมอันลามกที่เกิดขึ้นแล้ว ๆ เล่า ๆ ไม่ให้ราคะ โทสะ โมหะ โกธะ
อุปนาหะ มักขะ ปฬาสะ มัจฉริยะ มายา สาไถย ถัมภะ สารัมภะ มานะ
อติมานะ มทะ ปมาทะ กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง อภิสังขารทั้งปวง กรรม
อันนำไปสู่ภพทั้งปวง อาศัยอยู่ คือละ ได้แก่ บรรเทา หมายความว่า ทำ
ให้มีที่สุด ให้ถึงความไม่มี. ชื่อว่าปัญญาคม เพราะอริยมรรค 4 สามัญ-
ผล 4 ปฏิสัมภิทา 4 และอภิญญา 6 ย่อมเป็นอันบุคคลนี้บรรลุแล้ว คือ
ทำให้แจ้งแล้ว ได้แก่ ถูกต้องแล้วด้วยปัญญาในอาสนะเดียว.

ปัญญาหลักแหลม



ปัญญาหลักแหลม เป็นไฉน ?
ชื่อว่า ผู้มีปัญญาหลักแหลม เพราะบุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้
มากด้วยความหวาดเสียว มากด้วยความสะดุ้ง มากไปด้วยความรำคาญ มากไป
ด้วยความไม่ยินดี มากไปด้วยความไม่ยินดียิ่งในสังขารทั้งปวง เมินหน้าไม่
ยินดีในสังขารทั้งปวง ย่อมเจาะ คือทำลายกองโลภะที่ไม่เคยเจาะไม่เคยทำลาย
มาก่อน. ชื่อว่าผู้มีปัญญาหลักแหลม เพราะเจาะ. คือทำลาย กองโทสะ
กองโมหะ โกธะ. อุปนาหะ ฯลฯ กรรมที่จะให้ไปสู่ภพทั้งหมด ที่ยังไม่เคย
ทำลายมาก่อน.

อุปมาพระอัครสาวกบรรลุธรรม



บทว่า อนุปทธมฺมวิปสฺสนํ ความว่า เห็นแจ้งวิปัสสนาในธรรม

ตามลำดับ ๆด้วยสามารถแห่งสมาบัติ หรือองค์ฌาน. เมื่อเห็นแจ้งอยู่อย่างนี้ จึง
บรรลุพระอรหัต โดย (ในเวลา) กึ่งเดือน.. ส่วนพระมหาโมคคัลลานะบรรลุ
พระอรหัตโดย (เวลาล่วงไป) 7 วัน. แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น พระสารีบุตรก็เป็น
ผู้มีปัญญามากกว่า. แท้จริง พระมหาโมคคัลลานเถระ เมื่อพิจารณาธรรมที่
จะต้องท่องเที่ยวไปด้วยสัมมสนญาณสำหรับพระสาวกทั้งหลาย เพียงเอกเทศ
เท่านั้นเหมือนเอาปลายไม้เท้าจี้ พยายามถึง 7 วัน จึงบรรลุพระอรหัต.
(ส่วน) พระสารีบุตรเถระ พิจารณาธรรมที่จะต้องท่องเที่ยวไปด้วยสัมมสน-
ญาณ สำหรับสาวกทั้งหลายอย่างสิ้นเชิง เว้นไว้แต่ที่จะท่องเที่ยวไปด้วยสัมม-
สนญาณ สำหรับพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้า. ท่านพิจารณาเห็นอยู่
อย่างนี้ ได้พยายามแล้วถึงครึ่งเดือน. ก็ว่ากันว่า ครั้นท่านบรรลุพระอรหัต
แล้วได้รู้ว่า เว้นพระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายเสีย ชื่อว่า
พระสาวกอื่น ชื่อว่าสามารถบรรลุสิ่งที่เราพึงบรรลุด้วยปัญญา จักไม่มี. เหมือน
อย่างว่า บุรุษคิดว่า จักเอาลำไม้ไผ่ ครั้นเห็นไผ่ มีชัฏ (เรียวหนาม) มาก
ก็คิดว่า เมื่อถางเรียวหนาม จักชักช้า (เสียเวลา) จึงสอดมือเข้าไปตามช่อง
ตัดเอาลำไม้ไผ่ที่พอจับถึงที่โคนและที่ปลาย ถือเอาได้แล้วก็หลีกไป บุรุษนั้น
ไปได้ก่อนกว่า (ใคร) ก็จริง แต่ไม่ได้ลำไม่ไผ่ที่แก่ หรือตรง. ส่วนคนอื่น
เห็นไม้ไผ่ดังนั้นเหมือนกัน คิดว่าถ้าจะถือเอาลำไผ่ที่พอจับถึง ก็จักไม่ได้ลำไผ่
ที่แก่หรือตรง จึงนุ่งหยักรั้ง แล้วเอามีดใหญ่ถางหนามไผ่ออก เลือกเอาลำทั้ง
แก่ ทั้งตรงแล้วไป บุรุษผู้นี้ไปถึงทีหลังก็จริง แต่ก็ได้ลำไผ่ทั้งแก่ทั้งตรง
ฉันใด พึงทราบข้อเปรียบเทียบนี้เหมือนกับการท่องเที่ยวไปด้วยสัมมสนญาณ1
ของพระเถระทั้งสองเหล่านี้.
ก็พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ ครั้นพยายามอยู่ถึงครึ่งเดือนอย่าง
นี้ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเวทนาปริคคหสูตร2 แก่ทีฆนขปริพาชก
1. พม่าเป็น ปธานํ ความเพียร
2. ม.ม. 13/ 263 ทีฆนขสูตร

ผู้เป็นหลาน ณ ที่ใกล้ประตูถ้ำสูกรขาตา ยืนพัดพระทศพลอยู่ ส่งญาณไปตาม
แนวพระธรรมเทศนา ถึงที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณในวันที่ 15 จำเดิมตั้งแต่
วันบวช แทงตลอดญาณ 67 ประการ ถึงปัญญา 16 อย่างโดยลำดับ.
บทว่า ตตฺรีทํ ภิกฺขเว สารีปุตฺตสฺส อนุปทธมฺมวิปสฺสนาย
ความว่า ในการเห็นแจ้งธรรมตามลำดับบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ว่า
สารีบุตรเห็นแจ้งธรรมตามลำดับนั้น ข้อนสำหรับพระสารีบุตร. คำนี้ตรัสหมาย
เอาส่วนแห่งวิปัสสนานั้น ๆ ที่จะพึงกล่าวในบัดนี้.
บทว่า ปฐเม ฌาเน ได้แก่ ธรรมเหล่าใดในปฐมฌาน คือในภาย
ในสมาบัติ.
บทว่า ตฺยสฺส แยกเป็น เต อสฺส แปลว่า ธรรมเหล่านั้นเป็น
อันสารีบุตรนี้ (กำหนดได้แล้วตามลำดับบท).
บทว่า อนุปทววตฺถิตา โหนฺติ ความว่า เป็นอันกำหนดได้แล้วคือ
กำหนดตัดได้แล้ว รู้แล้ว รู้แจ้งแล้ว ตามลำดับ คือโดยลำดับ ๆ
ถามว่า พระเถระรู้ธรรมเหล่านั้นได้อย่างไร
ตอบว่า พระเถระตรวจดูธรรมเหล่านั้นแล้วรู้ว่า วิตกมีการยกจิตขึ้น
เป็นลักษณะ เป็นไป. อนึ่ง รู้ว่า วิจารมีการเคล้าอารมณ์เป็นลักษณะ ปีติมี
การซาบซ่านไปเป็นลักษณะ สุขมีความสำราญเป็นลักษณะ เอกัคคตาจิตมี
ความไม่ฟุ้งซ่านเป็นลักษณะ ผัสสะมีการถูกต้องเป็นลักษณะ เวทนามีการเสวย
อารมณ์เป็นลักษณะ. สัญญามีการจำได้เป็นลักษณะ เจตนามีความจงใจเป็น
ลักษณะ. วิญญาณมีความรู้แจ้งเป็นลักษณะ ฉันทะมีความประสงค์จะทำเป็น
ลักษณะ อธิโมกข์มีการน้อมใจเชื่อเป็นลักษณะ วิริยะมีการประคองจิตไว้เป็น
ลักษณะ สติมีการปรากฏเป็นลักษณะ อุเบกขามีความเป็นกลางเป็นลักษณะ
มนสิการมีการใส่ใจด้วยความยินดีเป็นลักษณะเป็นไป. พระสารีบุตรเมื่อรู้อยู่

อย่างนี้ ย่อมกำหนดวิตกตามสภาวะเพราะอรรถว่า ยกจิตขึ้น ฯลฯ ย่อมกำหนด
มนสิการโดยความยินดี ตามสภาวะ ด้วยเหตุนั้น จึงได้ตรัสว่า ธรรมเหล่านั้น
ย่อมเป็นอันพระสารีบุตรนั้น กำหนดได้แล้วโดยลำดับบท
บทว่า วิทิตา อุปฺปชฺชนฺติ ความว่า เมื่อเกิดขึ้น ก็เป็นอันรู้
แจ้ง คือเป็นธรรมปรากฏชัดเกิดขึ้น.
บทว่า วิทิตา อุปฏฺฐหนฺติ ความว่า แม้ทั้งอยู่ก็เป็นอันรู้แจ้ง คือ
เป็นธรรมปรากฏชัดตั้งอยู่.
บทว่า วิทิตา อพฺภตฺถํ คจฺฉนฺติ ความว่า แม้ดับไปก็เป็นอัน
รู้แจ้ง คือเป็นธรรมปรากฏชัดดับไป.
ก็ในข้อนี้ ต้องปล่อยวางความเป็นผู้มีญาณอันนั้น และความเป็นผู้
มากด้วยญาณ (จิต) เหมือนอย่างว่าใครๆ ไม่อาจถูกต้องปลายนิ้วมือนั้น ด้วย
ปลายนิ้วมือนิ้วนั้นนั่นแหละได้ ฉันใด พระโยคีก็ไม่อาจรู้ความเกิดขึ้นหรือความ
ตั้งอยู่ หรือความดับไปของจิตดวงนั้น ด้วยจิตดวงนั้นนั่นแหละได้ฉันนั้น
เหมือนกัน ต้องปล่อยวางความเป็นผู้มีญาณนั้นก่อน ด้วยประการดังกล่าวมา.
ก็ถ้าจิต 2 ดวง เกิดร่วมกัน ใคร ๆ ไม่พึงอาจรู้ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่
หรือความดับไป ของจิตดวงหนึ่งด้วยจิตดวงหนึ่งได้ อนึ่ง ผัสสะ เวทนา
สัญญา เจตนา หรือจิต ชื่อว่าเกิดร่วมกัน 2 ดวงย่อมไม่มี ย่อมเกิดขึ้น
คราวละดวง ๆ เท่านั้น ต้องปล่อยวางภาวะที่จิต (เกิดร่วมกัน) มากดวงออกไป
เสียอย่างนี้.
ถามว่า เมื่อเป็นอย่างนั้น ธรรม 16 ประการในภายในสมาบัติย่อม
เป็นของแจ่มแจ้งปรากฏแก่พระมหาเถระได้อย่างไร ?
ตอบว่า พระมหาเถระกำหนดเอาวัตถุและอารมณ์. เพราะวัตถุและ
อารมณ์พระเถระท่านกำหนดได้ด้วยเหตุนั้น เมื่อท่านนึกถึงความเกิดขึ้นของ
ธรรมเหล่านั้น ความเกิดย่อมปรากฏ เมื่อนึกถึงความตั้งอยู่ ความตั้งอยู่ย่อม

ปรากฏ เมื่อนึกถึงความดับ ความดับย่อมปรากฏ เพราะเหตุนั้นจึงตรัสว่า
วิทิตา อุปฺปชฺชนฺติ วิทิตา อุปฏฺฐหนฺติ วิทิตา อพฺภตฺถํ คจฺฉนฺติ
(อันสารีบุตรผู้รู้แจ้งแล้วทั้งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ถึงความดับไป) ด้วยคำว่า
อหุตฺวา สมฺโภนฺติ นี้ พระเถระเห็นความเกิดขึ้น. ด้วยคำว่า หุตฺวา
ปฏิเวนฺติ
นี้ ท่านเห็นความเสื่อมไป.
บทว่า อนุปาโย ได้แก่ ไม่เข้าถึงด้วยอำนาจราคะ.
บทว่า อนปาโย ได้แก่ ไม่เข้าถึงด้วยอำนาจปฏิฆะ.
บทว่า อนิสฺสิโต ได้แก่ อันตัณหานิสัย และทิฏฐินิสัย อาศัยอยู่
ไม่ได้.
บทว่า อุปฺปฏิพทฺโธ ได้แก่ ไม่ถูกฉันทราคะผูกพัน.
บทว่า วุปฺปมุตฺโต ได้แก่ หลุดพ้นจากกามราคะ.
บทว่า วิสํยุตฺโต ได้แก่ พรากจากโยคะ 4 หรือกิเลสทั้งปวง.
บทว่า วิมริยาทิกเตน คือทำไม่ให้มีเขตแดน.
บทว่า เจตสา คือ อยู่ด้วยจิตอย่างนั้น.
เขตแดนในคำว่า วิมริยาทิกเตน นั้นมี 2 อย่าง คือเขตแดน คือ
กิเลส และเขตแดนคืออารมณ์. ก็ถ้าพระเถระนั้น ปรารภธรรม 16 ประ-
การ อันเป็นไปในภายในสมาบัติ เกิดกิเลสมีราคะ เป็นต้น การเกิดกิเลสขึ้น
นั้น พึงมีด้วยเขตแดนคือกิเลส. แต่ในบรรดาธรรม 16 เหล่านั้น แม้ข้อหนึ่ง
ก็ไม่เกิดแก่พระเถระนั้น เพราะเหตุนั้น เขตแดนคือกิเลสย่อมไม่มี เขตแดน
คืออารมณ์ก็ไม่มี. ก็ถ้าพระเถระนั้นนึกถึงธรรม 16 ประการอันเป็นไปในภาย
ในสมาบัติ ธรรมบางข้อพึงมาตามครรลอง เนื้อเป็นอย่างนั้น เขตแดน คือ
อารมณ์ก็จะพึงมีแก่พระเถระนั้น ก็เมื่อพระเถระนั้นนึกถึงธรรม 16 ประการ

เหล่านั้น ชื่อว่าธรรมที่จะไม่มาตามครรลอง ย่อมไม่มี เพราะเหตุนั้น แม้
เขตแดนคืออารมณ์ก็ย่อมไม่มี.
เขตแดน 2 อย่าง ประการอื่นอีก คือ เขตแดน คือ วิกขัมภนะ
(การข่มไว้) และเขตแดนคือ สมุจเฉท (การตัดขาด). ใน 2 อย่างนั้น เขต
แดนคือ สมุจเฉท จักมีข้างหน้า. แต่ในที่นี้ประสงค์เอาเขตแดนคือวิกขัม-
ภนะ เพราะพระเถระนั้นข่มข้าศึกได้แล้ว เขตแดนคือการข่มจึงไม่มี เพราะ
เหตุนั้น ท่านจึงอยู่ด้วยใจอันกระทำให้ปราศจากเขตแดน.
บทว่า อุตฺตรินิสฺสรณํ ได้แก่ เป็นเครื่องสลัดออกอันยิ่งไปกว่า
นั้น. ก็ในพระสูตรทั้งหลายอื่นๆ ท่านกล่าวพระนิพพานว่า เป็นเครื่องสลัด
ออกอันยิ่ง. แต่ในสูตรนี้พึงทราบว่า ประสงค์เอาคุณวิเศษอย่างยอดเยี่ยม.
บทว่า ตพฺพหุลีการา ได้แก่ เพราะทำความรู้นั้นให้มาก.
บทว่า อตฺถิ เตฺววสฺส โหติ ความว่า พระเถระนั้นย่อมมีความ
รู้นั้น นั่นแล มั่นคงยิ่งขึ้นอีกว่า ธรรมเครื่องสลัดออกที่ยิ่งขึ้นไป ยังมีอยู่.
แม้ในวาระที่เหลือก็พึงทราบเนื้อความโดยนัยนี้.
ส่วนในวาระที่ 2 ชื่อว่า ความผ่องใส เพราะอรรถว่า แจ่มใส.
พระสารีบุตรย่อมกำหนดธรรมเหล่านั้น ได้โดยสภาพ.
ในวาระที่ 4 บทว่า อุเปกฺขา ได้แก่ อุเบกขาเวทนานั่นแล ใน
ฐานะที่เป็นสุข (เวทนา) บทว่า ปสิทฺธตฺตา (ปริสุทฺธตฺตา) เจตโส
อนาโภโค
ความว่า ความสุขนี้ ท่านกล่าวว่าหยาบ เพราะมีการผูกใจไว้
ว่าในฌานนั้น ความสุขใดยังมีอยู่ ดังนี้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง
ตรัสถึงการไม่ผูกใจไว้ เพราะความเป็นผู้มีสติบริสุทธิ์อย่างนี้. อธิบายว่า
เพราะไม่มีความสุขอย่างหยาบนั้น.

บทว่า สติปาริสุทฺธิ คือ สติบริสุทธิ์นั่นแหละ. แม้อุเบกขาก็ชื่อ
ว่า อุเบกขาบริสุทธิ์.
บทว่า สโต วุฏฺฐหติ ความว่า เป็นผู้ประกอบด้วยสติ คือ รู้
ด้วยญาณ ย่อมออก (จากฌาน).
บทว่า เต ธมฺเม สมนุปสฺสติ ความว่า เพราะในเนวสัญญา-
นาสัญญายตนฌาน การเห็นแจ้งธรรมตามลำดับบทย่อมมีได้ เฉพาะพระพุทธ-
เจ้าทั้งหลายเท่านั้น สำหรับพระสาวกทั้งหลายย่อมมีไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อ
จะทรงแสดงวิปัสสนากลาป (การเห็นแจ้งเป็นหมวดเป็นหมู่) ในเนวสัญญา-
นาสัญญายตนฌานนี้ จึงตรัสอย่างนี้.
บทว่า ปญฺญาย จสฺส ทสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติ
ความว่า เพราะเห็นสัจจะ 4 ด้วยมรรคปัญญา อาสวะทั้ง 4 ย่อมเป็นอันสิ้น
ไป. พระสารีบุตรเถระมีทั้งวาระบรรลุพระอรหัต ทั้งวาระเข้านิโรธสมาบัติ
เพราะนำเอาสมถะและวิปัสสนามาเจริญควบคู่กันไป. ในที่นี้ พระองค์ทรง
ถือเอาแต่วาระที่บรรลุพระอรหัต. บางท่านกล่าวว่า พระสารีบุตรเถระเข้า
นิโรธ แล้วๆ เล่าๆ ด้วยความชำนาญแห่งจิต.
ในวาระทั้งสองนั้น ท่านมีปกติเข้านิโรธสมาบัติในกาลใด ในกาล
นั้น วาระแห่งนิโรธย่อมมา ผลสมาบัติเป็นอันเก็บซ่อนไว้ ในกาลใด เข้าผล
สมาบัติเป็นปกติ ในกาลนั้น วาระของผลสมาบัติก็มา นิโรธสมาบัติเป็น
อันเก็บซ่อนไว้. ส่วนพระเถระชาวชมพูทวีปกล่าวว่า แม้พระสารีบุตรเถระก็นำ
เอาสมถะและวิปัสสนาทั้งคู่มา (บำเพ็ญ) ทำให้แจ้งอนาคามิผลแล้ว จึงเข้า
นิโรธสมาบัติ ออกจากนิโรธสมาบัติแล้วบรรลุพระอรหัต.
บทว่า เต ธมฺเม ได้แก่ รูปธรรมที่เกิดแต่สมุฏฐาน 3 อันเป็นไป
ในภายในสมาบัติ หรือธรรมอันเป็นไปในเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติข้าง

ต้น. เพราะแม้ธรรมเหล่านั้น ก็เป็นธรรมที่จะต้องพิจารณาเห็นแจ้งในวาระ
นี้เหมือนกัน. เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ตรัสคำนี้ เพื่อแสดงว่าพระสารีบุตรเถระ
ย่อมเห็นแจ้งธรรมเหล่านั้น.
บทว่า วสิปฺปตฺโต ได้แก่ เป็นผู้ถึงความเป็นผู้ชำนาญคล่องแคล่ว.
บทว่า ปารมิปฺปตฺโต คือ เป็นผู้ถึงความสำเร็จ.
ในบทว่า โอรโส เป็นต้น ชื่อว่าเป็นโอรส เพราะเกิด โดยฟัง
พระสุรเสียงอันเกิดในพระอุระของพระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่า เกิดแต่พระโอฐ
เพราะเกิดโดยได้สดับ พระสุรเสียงอันเกิดแต่พระโอฐ
อนึ่ง พึงทราบว่า ชื่อว่าเกิดแต่ธรรม เพราะเป็นผู้เกิดโดยธรรม
และพึงทราบว่า ชื่อว่า ธรรมเนรมิต เพราะธรรมเนรมิตขึ้น พึงทราบว่า
ชื่อว่า เป็นทายาททางธรรม เพราะถือเอาส่วนแบ่งคือ ธรรม พึงทราบว่า
ไม่ใช่ทายาททางอามิส เพราะไม่ได้ถือส่วนแบ่งคืออามิส. คำที่เหลือในบท
ทั้งปวงง่ายทั้งนั้น.
จบ อรรถกถาอนุปสูตรที่ 1

2. ฉวิโสธนสูตร



หลักการตรวจสอบจิตที่พ้นจากอาสวะ



[166] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน
อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถีสมัยนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้า ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้น
ทูลรับพระดำรัสแล้ว.

โวหาร 4



[167] พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสคำนี้ ไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พยากรณ์อรหัตผลว่า ข้าพเจ้ารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่าง
นี้มิได้มี. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย ไม่ควรชมเชย ไม่ควรคัดค้าน
คำที่ภิกษุนั้นกล่าวแล้ว. ครั้นแล้ว ควรถามปัญหาเธอว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ
พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมา-
สัมพุทธเจ้าตรัสโวหารไว้ 4 อย่างเหล่านั้น โดยชอบ, 4 อย่างคืออะไร? คือ
ความที่บุคคลมีปกติกล่าวสิ่งที่เห็นแล้ว ว่าได้เห็นแล้ว 1
ความที่บุคคลมีปกติกล่าวสิ่งที่ได้ยินแล้ว ว่าได้ยินแล้ว 1
ความที่บุคคลมีปกติกล่าวสิ่งที่ได้ทราบแล้ว ว่าได้ทราบแล้ว 1
ความที่บุคคลมีปกติกล่าวสิ่งที่ได้รู้แล้ว ว่าได้รู้แล้ว 1
นี้แล โวหาร 4 อย่างที่ พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรง