เมนู

พระสุตตันตปิฎก
มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
เล่มที่ 2 ภาคที่ 1



ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


1 คหปติวรรค
1. กันทรกสูตร


สติปัฏฐาน 4 เป็นธรรมสำหรับผู้ยังต้องศึกษา


[1] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ฝั่งสระโบกขรณี ชื่อ
คัคครา เขตนครจัมปา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ครั้งนั้นบุตรนายหัตถา-
จารย์ชื่อเปสสะและปริพาชกชื่อกันทรกะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึง
ที่ประทับ ครั้นแล้ว นายเปสสหัตถาโรหบุตร ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ส่วนกันทรกปริพาชกได้ปราศรัยกับพระผู้มี
พระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่
ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วเหลียวดูภิกษุสงฆ์ผู้นิ่งเงียบอยู่ แล้วได้กราบทูลพระผู้มี
พระภาคเจ้าว่า น่าอัศจรรย์ ท่านพระโคดม ไม่เคยมี ท่านพระโคดม เพียง
เท่านี้ ท่านพระโคดมชื่อว่าทรงให้ภิกษุสงฆ์ปฏิบัติชอบแล้ว ท่านพระโคดม
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใดได้มีแล้วในอดีตกาล แม้พระผู้มีพระภาค-

เจ้าเหล่านั้น ก็ทรงให้ภิกษุสงฆ์ปฏิบัติชอบเป็นอย่างยิ่งเพียงเท่านี้ เหมือนท่าน
พระโคดมทรงให้ภิกษุสงฆ์ปฏิบัติชอบในบัดนี้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เหล่าใด จักมีในอนาคตกาล แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้น ก็จักทรงให้
ภิกษุสงฆ์ปฏิบัติชอบเป็นอย่างยิ่งเพียงเท่านี้ เหมือนท่านพระโคดมทรงให้
ภิกษุสงฆ์ปฏิบัติชอบในบัดนี้.
[2] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนกันทรกะ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น
ดูก่อนกันทรกะ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใด ได้มี
แล้วในอดีตกาล แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้น ก็ทรงให้ภิกษุสงฆ์ปฏิบัติชอบ
เป็นอย่างยิ่งเพียงเท่านี้ เหมือนเราให้ภิกษุสงฆ์ปฏิบัติชอบในบัดนี้.
ดูก่อนกันทรกะ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใด จักมีในอนาคต-
กาล แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้น ก็จักทรงให้ภิกษุสงฆ์ปฏิบัติชอบเป็นอย่าง
ยิ่งเพียงเท่านี้ เหมือนเราให้ภิกษุสงฆ์ปฏิบัติชอบในบัดนี้.
ดูก่อนกันทรกะ ก็ในภิกษุสงฆ์นี้ ภิกษุทั้งหลายผู้อรหันตขีณาสพอยู่
จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว ปลงภาระเสียแล้ว มีประโยชน์
ตนถึงแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยชอบ มี
อยู่ ดูก่อนกันทรกะ อนึ่ง ในภิกษุสงฆ์นี้ ภิกษุทั้งหลายผู้ยังต้องศึกษา มีปรกติ
สงบ มีความประพฤติสงบ มีปัญญา เลี้ยงชีพด้วยปัญญามีอยู่ เธอเหล่านั้นมีจิต
ตั้งมั่นดีแล้ว ในสติปัฏฐาน 4. สติปัฏฐาน 4 เป็นไฉน. ดูก่อนกันทรกะ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นภายในกายอยู่ มีความเพียร มีสติ มีสัม-
ปชัญญะ กำจัดอภิชฌา ละโทมนัสในโลกเสียได้ พิจารณาเห็นเวทนา ใน
เวทนาอยู่ มีความเพียร มีสติ มีสัมปชัญญะ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก
เสียได้ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสติ มีสัมปชัญญะ กำจัด

อภิชฌาและโสมนัสในโลกเสียได้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร
มีสติ มีสัมปชัญญะ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้.
[3] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว นายเปสสหัตถาโรหบุตร
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า น่าอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าข้า ไม่เคยมี พระ
พุทธเจ้าข้า สติปัฏฐาน 4 นี้ พระองค์ทรงบัญญัติไว้ดีแล้ว เพื่อความบริสุทธิ์
ของสัตว์ทั้งหลายเพื่อก้าวล่วงความโศกและความร่ำไร เพื่อความดับแห่งทุกข์
และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ที่จริง แม้
พวกข้าพระพุทธเจ้าเป็นคฤหัสถ์นุ่งผ้าขาว ก็ยังมีจิตตั้งมั่นดีแล้วใน
สติปัฏฐาน 4 เหล่านี้อยู่ตามกาลที่สมควร
ขอประทานพระวโรกาส พวก
ข้าพระพุทธเจ้าพิจารณาเห็นภายในกายอยู่ มีความเพียร มีสติ มีสัมปชัญญะ
กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มี
ความเพียร มีสติ มีสัมปชัญญะ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้
พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสติ มีสัมปชัญญะ กำจัดอภิชฌาและ
โทมนัสในโลกเสียได้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสติ มีสัม-
ปชัญญะ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้ น่าอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าข้า
ไม่เคยมี พระพุทธเจ้าข้า เพียงเท่านี้ พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าชื่อว่า
ย่อมทรงทราบประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ของสัตว์ทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์รกชัฏ
เป็นไปอย่างนี้ ในเมื่อมนุษย์เดนกาก เป็นไปอยู่อย่างนี้ ในเมื่อมนุษย์โอ้อวด
เป็นไปอยู่อย่างนี้ ก็สิ่งที่รกชัฏคือมนุษย์ สิ่งที่ตื้นคือสัตว์ พระพุทธเจ้าข้า
ด้วยว่าข้าพระพุทธเจ้าสามารถจะให้ช้างที่พอฝึกแล้วแล่นไปได้ ช้างนั้น
จักทำนครจัมปา ให้เป็นที่ไปมาโดยระหว่าง ๆ จักทำความโอ้อวด ความโกง

ความคด ความงอนั้นทั้งหมดให้ปรากฏด้วย ส่วนมนุษย์ คือทาส คนใช้
หรือกรรมกรของข้าพระพุทธเจ้า ย่อมพระพฤติด้วยกายเป็นอย่างหนึ่ง ด้วยวาจา
เป็นอย่างหนึ่ง และจิตของเขาเป็นอย่างหนึ่ง น่าอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าข้า ไม่
เคยมี พระพุทธเจ้าข้า เพียงเท่านี้ พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าชื่อว่า
ย่อมทรงทราบประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ของสัตว์ทั้งหลายในเมื่อมนุษย์รกชัฏ
เป็นไปอยู่อย่างนี้ ในเมื่อมนุษย์เดนกาก เป็นไปอยู่อย่างนี้ ในเมื่อมนุษย์
โอ้อวด เป็นไปอยู่อย่างนี้ ก็สิ่งที่รกชัฏคือมนุษย์ สิ่งที่ตื้นคือสัตว์.

บุคคล 4 จำพวก


[8] พ. ดูก่อนเปสสะ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ดูก่อนเปสสะ ข้อนี้เป็น
อย่างนั้น ก็สิ่งที่รกชัฏ คือมนุษย์ สิ่งที่ตื้น คือสัตว์ ดูก่อนเปสสะ บุคคล 4
จำพวกนี้มีอยู่ หาได้อยู่ในโลก 4 จำพวกนั้นเป็นไฉน.
1. ดูก่อนเปสสะ บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำตนให้เดือดร้อน
ประกอบการขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อน.
2. ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ ทำผู้อื่นให้เดือดร้อนและประ-
กอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน.
3. บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำตนให้เดือดร้อน และประกอบ
ความขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อน ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน และประกอบ
ความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน.
4. ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ประ-
กอบความขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่
ประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน.

บุคคลผู้ไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อนนั้น ไม่มีความ
หิว ดับสนิท เป็นผู้เย็น เสวยแต่ความสุข มีตนเป็นดังพรหมอยู่ในปัจจุบัน
ดูก่อนเปสสะ บรรดาบุคคล 4 จำพวกนี้ จำพวกไหนจะยังจิตของท่านให้ยินดี.
[5] เป. พระพุทธเจ้าข้า บุคคลผู้ทำตนให้เดือดร้อน ประกอบความ
ขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อนนี้ ไม่ยังจิตของข้าพระพุทธเจ้าให้ยินดีได้
แม้บุคคลผู้ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือด
ร้อน ก็ไม่ยังจิตของข้าพระพุทธเจ้าให้ยินดีได้ แม้บุคคลทำตนให้เดือดร้อน และ
ประกอบความขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อน ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน และ
ประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ก็ไม่ยังจิตของข้าพระพุทธ
เจ้าให้ยินดีได้ ส่วนบุคคลใดไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ประกอบความขวนขวาย
ในการทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่ประกอบความขวนขวาย
ในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน บุคคลนั้นไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือด
ร้อน ไม่มีความหิว ดับสนิท เป็นผู้เย็น เสวยแต่ความสุข มีตนเป็นดังพรหม
อยู่ในปัจจุบัน บุคคลนี้ย่อมยังจิตของข้าพระพุทธเจ้าให้ยินดี.
พ. ดูก่อนเปสสะ ก็เพราะเหตุไรเล่า บุคคล 3 จำพวกนี้ จึงยังจิต
ของท่านให้ยินดีไม่ได้.
[6] เป. พระพุทธเจ้าข้า บุคคลผู้ทำตนให้เดือดร้อน ประกอบความ
ขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อนนี้ เขาย่อมทำตนซึ่งรักสุข เกลียดทุกข์ ให้
เดือดร้อน เร่าร้อน ด้วยเหตุนี้ บุคคลนี้จึงไม่ยังจิตของข้าพระพุทธเจ้าให้ยินดีได้
แม้บุคคลผู้ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือด
ร้อน เขาก็ย่อมทำผู้อื่นซึ่งรักสุข เกลียดทุกข์ ให้เดือดร้อน เร่าร้อน ด้วยเหตุ
นี้ บุคคลนี้จึงไม่ยังจิตของข้าพระพุทธเจ้าให้ยินดีได้ แม้บุคคลผู้ทำตนให้เดือด
ร้อน และประกอบความขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อน ทำผู้อื่นให้เดือด

ร้อน และประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน เขาก็ย่อมทำตน
และผู้อื่นซึ่งรักสุขเกลียดทุกข์ให้เดือดร้อน เร่าร้อน ด้วยเหตุนี้ บุคคลนี้จึง
ไม่ยังจิตของข้าพระพุทธเจ้าให้ยินดีได้ ก็แลบุคคลผู้ไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่
ประกอบความขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อน เขาไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน
ไม่ประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน เขาไม่ทำตนให้เดือด
ร้อนไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่มีความหิว ดับสนิท เป็นผู้เย็น เสวยแต่
ความสุข มีตนเป็นดังพรหมอยู่ในปัจจุบันนี้ ด้วยเหตุนี้ บุคคลนี้ ย่อมยังจิต
ของข้าพระพุทธเจ้าให้ยินดีได้ พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าจะขอลาไป
ณ บัดนี้ ข้าพระพุทธเจ้ามีกิจมาก มีธุระที่ต้องทำมาก.
พ. ดูก่อนเปสสะ บัดนี้ ท่านจงทราบกาลอันควรเถิด.
ลำดับนั้น นายเปสสหัตถาโรหบุตรชื่นชมอนุโมทนาภาษิตพระผู้มี-
พระภาคเจ้า แล้วลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า กระทำ
ประทักษิณ แล้วหลีกไป.
[7] ครั้งนั้น เมื่อนายเปสสหัตถาโรหบุตรหลีกไปไม่นาน พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นายเปสสหัตถา-
โรหบุตรเป็นบัณฑิต ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นายเปสสหัตถาโรหบุตรมีปัญญามาก
ถ้านายเปสสหัตถาโรหบุตรพึงนั่งอยู่ครู่หนึ่ง ชั่วเวลาที่เราจำแนกบุคคล 4
จำพวกนี้โดยพิสดารแก่เขา เขาจักเป็นผู้ประกอบด้วยประโยชน์ใหญ่ อนึ่ง แม้
ด้วยการฟังโดยสังเขปเพียงเท่านี้ นายเปสสหัตถาโรหบุตรยังประกอบด้วย
ประโยชน์ใหญ่ พวกภิกษุกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า นี้เป็นกาล
ข้าแต่พระสุคต นี้เป็นกาลของการที่พระผู้มีพระภาคเจ้า จะพึงทรงจำแนก
บุคคล 4 จำพวก นี้โดยพิสดาร ภิกษุทั้งหลายได้ฟังต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
โดยพิสดารแล้วจักทรงจำไว้.