เมนู

ติสสเถระ เป็นต้น และเพื่อดับโทมนัสของตนทั้งหลาย เหมือนของ
ท้าวสักกะ เป็นต้น . ในเรื่องนั้น มีการแสดงเนื้อความดังต่อไปนี้ :-

พระเถระทุบเท้า


เล่ากันมาว่า ในนครสาวัตถี บุตรชาวกุฏุมพี ชื่อว่า ติสสะ
ละทิ้งเงิน 40 โกฏิ ออกบวช แล้วอยู่ในป่า ที่ไม่มีบ้าน. ภรรยาน้องชาย
คนสุดท้องของเขา ส่งโจร 500 คนไปโดยสั่งว่า ไปเถอะ พวกเจ้า
จงปลงชีวิตพระรูปนั้น พวกเขาพากันไปนั่งล้อมพระเถระไว้.
พระเถระพูดว่า พากันมาทำไม อุบาสก ?
พวกผมจักปลงชีวิตท่าน โจรบอก.
อุบาสก ท่านทั้งหลาย จงยึดเอาตัวอาตมาไว้เป็นประกันแล้วให้
ชีวิตอาตมาไว้คืนวันนี้ลืมเดียวเถิด พระเถระขอร้อง.
ท่านสมณะ ใครจักเป็นผู้ค้ำประกันให้ท่านให้ที่นี้ ? โจรถาม.
พระเถระหยิบหินก้อนใหญ่มาทุบกระดูกขาทั้ง 2 ข้างให้หักแล้ว
บอกว่า อุบาสกเอ๋ย ตัวประกัน (คนนี้) สมควร (ไหม ?)
พวกเขาพากันหลีกไปก่อไฟนอนที่ต้นทางเดินจงกรม (ของท่าน).
เมื่อพระเถระข่มเวทนาไว้แล้ว พิจารณาศีล เพราะอาศัยศีลบริสุทธิ์ ปีติ-
ปราโมทย์จึงเกิดขึ้น. ลำดับต่อจากนั้น ท่านก็เจริญวิปัสสนา บำเพ็ญ
สมณธรรมตลอดราตรีทั้ง 3 ยาม เวลารุ่งอรุณ ได้บรรลุพระอรหัต
แล้วได้เปล่งอุทานบทนี้ว่า
เราทุบเท้าทั้ง 2 ข้าง สัญญากะท่านทั้งหลายไว้

เราเอือมระอาความตายทั้ง ๆ ที่ยังมีราคะ ครั้นคิด
อย่างนี้แล้ว เราก็เห็นแจ้งตามความจริง เมื่อถึงเวลา
อรุณขึ้น จึงได้บรรลุพระอรหัต.

พระได้บรรลุพระอรหัตในปากเสือโคร่ง


ภิกษุแม้เหล่าอื่นอีก 30 รูป เรียนเอากรรมฐาน ในสำนักของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วจำพรรษาที่อรัญวิหาร พูด (ตกลงกันไว้)
ว่า คุณ เราทั้งหลายต้องบำเพ็ญสมณธรรมกันตลอดราตรีทั้ง 3 ยาม
และไม่ควรไปมาหาสู่กัน ดังนี้แล้ว จึงพากันอยู่. เมื่อท่านเหล่านั้นบำเพ็ญ
สมณธรรมแล้ว เวลาเช้าออกไป ( จากวัด ) เสือโคร่งตัวหนึ่งมาคาบ
เอาพระไปคราวละ 1 รูป ไม่มีใครส่งเสียงเลยว่า เสือโคร่งตะครุบผม.
เมื่อภิกษุถูกเสือคาบไปกินถึง 15 รูปอย่างนี้ ในวันอุโบสถ จึงถามกันว่า
พระนอกนี้ไปไหนกันคุณ ? พอรู้เรื่องแล้วก็พูด (ตกลงกันใหม่) ว่า
ต่อไปนี้ ใครถูกเสือโคร่งตะครุบควรบอกกันว่า เสือโคร่งตะครุบผม
ดังนี้แล้ว อยู่กันต่อไป. ภายหลัง เสือโคร่งได้ตะครุบภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง
แบบครั้งก่อนนั้นแหละ. เธอได้บอกว่า ท่านครับ เสือโคร่ง. ภิกษุ
ทั้งหลายพากันถือไม้เท้าและคบเพลิงติดตามไปด้วยหมายใจว่า จะให้มัน
ปล่อย. เสือโคร่งได้ขึ้นไปที่ช่องเขาขาดที่พระขึ้นไปไม่ได้ เริ่มจะกิน
พระนั้น ตั้งแต่นิ้วเท้าขึ้นไป. พระภิกษุนอกจากนี้ได้พากันกล่าวว่า ท่าน
ผู้เป็นสัตบุรุษเอ๋ย บัดนี้ พวกผมช่วยอะไรคุณไม่ได้แล้ว ธรรมดาคุณ-
วิเศษของภิกษุทั้งหลายจะปรากฏ (ให้เห็น) ก็ในสถานการณ์เช่นนี้