เมนู

ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคนั้นเทอญ. คำที่เหลือมีนัยดังที่กล่าวมาแล้วนั้นแหละ
ดังนี้แล.
จบ กถาพรรณนานามรูปวาระ

กถาพรรณนาวิญญาณวาระ


[126] พึงทราบวินิจฉัย ในวิญญาณวาระ (ต่อไป) :-
วิญญาณในเพราะจักษุ ชื่อว่าจักขุวิญญาณ อีกอย่างหนึ่ง วิญญาณ
ที่เกิดขึ้นแล้วจากจักษุ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าจักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ
ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ และกายวิญญาณ ก็อย่างนี้ เหมือนกัน.
แต่วิญญาณนี้ ได้แก่มโนนั่นเอง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่ามโนวิญญาณ.
คำว่า มโนวิญญาณ นี้ เป็นชื่อของวิบากจิตที่เป็นไปในภูมิ 3 เว้นทวิ-
ปัญจวิญญาณ.
แต่ในคำว่า สงฺขารสมุทยา นี้ ผู้ศึกษาพึงทราบการเกิดขึ้นแห่ง
วิญญาณ เพราะสังขารเกิด ตามนัยที่ได้กล่าวไว้แล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรค
นั่นเอง โดยวิญญาณที่มีสังขารเป็นปัจจัย. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้ว
นั่นแหละ ดังนี้แล.
จบ กถาพรรณนาวิญญาณวาระ

กถาพรรณนาสังขารวาระ


[127] พึงทราบวินิจฉัยในสังขารวาระ (ต่อไป) :-
สังขารมีการปรุงแต่งเป็นลักษณะ. แต่ว่า ในวาระแห่งวิตถารนัย

ของสังขารนั้น สังขารที่เป็นไปแล้วทางกาย ชื่อว่ากายสังขาร.
คำว่า กายสังขาร นี้ เป็นชื่อของสัตเจตนา 2 ดวง คือ 8
ดวง จากกามาวจรกุศล และ 12 ดวง จาก ( กามาวจร) อกุศลที่เป็นไป
แล้วโดยการไหวในกายทวาร.
คำว่า วจีสังขาร นี้ เป็นชื่อของวจีสัญเจตนา 20 ดวงเหมือนกัน
ที่เป็นไปแล้วโดยการเปล่งถ้อยคำในวจีทวาร.
สังขารที่เป็นไปแล้วทางจิต ชื่อว่าจิตตสังขาร คำว่า จิตตสังขาร
นี้ เป็นชื่อของมโนสัญเจตนา 1 ดวง โดยโลกิยกุศลและโลกิยอกุศลที่
เป็นไปแล้ว ( เกิดขึ้น) แก่ผู้นั่งคิดอยู่ในที่ลับโดยไม่ได้ทำการไหวกาย
และวาจา. ก็ในคำว่า อวิชฺชาสมุทยา นี้ พึงทราบวินิจฉัยว่า อวิชชา
ของสังขารที่เป็นกุศลโดยอุปนิสสยปัจจัยบ้าง ของสังขารที่เป็นอกุศล โดย
สหชาตปัจจัยเป็นต้นบ้าง. คำที่เหลือมีนัยดังที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง ดังนี้แล
จบ กถาพรรณนาสังขารวาระ

กถาพรรณนาอวิชชาวาระ


[128 ] พึงทราบวินิจฉัยในอวิชชาวาระ. (ต่อไป) :-
ความไม่รู้ในทุกขสัจ ชื่อว่าความไม่รู้ในทุกข์. คำว่า ทุกฺเข
อญฺญาณํ นี้ เป็นชื่อของโมหะ. ในคำทั้งหลายมีอาทิว่า สมุทเย
อญฺญาณํ ก็มีนัยนี้.
ในจำนวนสัจจะทั้ง 4 นั้น การไม่รู้ในทุกข์ พึงทราบได้โดยเหตุ
4 ประการ คือ โดยการหยั่งลงภายใน 1 โดยฐาน (ที่ตั้ง) 1 โดยอารมณ์ 1
โดยการปกปิดไว้ 1. จริงอย่างนั้น การไม่รู้ทุกข์นั้น ชื่อว่าหยั่งลง