เมนู

เกิดขึ้น ด้วยสำคัญว่า ได้บรรลุแล้วในธรรมที่คนยังไม่ได้บรรลุ ชื่อว่า
ผู้มีมานะยิ่ง ในคำว่า อธิมานิกานํ นั้น. ก็แต่ว่า อธิมานะ (มานะยิ่ง)
นี้ เมื่อจะเกิดขึ้น จะไม่เกิดขึ้นแก่พาลปุถุชนผู้รำลึกถึงโลกานุวัตรเนือง1
เลย และจะไม่เกิดขึ้นแก่อริยสาวกทั้งหลาย. อธิบายว่า อธิมานะว่า
เราเป็นพระสกทาคามี จะไม่เกิดแก่พระโสดาบัน อธิมานะว่า เราเป็น
พระอนาคามี จะไม่เกิดแก่พระสกทาคามี อธิมานะว่า เราเป็นพระอรหันต์
จะไม่เกิดแก่พระอนาคามี แต่จะเกิดเฉพาะการกบุคคลเท่านั้น ผู้ข่มกิเลส
ไว้ได้ด้วยอำนาจสมถะ หรือด้วยอำนาจวิปัสสนา ผู้ปรารภวิปัสสนาแล้ว
ขะมักเขม้นเป็นนิจ. อันที่จริงการกบุคคลนั้น เมื่อไม่เห็นการฟุ้งขึ้นแห่ง
กิเลสที่ข่มไว้ได้ด้วยสมถะ หรือที่ข่มไว้ได้ด้วยวิปัสสนา อธิมานะว่า เรา
เป็นพระโสดาบันบ้าง เราเป็นพระสกทาคามีบ้าง เราเป็นพระอนาคามีบ้าง
เราเป็นพระอรหันต์บ้าง จะเกิดขึ้น เหมือนกับพระเถระทั้งหลาย ที่ท่าน
ธรรมทินนเถระผู้อาศัยอยู่ที่ตลังครติสสบรรพต ได้ตักเตือนแล้ว.

เรื่องพระธรรมทินนเถระตักเตือนศิษย์


ได้ทราบว่า ภิกษุหลายรูป ได้ตั้งตนอยู่ในโอวาทของพระเถระผู้
อุปสมบทแล้วไม่นานเลย ก็พากันบรรลุคุณวิเศษ. ภิกษุสงฆ์ชาวติสส-
มหาวิหาร
ได้ทราบพฤติกรรมนั้นแล้ว ลงความเห็นว่าพระเถรูประกอบ
ในเรื่องที่เป็นรูปไม่ได้ ท่านทั้งหลายจงนำเอาพระเถระมา แล้วได้ส่ง
ภิกษุหลายรูปไป. ภิกษุเหล่านั้นไปถึงแล้ว ได้เรียนว่า ท่านธรรมทินนะ
ครับ ภิกษุสงฆ์เรียกหาท่าน. ท่านกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่าน

1. ฉบับพม่าเป็น โลกานุวฏฺฏานุสารีนํ ผู้คล้อยตามและระลึกถึงเรื่องโลกบ่อยๆ.

ทั้งหลายจะแสวงหาตนหรือคนอื่น. ภิกษุทั้งหลายเรียนว่า ข้าแต่ท่าน
สัตบุรุษ เราทั้งหลายแสวงหาตน. พระเถระนั้นได้ให้กรรมฐานแก่ภิกษุ
เหล่านั้น. ภิกษุเหล่านั้นได้บรรลุอรหัตกันหมดทุกรูป. ภิกษุสงฆ์จึงได้
ส่งภิกษุจำพวกอื่นไปอีก. ภิกษุที่สงฆ์ส่งไปอย่างนี้ถึง 3 ครั้ง ก็ได้บรรลุ
อรหัตเหมือนกันทั้งหมดแล้ว อยู่ (กับพระเถระนั้น). ต่อจากนั้นมา
พระสงฆ์เห็นว่า พระที่ไป ๆ แล้ว ไม่กลับนา จึงได้ส่งภิกษุหลวงตาอีก
รูปหนึ่งไป.
หลวงตานั้นครั้นไปถึงแล้ว ได้พูดว่า ข้าแต่ท่านธรรมทินนะ
ภิกษุสงฆ์สำนักติสสมหาวิหาร ส่งพระมาที่สำนักท่านถึง 3 ครั้ง แต่ท่าน
เองไม่ทำความเคารพอาณัติสงฆ์ ไม่มา ( ไปตามคำสั่ง) พระเถระ
ตอบว่า นี่อะไรกัน ? แล้วให้หลวงตานั้นรับเอาบาตร และจีวรโดยไม่
ต้องเข้าบรรณศาลาแล้วออกไปในทันทีทันใดนั่นแหละ. ท่านได้แวะไปยัง
หังกนวิหาร1 ในระหว่างทาง. และในหังกนวิหารนั้น มีมหาเถระรูปหนึ่ง
มีพรรษา 60 ล่วงแล้ว ปฏิญาณตนเป็นพระอรหันต์ ด้วยมานะยิ่ง พระ
เถระเข้าไปหาท่านไหว้ กระทำปฏิสันถาร แล้วได้เรียนถามถึงคุณธรรม
ที่ได้บรรลุ. พระเถระกล่าวว่า เออ ท่านธรรมทินนะ กิจที่บรรพชิต
พึงทำ ผมได้ทำเสร็จนานแล้ว บัดนี้ ผมก็พรรษา 60 ล่วงแล้ว. ท่าน
ธรรมทินนะ
เรียนถามว่า ใต้เท้าครับ ได้เท้ายังใช้ฤทธิ์อยู่บ้างหรือไม่ ?
ท่านตอบว่าใช้อยู่ ท่านธรรมทินนะ. ท่านธรรมทินนะ เรียนว่า ดีแล้ว
ครับ ใต้เท้า ขอนิมนต์ใต้เท้าเนรมิตช้างกำลังเดินมาประจันหน้าใต้เท้า
(ให้ดู ) เถิด. พระเถระรับคำนิมนต์แล้ว ได้เนรมิตช้างเชือกใหญ่
1. ฉบับพม่าเป็น ตงฺขณวิหารํ ที่อยู่ชั่วคราว.

เผือกผ่อง เป็นที่สถิตแห่งคชลักษณ์ 7 ประการ ตกมันกล้า แกว่งหาง
สอดงวงเข้าปาก รี่มาประจันหน้าคล้ายกับจะเอางาทั้ง 2 แทง ท่านเห็น
ช้างเชือกนั้นที่ตนเนรมิตขึ้นเอง กลัวเริ่มจะวิ่งหนี ในเวลานั้นเอง ท่าน
ก็รู้ตัวว่า เรายังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ จึงนั่งกระโหย่งลงแทบบาทมูลของ
ท่านธรรมทินนะ แล้วกล่าวว่า ขอท่านจงเป็นที่พึ่งแก่ผมเถิด ท่านขอรับ.
ท่านธรรมทินนะได้พูดเอาใจพระเถระว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านอย่าได้
เศร้าโศก อย่าได้เสียใจ มานะยิ่งจะเกิดขึ้นเฉพาะการกบุคคลทั้งหลาย
เท่านั้น แล้วได้ให้กรรมฐาน ( แก่พระเถระ ). พระเถระดำรงอยู่ใน
โอวาทของท่านแล้วได้บรรลุพระอรหัต.
ถึงพระเถระ (อีกรูปหนึ่ง) ก็เช่นกัน อยู่ที่จิตตลดาบรรพต.
ท่านธรรมทินนะ
เข้าไปหาท่าน แล้วถามอย่างนั้นเหมือนกัน1. ทั้งท่านก็
ได้พยากรณ์อย่างนั้นเหมือนกัน. ถัดจากนั้นท่านธรรมทินนะ ก็ได้กล่าว
กะท่านว่า ท่านได้ใช้ฤทธิ์บ้างหรือไม่ ? พระเถระตอบรับคำ. ท่าน
ธรรมทินนะ
เรียนท่านว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดีแล้วขอรับ ขอให้ท่าน
เนรมิตสระโบกขรณีขึ้น 1 สระเถิด. พระเถระได้เนรมิต (ตามที่ขอร้อง)
ท่านธรรมทินนะเรียนว่า ท่านขอรับ ขอให้ท่านเนรมิตกอบัวขึ้นในสระนี้
ด้วยเถิด. พระเถระก็เนรมิตกอบัวขึ้น (ตามที่ขอร้อง ). ท่านธรรมทินนะ
ขอร้องว่า ขอให้ท่านเนรมิตร่างหญิงคนหนึ่ง ยืนร้อง ร่ายรำด้วยเสียง
ไพเราะอยู่บนกอบัวนั้นเถิด. พระเถระก็เนรมิตหญิงนั้น (ตามที่ขอร้อง ).
ท่านธรรมทินนะจึงเรียนว่า ขอให้ท่านเพ่งพินิจหญิงนั้นบ่อย ๆ แล้วตัว
ท่านเองก็เข้าปราสาทไป. เมื่อพระเถระเพ่งหญิงที่เนรมิตขึ้นนั้น กิเลส
1. ฉบับพม่าเป็น ตเถว จึงได้แปลเช่นนั้น.

ที่ข่มไว้เป็นเวลา 60 ปีก็หวั่นไหว. ในครั้งนั้นท่านรู้ตัว จึงขอเรียน
กรรมฐานในสำนักของท่านธรรมทินนเถระ และได้บรรลุพระอรหัต
เหมือนกับพระเถระรูปก่อน.
ส่วนท่านธรรมทินนะ ก็ได้ไปยังติสสมหาวิหารตามลำดับ . และใน
เวลานั้น พระเถระทั้งหลายกวาดลานพระเจดีย์แล้วนั่งกรรมฐาน ยังปีติมี
พระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ให้เกิดขึ้น. นัยว่า การทำอย่างนี้เป็นกิจวัตรของ
ท่านเหล่านั้น. เพราะเหตุนั้น จึงไม่มีพระเถระแม้แต่รูปเดียว บรรดา
พระเถระเหล่านั้นจะบอกจะถามท่านธรรมทินนะว่า ท่านจงวางบาตรและ
จีวรไว้ตรงนี้. แต่ก็รู้กันว่า นั่นคงจะเป็นท่านธรรมทินนะ จึงได้พากัน
ถามปัญหาท่าน. ท่านตอบโต้ตัดปัญหาที่ถาม ๆ มา เหมือนกับใช้ดาบ
ที่คมตัดมัดก้านดอกโกมุท ให้ขาดสะบั้นฉันนั้น แล้วเอานิ้วเท้ากดมหาปฐพี
และพูดว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ มหาปฐพีนี้แม้จะไม่มีจิตใจ ยังรู้คุณค่าของ
ธรรมทินนะ แต่ท่านทั้งหลายไม่รู้จึงได้กล่าวคาถานี้ว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ แผ่นดินนี้ ไม่มีจิตใจ ยังรู้คุณค่า
น้อยใหญ่ ส่วนท่านทั้งหลายมีจิตใจ แต่ไม่รู้คุณค่า
น้อยใหญ่.

สัลเลขธรรมคือฌาน - วิปัสสนา


และในทันใดนั่นเอง ท่านก็ได้เหาะขึ้นไปบนอากาศ ไปยัง
ตลังคติสสบรรพตนั่นเอง.
[102] อธิมานะ ย่อมเกิดขึ้นแก่การกบุคคลเท่านั้น ดังที่กล่าว
มานะแล้ว. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงจำแนกฌาน