เมนู

อรรถกถาสังคีติสูตร



ว่าด้วยธรรมหมวด 1



สังคีติสูตร

มีคำเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ เป็นต้น
ในสังคีติสูตรนั้น มีคำอธิบายไปตามลำดับบที่ ดังต่อไปนี้. คำว่า
จาริกญฺจรมาโน หมายถึงเสด็จเที่ยวไปอย่างนิพัทธจาริก. ได้ยินว่าในครั้ง
นั้น พระศาสดาทรงแผ่ข่าย คือพระญาณไปในหมื่นจักรวาล ตรวจดูสัตว์
โลกอยู่ ได้ทรงเล็งเห็นเหล่ามัลลราช ชาวเมืองปาวา จึงทรงคำนึงว่า
" ราชาเหล่านี้มาปรากฏในข่ายคือสัพพัญญุตญาณของเรา. จะมีอะไรหรือ
หนอ? " ก็ได้ทรงเห็นความข้อนี้ว่า " ราชาทั้งหลายให้สร้างสัณฐาคารขึ้น
แห่งหนึ่ง เมื่อเราไป ก็จักให้เรากล่าวมงคล. เรากล่าวมงคลแก่ราชา เหล่า
นั้นแล้ว ส่ง ( กลับ ) ไปแล้ว จักบอกสารีบุตรว่า " เธอจงกล่าวธรรมกถา
แก่หมู่ภิกษุ สารีบุตรพิจารณาโดยพระไตรปิฏกแล้ว จักกล่าวสังคีติสูตร
แก่หมู่ภิกษุ ประดับไปด้วยปัญหา 1,014 ข้อ, ภิกษุ 500รูป รำลึกถึง
พระสูตร ( นี้ ) แล้ว จักบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา " ดังนี้ จึงได้
เสด็จจาริกไป. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มลฺเลสุ จาริกญฺจรมาโน
คำว่า อุพฺภตกํ เป็นชื่อของ สัณฐาคารแห่งนั้น. อีกนัยหนึ่ง ท่านเรียกว่า
(อุพฺภตกํ) อย่างนั้น เพราะเป็นอาคารสูง. คำว่า สณฺฐาคารํ หมายถึง
ศาลาที่ประชุมกลางเมือง. ในคำว่า สมเณน วา นี้เพราะเหตุที่เทวดาทั้ง

หลาย ย่อมถือเอาที่อยู่ของตนในเวลาที่กำหนดพื้นที่ ( ปลูก ) เรือนนั่นเอง
ฉะนั้นท่านจึงไม่กล่าวว่า เทเวน วา แต่กล่าวว่า สมเณน วา พฺราหฺม
เณน วา เ กนจิ วา มนุสฺสภูเตน
สมณพราหมณ์หรือใคร ๆ ที่เป็นมนุษย์
คำว่า เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ ความว่า พวกเจ้ามัลละได้
สดับ ( ข่าวว่า ) พระผู้มีพระภาคเสด็จมา จึงดำริว่า " แม้พวกเราจะมิได้
ไปทูลเชิญพระผู้มีพระภาคมา ทั้งมิได้ส่งทูตไปกราบทูลให้เสด็จมา แต่
พระองค์ก็เสด็จมาที่อยู่ของพวกเราเอง มีภิกษุหมู่ใหญ่เป็นบริวาร. แลพวก
เราก็ได้สร้างสัณฐาคารศาลาขึ้นแล้ว. เราจักเชิญเสด็จพระทศพลมาให้ทรง
กล่าวมงคล ณ สัณฐาคารศาลานี้ " ดังนี้ จึงได้เข้าไปเฝ้า. คำว่า เยน
สณฺฐาคารํ เตนุปสงฺกมึสุ
ความว่าพวกเจ้ามัลละเหล่านั้นคิดว่า "ได้ทราบ
ว่า ช่างทำจิตรกรรมในสัณฐาคารเสร็จแล้ว แต่ พวกป้อมยาม ( หอคอย )
เพิ่งจะเสร็จในวันนั้น และธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงมีพระอัธยาศัย
(ชอบ ) ป่า ยินดีในป่า พึงทรง ( พอพระทัย ) ประทับอยู่ภายในบ้าน
หรือไม่ ( ก็ไม่อาจทราบได้ ) เพราะฉะนั้น เราทราบถึงพระทัย ของพระ
ผู้มีพระภาคก่อนแล้ว จึงจักเตรียมการ" ดังนี้แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค.
แต่บัดนี้ พวกเจ้ามัลละประสงค์จะเตรียมการให้ต้องพระทัยพระผู้มีพระภาค
จึงเข้าไปยังสัณฐาคาร. คำว่า สพฺพสนฺถรึ หมายความว่า ปูลาดอย่าง
พร้อมสรรพ.
อนึ่ง ในคำว่า เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ นี้มีความว่า พวก
เจ้ามัลละเหล่านั้น จัดแจงสัณฐาคารเสร็จแล้วจึงให้แผ้วถางถนนในเมือง
ให้ยกธงขึ้นแล้วตั้งหม้อน้ำเต็มเปี่ยม ทั้งต้นกล้วย ณ ประตูบ้านทั้งหลาย

ทำเมืองทั้งสิ้นให้เกลื่อนกล่นไปด้วยระเบียบแห่งโคมไฟ ประหนึ่งว่า ดวง
ดาว แล้วให้ป่าวประกาศว่า " พวกทารกที่ยังไม่อดนม จงให้ดื่มนมเสีย,
พวกเด็กรุ่น ๆ จงรีบให้บริโภค ( ข้าวปลาอาหาร ) แล้วให้นอนเสีย อย่า
ได้ส่งเสียงอึกทึกครึกโครม, วันนี้พระศาสดาจักประทับภายในหมู่บ้านคืน
หนึ่ง, อันพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงพอพระทัยในความสงบเงียบ" ดัง
นี้แล้ว พากันถือคบเพลิงด้วยตัวเอง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ.
คำว่า ภควนฺตํเยว ปุรกฺขิตฺวา แปลว่า กระทำพระผู้มีพระภาค
ไว้เบื้องหน้า. พระผู้มีพระภาคประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุและอุบาสก
ทั้งหลาย ในสัณฐาคารนั้น ย่อมไพโรจน์ยิ่งนัก เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส
โดยรอบ มีพระฉวีวรรณเพียงทอง งดงาม น่าชม. พระรัศมีมีพรรณ
เพียงดังทองพวยพุ่งจากพระกายเบื้องหน้า แผ่ไปถึง 80 ศอก. พระรัศมีมี
พรรณเพียงดังทองพวยพุ่งจากพระกายท่ามกลาง จากพระหัตถ์เบื้องขวา
จากพระหัตถ์เบื้องซ้าย ก็แผ่ไปได้ข้างละ 80 ศอก ( ดุจกัน ). พระรัศมี
มีพรรณเพียงสร้อยคอมยุรา พวยพุ่งจากกลุ่มพระเกษาทั้งหมด ตั้งแต่ริม
พระเกษาเบื้องบนแผ่ไปในพื้นนภากาศถึง 80 ศอก. พระรัศมี มีพรรณ
เพียงแก้วประพาฬ พวยพุ่งจากฝ่าพระบาทเบื้องใต้ แผ่ไปในแผ่นดินทึบ
ได้ถึง 80 ศอก. พระพุทธรัศมี มีพรรณ 6 ประการ พวยพุ่งรุ่งเรือง
พร่างพรายตลอดที่ประมาณ 80 ศอก โดยรอบ ด้วยประการดังนี้. สรรพ
ทิศาภาคก็กระจ่างแจ้งดังว่าโปรยปรายไปด้วยดอกจำปาทอง ประหนึ่งว่า
โรยรดด้วยสุวรรณรสอันไหลจากหม้อทอง ปานว่าดาดาดลาดไปด้วยแผ่น
ทอง และประดุจว่าเกลื่อนกล่นไปด้วยผงดอกทองกวาว และกรรณิการ์อัน

ฟุ้งตลบด้วยเวรัมภวาต. แม้พระวรกายแห่งพระผู้มีพระภาคอันรุ่งเรื่องด้วย
อนุพยัญชนะ 80 ประการ พระรัศมี ( โดยปรกติ) ประมาณวาหนึ่ง และ
วรลักษณ์ 32 ประการ ก็ไพโรจน์เพียงพื้นอัมพรอันพร่างพราว ด้วยดวง
ดาว ประหนึ่งดอกประทุมอันบานสะพรั่ง ดุจดังปาริฉัตรประมาณ 100
โยชน์ ผลิบานเต็มด้น ราวกับจะเผยพระสิริ ครอบงำเสียซึ่งสิริแห่ง
พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระเจ้าจักรพรรดิ ท้าวเทวราช ( และ ) มหาพรหม
อย่างละ 32 อันตั้งไว้โดยลำดับกัน (ให้อับรัศมีไป ) ฉะนั้น. แม้ภิกษุ
ทั้งสิ้น อันนั่งแวดล้อมอยู่นั้น ก็ล้วนเป็นผู้มักน้อย สันโดษ สงบไม่พลุก
พล่าน ทำความเพียร เป็นผู้บอก ทนต่อคำบอก เป็นผู้เตือน ติเตียนบาป
สมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัศนะ. พระผู้มีพระ
ภาคอันภิกษุเหล่านั้น แวดล้อมแล้ว ไพโรจน์ประหนึ่งท่อนทองอันห่อหุ้ม
ด้วยผ้ากัมพลแดง ประดุจเรือนทองอันลอยลำอยู่ในท่ามกลางดงประทุมแดง
เสมือนปราสาททอง อันล้อมรอบไปด้วยเวทีแก้วประพาฬ. ฝ่ายพระอสีติ
มหาเถระทรงผ้าบังสุกุลสีปานเมฆ เป็นมหานาค ปานว่า จอมปลวกแก้วมณี
คลายราคะแล้ว ทำลายกิเลสสิ้นแล้ว ถางชัฏออกหมดแล้ว ตัดเครื่องผูกได้
แล้ว ไม่ติดข้องในตระกูล หรือในหมู่คณะ ก็นั่งแวดล้อมพระผู้มีพระภาค.
ด้วยประการดังนี้ พระผู้มีพระภาคผู้ทรงบำราศจากราคะด้วยพระองค์เอง
อันท่านผู้บำราศจากราคะแวดล้อมแล้ว ผู้ทรงบำราศจากโทสะ ด้วยพระองค์
เอง อันท่านผู้บำราศจากโทสะแวดล้อมแล้ว ผู้ทรงบำราศจากโมหะด้วย
พระองค์เอง อันท่านผู้บำราศจากโมหะแวดล้อมแล้ว ผู้ทรงไร้ตัณหาด้วย
พระองค์เอง อันท่านผู้ไร้ตัณหาแวดล้อมแล้ว ผู้ทรงไร้กิเลสด้วยพระองค์
เอง อันท่านผู้ไร้กิเลสแวดล้อมแล้ว ผู้ทรงเป็นพุทธะด้วยพระองค์เอง อัน

ท่านผู้เป็นพุทธะ ผู้พหูสูตแวดล้อมแล้ว ประหนึ่งเกสรอันแวดล้อมไปด้วย
กลีบ ประดุจกรรณิกา อันแวดล้อมไปด้วยเกสร เสมือนพญาช้างฉัท-
ทันต์อันแวดล้อมไปด้วยช้างบริวารทั้งแปดพัน ปานว่าจอมหงส์ธตรัฐ อัน
แวดล้อมไปด้วยหงส์บริวารเก้าแสน ดังว่า พระเจ้าจักรพรรดิอันแวดล้อม
ไปด้วยเหล่าเสนางคนิกร ประดุจท้าวสักกเทวราชอันแวดล้อมไปด้วยเหล่า
ทวยเทพ ปานว่าหาริตมหาพรหมอันแวดล้อมไปด้วยคณะพรหม ได้
ประทับนั่งในท่ามกลางบริษัทเหล่านั้น ด้วยพุทธเพศอันหาที่เสมอเหมือน
มิได้ ด้วยพุทธวิลาศอันหาประมาณมิได้ ทรงยังพวกเจ้ามัลละแห่งนคร
ปาวาให้เห็น ฯ ล ฯ ด้วยธรรมีกถาตลอดราตรีเป็นอันมาก แล้วทรงส่งไป.
และในที่นี้พึงทราบว่า ปกิณกกถา อันประกอบไปด้วยคำอนุโมทนาใน
สัณฐาคาร ชื่อว่า ธรรมกถา. แท้จริงในคราวนั้น พระผู้มีพระภาคได้
ตรัสปกิณกกถาอันนำมาซึ่งประโยชน์ และความสุขแก่เจ้ามัลละ แห่งนคร
ปาวา ประหนึ่งว่า ยังอากาศคงคาให้หลั่งลงอยู่ เสมือนว่าทรงรวบรวมมา
ซึ่งโอชะแห่งปฐพี ปานว่าทรงจับยอดต้นมหาชมพู แล้วสั่นให้หวั่นไหวอยู่
และประดุจว่าทรงคั้นรวงผึ้งอันควรแก่การคั้น ด้วยเครื่องจักร แล้วยัง
บุคคลให้ดูดดื่มเอาซึ่งน้ำหวาน ฉะนั้น.
คำว่า ตุณฺหีภูตํ ตุณหีภูตํ ความว่า ทรงเหลียวดูทิศใด ๆ หมู่
ภิกษุในทิศนั้น ๆ นิ่งสงบทีเดียว. คำว่า อนุวิโลเกตฺวา ความว่า เหลียวดู
โดยทิศนั้น ๆ ด้วยจักษุ 2 อย่าง คือ มังสจักษุ และทิพยจักษุ. จริงอยู่
ทรงกำหนดอิริยาบถภายนอกของภิกษุเหล่านั้นด้วยมังสจักษุ. ในหมู่ภิกษุ
เหล่านั้น มิได้มีภิกษุผู้คะนองมือคะนองเท้า แม้สักรูปเดียว ไม่มีรูปไหน.

ยืนศีรษะพูดจา หรือนั่งหลับ. ภิกษุทั้งปวงนั้นเป็นผู้ศึกษาอบรมมาแล้วด้วย
ไตรสิกขา นั่งสงบนิ่ง เสมือนหนึ่งเปลวประทีปในที่อันสงัดลม ฉะนั้น
ทรงกำหนดอิริยาบถนี้ของภิกษุเหล่านั้น ด้วยมังสจักษุ ด้วยประการดังนี้
อนึ่ง ทรงเจริญอาโลก ( แสงสว่าง ) จนเห็นหทัยรูปของภิกษุเหล่านั้นแล้ว
ทรงตรวจดูศีลภายใน ด้วยทิพยจักษุ. พระองค์ได้ทรงเห็นศีลอันเข้าถึง
พระอรหัต ของภิกษุหลายร้อย ประดุจว่าประทีปอันสว่างโพลงอยู่ภาย
ในหม้อ. แท้จริงภิกษุเหล่านั้น เป็นผู้ปรารภวิปัสสนา ได้ทรงเห็นศีล
ของภิกษุเหล่านั้น ด้วยประการดังนี้" แล้ว ทรงดำริว่า " ภิกษุเหล่านี้คู่ควร
แก่เรา ทั้งเราก็คู่ควรแก่ภิกษุเหล่านี้" แล้วทรงตั้งนิมิตไว้ในพื้นจักษุ ตรวจดู
หมู่สงฆ์ แล้วตรัสเรียกท่านพระสารีบุตรว่า "เราเมื่อยหลัง". เพราะเหตุไร
จึงทรงเมื่อยหลัง ?. เพราะเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบำเพ็ญความเพียร
อย่างแรงกล้าอยู่ถึง 6 ปี ได้เกิดความลำบากพระวรกายเป็นอันมาก ครั้น
กาลต่อมาถึงคราวทรงพระชรา ลมเสียดหลังย่อมเกิดขึ้นแก่พระองค์ได้
(เป็นธรรมดา ). คำว่า สงฺฆาฏึ ปญฺญเปตฺวา ความว่า ได้ยินว่า เจ้ามัลละ.
เหล่านั้น ให้ปูลาดเตียงอันเป็นกัปปิยะไว้ที่ข้างด้านหนึ่ง ของสัณฐาคาร
ด้วยความมุ่งหมายว่า บางทีพระศาสดาจะพึงบรรทมบ้าง. ฝ่ายพระศาสดา
ทรงดำริว่า "เตียงที่เราใช้สอยด้วยอิริยาบถทั้ง 4 จักมีผลานิสงส์มาก
แก่เจ้ามัลละเหล่านี้" จึงรับสั่งให้ปูลาดผ้าสังฆาฏิบนเตียงนั้น แล้วบรรทม.
คำที่ควรกล่าว ในคำว่า ตสฺส กาลกิริยาย เป็นต้นได้กล่าวไว้แล้วทั้งหมด
ในหนหลัง.
คำว่า อามนฺเตสิ ความว่า ทรงประสงค์จะแสดงสวากขาตธรรม

อันกระทำความสงบระงับเหตุมีการบาดหมางกันเป็นต้น จึงได้ตรัสเรียก.
คำว่า ตตฺถ แปลว่า ในธรรมนั้น. คำว่า สงฺคายิตพฺพํ ความว่า
สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันพึงสังคายนา คือสงฆ์ผู้มีถ้อยคำเป็นอันเดียวกัน มี
ถ้อยคำไม่แย้งกัน พึงสวด. คำว่า น วิวทิตพฺพํ ความว่า ไม่ควรกล่าว
แย้งกันในอรรถะก็ตาม ในพยัญชนะก็ตาม. คำว่า เอโก ธมฺโม ความว่า
พระเถระมีความประสงค์จะแสดงสามัคคีรสมาก ๆ อย่าง เช่น หมวดหนึ่ง
หมวดสอง หมวดสาม เป็นต้น จึงกล่าวว่า เอโก ธมฺโม ( ธรรมหนึ่ง)
ดังนี้เป็นอันดับแรก.
คำว่า สพฺเพ สตฺตา หมายถึงสัตว์ทั้งปวงในภพทั้งปวง เช่น
ในกามภพเป็นต้น ในสัญญีภพเป็นตัน และในเอกโวการภพเป็นนั้น.
คำว่า อาหารฏฺฐิติกา มีบทนิยามว่า สัตว์เหล่านั้นดำรงอยู่ได้เพราะอาหาร
ดังนั้น จึงชื่อว่า อาหารฏฺฐิติกา ผู้ดำรงอยู่ได้เพราะอาหาร. อาหารย่อมเป็น
เหตุแห่งการดำรงอยู่ได้แห่งสรรพสัตว์ ด้วยประการดังนี้. พระเถระแสดง
ความหมายว่า "ท่านทั้งหลาย ธรรมหนึ่ง คือ สัตว์ทั้งหลายดำรงอยู่ได้
เพราะอาหารนี้ พระศาสดาของเราทั้งหลาย ทรงทราบตามความเป็นจริง
แล้ว ได้ตรัสได้เป็นอันถูกต้อง". ก็เมื่อเป็นอย่างนี้ คำที่ตรัสไว้ว่า "เทพ
จำพวกอสัญญสัตตะ เป็นอเหตุกะ ไม่มีอาหาร ไม่มีผัสสะ" ดังนี้เป็นต้น
จะมิเป็นอันคลาดเคลื่อนไปละหรือ. ไม่คลาดเคลื่อน ทั้งนี้เพราะเทพพวกนั้น
ก็มีฌานเป็นอาหาร. ถึงอย่างนั้นก็เถอะ, แม้คำที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย อันว่าอาหารเพื่อความดำรงอยู่ของสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาแล้ว หรือ
เพื่อการตามประคับประคองพวกสัมภเวสีทั้งหลาย มีอยู่ 4 อย่าง 4 อย่าง

อะไรข้าง 1. กพฬิงการาหาร จะหยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม 2. ผัสสาหาร
3. มโนสัญเจตนาหาร 4. วิญญาณาหาร" ดังนี้ ก็คลาดเคลื่อน.
แม้คำนี้ก็ไม่คลาดเคลื่อน. เพราะว่าในพระสูตรนั้น ตรัสธรรมทั้งหลาย
ที่มีลักษณะเป็นอาหารโดยตรงนั่นแลว่า "อาหาร". แต่ในที่นี้ตรัสเรียก
ปัจจัยโดยอ้อมว่า "อาหาร" จริงอยู่ ปัจจัยควรจะได้แก่ธรรมทั้งปวง. และ
ปัจจัยนั้น ยังผลใด ๆ ให้เกิด ก็ย่อมชื่อว่านำมาซึ่งผลนั้น ๆ เพราะฉะนั้น
จึงเรียกได้ว่า อาหาร. ด้วยเหตุนั้นแล จึงตรัสไว้ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
แม้อวิชชา เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิใช่ไม่มีอาหาร, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ก็อะไรเล่าเป็นอาหารของอวิชชา, ควรจะกล่าว นิวรณ์ 5 เป็นอาหารของ
อวิชชา, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้นิวรณ์ 5 เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิใช่
ไม่มีอาหาร, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อะไรเล่าเป็นอาหารของนิวรณ์ 5, ควร
จะกล่าวว่า อโยนิโสมนสิการ เป็นอาหารของนิวรณ์ 5" ดังนี้, อาหาร
คือปัจจัยนี้ประสงค์เอาในพระสูตรนี้. ก็เมื่อถือเอาปัจจัยเป็นอาหารอย่างหนึ่ง
แล้ว ก็ย่อมเป็นอันถือเอาทั้งหมด ทั้งอาหารโดยอ้อม ทั้งอาหารโดยตรง.
ในอสัญญภพนั้น ย่อมได้ปัจจัยอาหาร.
เมื่อพระพุทธเจ้ายังมิได้อุบัติขึ้น พวกนักบวชในลัทธิเดียรถีย์ ทำ
บริกรรมในวาโยกสิณแล้ว ยังฌานที่ 4 ให้เกิดขึ้นได้แล้ว ออกจากฌาน
นั้นแล้ว ให้เกิดความยินดี ชอบใจว่า "น่าติเตียนจิต จิตนี้น่าติเตียนแท้,
ชื่อว่าการไม่มีจิตนั่นแล เป็นความดี, เพราะอาศัยจิต จึงเกิดทุกข์อันมีการ
ฆ่าและการจองจำเป็นต้น เป็นปัจจัย, เมื่อไม่มีจิต ทุกข์นั้นก็ย่อมไม่มี"
ดังนี้ ไม่เสื่อมฌาน สิ้นชีวิตแล้วไปเกิดในอสัญญภพ. ผู้ใดตั้งมั่นอิริยาบถ
ใด ในมนุษยโลก, ผู้นั้นก็เกิดโดยอิริยาบถนั้น เป็นผู้ยืนบ้าง นั่งบ้าง

นอนบ้าง ตลอด 500 กัป. เป็นประดุจว่านอนอยู่ตลอดกาลนานถึงเพียงนี้
แม้สัตว์ทั้งหลาย ที่มีรูปอย่างนี้ ก็ย่อมได้ปัจจัยอาหาร. แท้จริง สัตว์เหล่านั้น
เจริญฌานใด แล้วไปเกิด, ฌานนั้นแหละย่อมเป็นปัจจัยของสัตว์เหล่านั้น.
ปัจจัยคือฌาน ยังมีอยู่ตราบใด ก็ย่อมดำรงอยู่ได้ตราบนั้น อุปมาเหมือน
ลูกศรที่ยิงไปด้วยแรงส่งแห่งสาย, แรงส่งแห่งสายยังมิเพียงใด ก็พุ่งไปได้
เพียงนั้น ฉะนั้น. เมื่อปัจจัยคือฌานนั้นหมดลง สัตว์เหล่านั้นก็ย่อมตก
ไป ดุจลูกศรที่สิ้นแรงส่งแห่งสายฉะนั้น.
ส่วนพวกสัตว์นรกที่ท่านกล่าวไว้ว่า มิได้เป็นอยู่ด้วยผลแห่งความ
หมั่น ทั้งมิได้เป็นอยู่ด้วยผลแห่งบุญ เหล่านี้มีอะไรเป็นอาหาร. กรรม
นั่นเองเป็นอาหารของสัตว์นรกเหล่านั้น. ถ้าจะถามว่า อาหารมี 5 อย่าง
กระนั้นหรือ ?. ( ก็ต้องตอบว่า) คำว่า "5 อย่างหรือไม่ใช่ 5 อย่าง"
นี้ไม่ควรพูด, ท่านกล่าวคำนี้ ไว้แล้วมิใช่หรือว่า "ปัจจัยคืออาหาร"
เพราะฉะนั้น สัตว์เหล่านั้นเกิดในนรกด้วยกรรมใด กรรมนั้นนั่นเองจัดว่า
เป็นอาหาร เพราะเป็นปัจจัยแห่งความดำรงอยู่ของสัตว์เหล่านั้น ดังที่ตรัส
มุ่งหมายถึงไว้ว่า "จะยังไม่สิ้นชีวิตตราบเท่าที่บาปกรรมอันนั้น ยังไม่หมด
สิ้น". และในที่นี้ไม่ควรจะต้องโต้เถียงกัน ด้วยเรื่องกพฬิงการาหาร. เพราะ
แม้แต่น้ำลายที่เกิดในปากก็ยังให้สำเร็จกิจในเชิงอาหารแก่สัตว์เหล่านั้นได้.
จริงอยู่ น้ำลายนั้น ในนรกนับว่า เป็นที่ตั้งแห่งทุกขเวทนา ในสวรรค์
นับว่าเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนา จัดว่าเป็นปัจจัยได้.
ดังนั้น ในกามภพ โดยตรง มีอาหาร 4 อย่าง ในรูปภพ และ
อรูปภพ ยกเว้นอสัญญสัตตะ ที่เหลือนอกนั้น มีอาหาร 3 อย่าง, สำหรับ

อสัญญสัตตะ และเทพอื่น ๆ ( นอกจากที่กล่าวแล้ว) มีอาหารคือปัจจัย
อาหาร ด้วยประการดังนี้. พระเถระกล่าวปัญหาข้อหนึ่งว่า สัตว์ทั้งปวง
ดำรงอยู่ได้เพราะอาหาร ด้วยอาหาร ตามที่แสดงมา นี้แล้ว ได้แก้ไขปัญหา
ข้อที่ 2 ว่า "สัตว์ทั้งปวงดำรงอยู่ได้เพราะสังขาร" ดังนี้ โดยมิได้กำหนด
หมาย อย่างนี้ว่า อยํ โข อาวุโส ( นี้แลท่านทั้งหลาย ) ทั้งมิได้ไขความ
อีกว่า อตฺถิ โข อาวุโส ( มีอยู่แล ท่านทั้งหลาย). เพราะเหตุไร
จึงมิได้กำหนดหมาย ทั้งมิได้ไขความอีก. เพราะการที่จะเรียนและสอน
ในเมื่อมัวแต่กำหนดหมาย ทั้งมัวแต่ไขความอยู่นั้น เป็นเรื่องยาก ฉะนั้น
ท่านจึงแก้ไขทั้งสอบประเด็นรวมกันไปเลย.
แม้ในการแก้ไขปัญหาข้อที่ 2 นี้ ปัจจัยที่ได้กล่าวมาแล้วในหนหลัง
นั่นเอง ก็เรียกว่า สังขาร เพราะปรุงแต่งผลของตน. อาหารปัจจัยได้
กล่าวมาแล้วในหนหลัง, ความแตกต่างกันอย่างน้อยที่สุด ในปัญหาข้อนี้
ก็คือ ข้อนี้ - ในที่นี้ เป็นสังขารปัจจัย. (แต่) พระมหาสิวเถระกล่าวว่า
" เมื่อถือเอาอย่างนี้ว่า "อาหารโดยตรง ถือเอาแล้วในหนหลัง, ในที่นี้
หมายเอาอาหารโดยอ้อม ดังนี้ ความแตกต่างกันก็จะปรากฏขึ้น, แต่ว่า
ท่านมิได้ถือเอา ( อย่างนั้น)". แท้จริง ธรรมทั้งที่เนื่องด้วยอินทรีย์
ทั้งที่ไม่เนื่องด้วยอินทรีย์ควรที่จะได้ปัจจัย แล. ขึ้นชื่อว่าธรรม เว้นจาก
ปัจจัยย่อมไม่มี. บรรดาธรรม 2 อย่างนั้น ธรรมที่ไม่เนื่องด้วย
อินทรีย์ เช่น หญ้า ต้นไม้ และเครือเถาเป็นต้น ย่อมมีรสแผ่นดิน และ
รสน้ำเป็นปัจจัย . เพราะเมื่อฝนไม่ตก หญ้าเป็นต้น ก็เหี่ยว. แต่จะสีเขียว
เมื่อฝนตก. รสแผ่นดิน และรสน้ำเป็นปัจจัย ของหญ้าเป็นต้นเหล่านั้น

ด้วยประการดังนี้. ธรรมที่เนื่องด้วยอินทรีย์มีสิ่งเป็นต้นว่าอวิชชา ตัณหา
กรรม อาหาร, เป็นปัจจัย ปัจจัยในหนหลังนั้นแล ท่าน เรียกว่า
อาหาร ( แต่ ) ในที่นี้ ท่านเรียกว่า สังขาร ความแตกต่างกัน
ไม่เรื่องนี้ มีเพียงเท่านี้แล. บทว่า อยํ โข อาวุโส ความว่า ท่านทั้งหลาย
ธรรมหนึ่งอันนี้ พระศาสดาของพวกเราประทับนั่ง ณ มหาโพธิมณฑล
ทรงทำให้แจ้งด้วยพระองค์ด้วยพระสัพพัญญุตญาณแล้วได้ทรงแสดงไว้ อัน.
เป็นธรรมหนึ่งที่ท่านทั้งหลาย พึงสังคายนาพร้อมเพรียงกัน ไม่พึงโต้แย้ง
กัน. คำว่า ยถยิทํ พฺรหฺมาจริยํ ความว่า ศาสนพรหมจรรย์นี้ พึงตั้งมั่น
อยู่ได้ ดังที่เมื่อท่านทั้งหลายสังคายนาอยู่. คือเมื่อภิกษุรูปหนึ่งกล่าวว่า
" ท่านทั้งหลายธรรมหนึ่งอันพระศาสดาตรัสไว้ชอบแล้วมีอยู่, ธรรมหนึ่ง
คืออะไร คือ สัตว์ทั้งปวงดำรงอยู่ได้เพราะอาหาร สัตว์ทั้งปวงดำรงอยู่ได้
เพราะสังขาร " ดังนี้, ภิกษุรูปหนึ่งได้ฟังคำกล่าวของภิกษุรูปนั้นแล้วก็บอก
กล่าวต่อไป อีกรูปหนึ่งได้ฟังก็บอกกันต่อไปอีก โดยกำหนดคำบอกกล่าว
สืบ ๆ กันไป ด้วยประการอย่างนี้แล พรหมจรรย์นี้ก็จักดำรงอยู่ตลอด
กาลนาน เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่โลกพร้อมทั้งเทวโลก ท่านพระธรรม
เสนาบดีสารีบุตรเถระได้แสดงสามัคคีรสด้วยอำนาจธรรมหมวดหนึ่งด้วย
ประการดังนี้แล.
จบธรรมหมวด 1

ว่าด้วยธรรมหมวด 2



ครั้นแสดงสามัคคีรส ด้วยว่าอำนาจธรรมหมวดหนึ่ง ดังกล่าวมานี้แล้ว