เมนู

กถาว่าด้วยเรื่องอเจลกโกรักขัตติยะ



(4) ดูก่อนภัตควะ สมัยหนึ่ง เราอยู่ที่นิคมแห่งชาวถูลู
ชื่อว่า อุตตรกา ในถูลูชนบท. ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า เรานุ่งห่ม
แล้ว ถือบาตรจีวร มีโอรสเจ้าลิจฉวีสุนักขัตตะ เป็นปัจฉาสมณะ
เข้าไปบิณฑบาตที่อุตตรกานิคม. สมัยนั้น มีนักบวชเปลือยคนหนึ่ง
ชื่อว่า โกรักขัตติยะ ประพฤติอย่างสุนัข เดินด้วยข้อศอกและเข่า
กินอาหารที่กองบนพื้นด้วยปาก. ดูก่อนภัคควะ โอรสเจ้าลิจฉวี สุนัก
ขัตตะ
ได้เห็นเข้าจึงคิดว่า สมณะเดินด้วยข้อศอกและเข่ากินอาหาร
ที่กองบนพื้นด้วยปาก เป็นพระอรหันต์ที่ดีหนอ.
ครั้งนั้นเราได้ทราบความคิดในใจของโอรสเจ้าลิจฉวีชื่อสุนัก
ขัตตะ ด้วยเจโตปริยญาณ จึงกล่าวกะเขาว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ แม้คน
เช่นเธอ ก็ยังปฏิญาณตนว่าเป็นศากยบุตรอยู่หรือ.

สุนักขัตตะ ได้ฑูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไฉนพระผู้มี
พระภาคจึงตรัสกะข้าพระองค์อย่างนี้ว่า โมฆบุรุษ แม้คนเช่นเธอ ก็
ยังปฏิญาณตนว่า เป็นศากยบุตรหรือ. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูก่อนสุนักขัตตะ เธอได้เห็นนักบวชเปลือยชื่อโกรักขัตติยะนี้ ซึ่ง
ประพฤติอย่างสุนัข เดินด้วยข้อศอกและเข่า ใช้ปากกินอาหาร
บนพื้นดิน แล้วเธอได้คิดต่อไปว่า สมณะเดินด้วยศอกและเข่า
กินอาหารที่กองบนพื้นด้วยปาก เป็นพระอรหันต์ที่ดีหนอมิใช่หรือ.
สุนักขัตตะ ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนี้ พระผู้มี
พระภาคยังหวงแหนความเป็นพระอรหันต์อยู่หรือ. เรากล่าวว่า ดู
ก่อนโมฆบุรุษ เราไม่ได้หวงแหนความเป็นพระอรหันต์ แต่ว่าเธอได้
เกิดทิฏฐิเลวทรามขึ้น เธอจงละมันเสีย ทิฏฐิ เลวทราม นั่น
อย่าได้เกิดมีขึ้น เพื่อไม่เป็นประโยชน์และเป็นทุกข์แก่เธอ ชั่วกาล

นาน นักบวชเปลือยชื่อ โกรักขัตติยะ ที่เธอสำคัญว่าเป็นสมณะ
อรหันต์ที่ดีนั้นอีก 7 วัน เขาจักตายด้วยโรคอลสกะ (โรคกินอาหาร
มากเกินไป) ครั้นแล้ว จักบังเกิดในเหล่าอสูรกาลกัญชิกา ซึ่งเลวกว่า
อสูรกายทุกชนิด และจักถูกนำไปทิ้งที่ป่าช้าวีรณัตถัมภะ. และเมื่อเธอ
ต้องการทราบ พึงเข้าไปถามโกรักขิตติยะ ว่า ท่านโกรักขัตติยะท่าน
ทราบคติของตนหรือ ข้อที่โกรักขัตติยะพึงตอบเธอว่า สุนักขัตตะ
ข้าพเจ้าทราบคติของตนอยู่ คือข้าพเจ้าไปเกิดในเหล่าอสูรกาลกัญ-
ชิกา ซึ่งเลวกว่าอสูรกายทุกชนิดดังนี้ เป็นฐานะที่มีได้. ครั้งนั้น
โอรสเจ้าลิจฉวีชื่อสุนักขัตตะ ได้เข้าไปหาโกรักขัตติยะ บอกว่า
ท่านโกรักขัตติยะ ท่านถูกพระสมณโคดมพยากรณ์ว่า อีก 7 วัน
โกรักขัตติยะ จักตายด้วยโรคอลสกะ แล้วจักบังเถิดในเหล่าอสูร-
กาลกัญชิกา ซึ่งเลวกว่าอสุรกายทุกชนิด และจักถูกเขานำไป
ทิ้งที่ป่าช้าวีรณัตถัมภะ ฉะนั้น ท่านจงกินอาหารแต่พอสม
ควร และดื่มน้ำแต่พอสมควร จึงทำให้คำพูดพระสมณโคดม
ผิด ครั้งนั้น โอรสเจ้าลิจฉวีสุนักขัตตะ ได้นับวันคืนตั้งแต่วันที่ 1
ที่ 2 ไปจนครบ 7 วัน เพราะเขาไม่เชื่อพระตถาคต. ครั้งนั้น
นักบวชเปลือยชื่อ โกรักขัตติยะ ได้ตายด้วยโรคอลสกะในวันที่ 7
แล้ว ได้ไปเกิดในเหล่าอสูรกาลกัญชิกา ซึ่งเลวกว่าอสุรกายทุกชนิดและ
ถูกเขานำไปทิ้งไว้ที่ป่าช้าชื่อว่า วีรณัตถัมภะ โอรสเจ้าลิจฉวีสุนักขัตตะ
ได้ทราบข่าวว่า โกรักขัดตอเจลกได้ตายด้วยโรคอลสกะได้ถูกเขานำ
ไปทิ้งที่ป่าช้าวีรณัตถัมถะ จึงเข้าไปหาศพโกรักขิตติยะที่ป่าช้าวีรณัต
กัมภะ ใช้มือตบซากศพเขา 3 ครั้ง ถามว่า โกรักขัตติยะ ท่านทราบ
คติของตนหรือ. ครั้งนั้น ซากศพโกรักขัตติยะ ได้ลุกขึ้นยืนพลาง
เอามือลูบหลังตนเองตอบว่า สุนักขัตตะผู้มีอายุ ข้าพเจ้าทราบคติ

ของตน ข้าพเจ้าไปบังเกิดในเหล่าอสูรชื่อกาลกัญชิกา ซึ่งเลวกว่า
อสูรกายทุกชนิดดังนี้ แล้วล้มลงนอนหงาย อยู่ ณ ที่นั่นเอง.
ดูก่อนภัคควะ ครั้งนั้น โอรสเจ้าลิจฉวีชื่อ สุนักขัตตะได้เข้า
มาหาเราถึงที่อยู่ ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง. เราได้กล่าวกะ
โอรสเจ้าลิวฉวีชื่อสุนักขัตตะผู้นั่งเรียบร้อยว่า ดูก่อนสุนักขัตตะ
เธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน วิบากนั้นได้มีขึ้นเช่นดังที่เราพยา-
กรณ์ปรารภโกรักขัตติยะไว้ต่อเธอมิใช่มีโดยประการอื่น.
สุนักขัตตะ ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วิบากนั้นได้มี
ขึ้น ดังที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงพยากรณ์ โกรักขัตติยะไว้ แก่ข้าพระ
องค์มิใช่มี โดยประการอื่น.
เรากล่าวว่า เธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนี้
อิทธิปฏิหารย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรมของมนุษย์ชื่อว่าเป็นสิ่งที่เราได้แสดง
แล้วหรือยัง.
สุนักขัตตะทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์แสดงไว้
แล้วแน่นอน มิใช่จะไม่ทรงแสดงก็หาไม่.
เรากล่าวว่า แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอยังจะกว่ากะเราผู้แสดงอิทธิ
ปาฏิหาริย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรม ของมนุษย์อย่างนี้ว่าข้าแต่พระองค์ผู้
เจริญ พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงแสดงอิทธิปฏิหาริย์ที่ยอดเยี่ยมกว่า
ธรรมของมนุษย์แก่ข้าพระองค์ ดูก่อนโมฆบุรุษ เธอจงเห็นว่า การ
กระทำเช่นนี้เป็นความผิดของเธอเพียงใด. ดูก่อนภัคคะ โอรส
เจ้าลิจฉวีสุนักขัตตะ เมื่อเรากล่าวอย่างนี้ได้หนีจากพระธรรมวินัย
นี้ เหมือนสัตว์ผู้เกิดในอบายและนรกฉะนั้น

กถาว่าด้วยเรื่องอเจลกกฬารมัชฌกะ



[5] ดูก่อนภัคควะ สมัยหนึ่งเราอยู่ที่กูฏาคารศาลาในป่า