เมนู

เปลือยชื่อ ปาฏิกบุตร แล้วจึงฉุดมาด้วยคู่โคมากคู่ เชือกเหล่านั้น
หรืออเจลกชื่อ ปาฏิกบุตร พึงขาดออก ก็อเจลกปาฏิกบุตร เมื่อไม่
ละวาจา จิต และสละคืนทิฏฐิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะมาพบเห็น
เราได้ แม้ถ้าเขาพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่อาจละวาจา จิต และสละ
คืนทิฏฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคดมได้ ดังนี้ แม้ศีรษะ
ของเขาจะพึงแตกออก ดังนี้ ท่านปาฏิกบุตร ท่านจงกลับไป ด้วยการ
กลับไปของท่านนั่นแหละ พวกข้าพเจ้าจะให้ชัยชนะแด่ท่าน จะ
ให้ความปราชัยแก่พระสมณโคดม.

ดูก่อนภัคควะ เมื่อศิษย์ช่างกลึงบาตรไม้ชื่อ ชาลิยะ กล่าว
แล้วอย่างนี้ นักบวชเปลือยชื่อ ปาฏิกบุตร จึงกล่าวว่า เราจะไป ๆ
แล้วก็ซบศีรษะอยู่ในที่นั้นเอง ไม่อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้ ครั้งนั้น
ศิษย์ช่างกลึงบาตไม้ชื่อ ชาลิยะ จึงกล่าวกะเขาว่า ท่านปาฏิกบุตร
ท่านเป็นอย่างไรไปเล่า ตะโพกของท่านติดกับที่นั่ง หรือว่าที่นั่งติด
กับตะโพกของท่าน
ท่านกล่าวว่า เราจะไป ๆ แล้วก็ซบศีรษะอยู่ในที่
นั่นเอง ไม่อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้. อเจลกปาฏิกบุตร แม้ถูกว่าอย่าง
นี้ก็ยังกล่าวว่า เราจะไป ๆ แล้วก็ซบศีรษะอยู่ในที่นั้นเองไม่อาจลุกขึ้น
จากอาสนะได้ เมื่อศิษย์ช่างกลึงบาตรไม้ชื่อ ชาลิยะ ได้ทราบว่า อเจลก
ชื่อ ปาฏิกบุตร นี้เป็นผู้แพ้แล้ว ก็ยังกล่าวว่า เราจะไป ๆ แล้วก็ซบ
ศีรษะอยู่ที่นั้นเอง ไม่อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้ จึงกล่าวกะเขาต่อไปว่า

กถาว่าด้วยอุปมาสุนัขจิ้งจอกกับพญาราชสีห์



ท่านปาฏิกบุตร เรื่องเคยมีมาแล้ว คือพญาสีหราช ได้คิด
อย่างนี้ว่า ถ้ากระไร เราพึงอาศัยป่าทึบบางแห่งซ่อนอยู่ แล้วออกจาก
ที่ซ่อนในเวลาเย็น ดัดกายเหลียวดูทิศทั้ง 4 โดยรอบ แล้วบันลือ

สีหนาท 3 ครั้ง จึงเที่ยวไปหากิน เราต้องหาหมู่เนื้อตัวล่ำสัน
กินเนื้อที่อ่อนนุ่ม ๆ แล้วกลับมาซ่อนตัวอยู่ตามเคย. ครั้งนั้น พญา
สีหมิคราชนั้น จึงอาศัยป่าทึบบางแห่งซ่อนอยู่ ออกจากที่ซ่อนใน
เวลาเย็น ดัดกายเหลียวดูทิศทั้ง 4 โดยรอบ บันลือสีหนาท 3 ครั้ง
เที่ยวไปหากิน มันฆ่าหมู่เนื้อตัวล่ำสัน กินเนื้อที่อ่อนนุ่ม ๆ แล้วกลับ
มาซ่อนอยู่ตามเคย. ท่านปาฏิกบุตร มีสุนัขจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่ง กิน
เนื้อที่เป็นเดนของพญาสีหมิคราชนั้น แล้วก็เจริญอ้วนท้วนมีกำลัง
ต่อมาสุนัขจิ้งจอกแก่ตัวนั้น จึงเกิดความคิดว่า เราคือใคร พญาสีห-
ราชคือใคร ถ้ากระไร เราพึงอาศัยป่าทึบบางแห่งซ่อนอยู่ ออกจาก
ที่ซ่อนเวลาเย็น ดัดกายเหลียวดูทิศทั้ง 4 โดยรอบบันลือสีหนาท 3
ครั้ง เที่ยวไปหากิน เราต้องฆ่าหมู่ เนื้อตัวล่ำสัน กินเนื้อที่อ่อนนุ่มๆ
แล้วก็กลับมาซ่อนอยู่ตามเคย. ครั้งนั้น สุนัขจิ้งจอกแก่ตัวนั้นอาศัย
ป่าทึบบางแห่งซ่อนอยู่ ออกจากที่ซ่อนในเวลาเย็น ดัดกายเหลียวดู
ทิศทั้ง 4 โดยรอบ แล้วคิดว่า เราจักบันลือสีหนาท 3 ครั้ง แต่
กลับบันลือเสียงสุนัขจิ้งจอกอย่างน่ากลัว น่าเกลียด สุนัขจิ้งจอกที่ต่ำ
ทรามเป็นอย่างไร และการบันลือของสีหะเป็นอย่างไร. ปาฏิกบุตร
ท่านก็เป็นเช่นนั้น ดำรงชีพตามแบบพระสุคต บริโภคอาหารที่เป็น
เดนพระสุคต ยังสำคัญการรุกรานพระตถาคตผู้เป็นพระอรหันตสัมมา-
สัมพุทธเจ้า ท่านปาฏิกบุตรเป็นอย่างไร การรุกรานพระตถาคตผู้
เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างไร.
ดูก่อนภัคควะ เมื่อศิษย์ช่างกลึงบาตรไม้ชื่อ ชาลิยะ ไม่
สามารถที่จะให้อเจลกชื่อ ปาฏิกบุตร เคลื่อนจากอาสนะนั้นได้ แม้
ด้วยคำเปรียบเปรยเช่นนี้ จึงได้กล่าวคาถาประพันธ์ดังนี้ ว่า
สุนัขจิ้งจอกสำคัญตนเป็นสีหะ จึงได้ถือตัว

ว่าเป็นมิคราช มันได้บันลือเสียงสุนัขจิ้งจอกเช่นนั้น
สุนัขจิ้งจอกที่ต่ำทรามเป็นอย่างไร การบันลือของสีหะ
เป็นอย่างไร.

[10] ท่านปาฏิกบุตร ท่านก็เป็นเช่นนั้น ดำรงชีพตาม
แบบพระสุคต บริโภคอาหารที่เป็นเดนพระสุคต ยังสำคัญการรุก
รานพระตถาคตผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านปาฏิกบุตร
เป็นอย่างไร การรุกรานพระตถาคตผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ-
เจ้าเป็นอย่างไร. ภัคควะ เมื่อศิษย์ช่างกลึงบาตรไม้ชื่อ ชาลิยะ ไม่
สามารถที่จะให้นักบวชเปลือยชื่อ ปาฏิกบุตร เคลื่อนจากอาสนะนั้น
ได้ แม้ด้วยคำเปรียบเปรยเช่นนี้ จึงได้กล่าวคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
สุนัขจิ้งจอกดูเงาของตนที่ปรากฏในน้ำ ทั้ง
อยู่ข้างบ่อ ไม่เห็นตนตามความเป็นจริง จึงถือตัวว่า
เป็นสีหะ มันได้บันลือเสียงสุนัขจิ้งจอกเช่นนั้น เสียง
สุนัขจิ้งจอกที่ต่ำทรามเป็นอย่างไร การบันลือของสีหะ
เป็นอย่างไร.

[11] ท่านปาฏิกบุตร ท่านก็เป็นเช่นนั้น ดำรงชีพตามแบบ
พระสุคต บริโภคอาหารที่เป็นเดนพระสุคต ยังสำคัญการรุกรานพระ
ตถาคตผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านปาฏิกบุตรเป็นอย่างไร
การรุกรานพระตถาคตผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างไร.
ดูก่อนภัคควะ เมื่อศิษย์ช่างกลึงบาตรไม้ชื่อ ชาลิยะ ไม่สามารถ
ที่จะให้นักบวชเปลือยชื่อ ปาฏิกบุตร เคลื่อนจากอาสนะนั้นได้ แม้ด้วย
คำเปรียบเปรยเช่นนี้ จึงได้กล่าวคาถาประพันธ์ ดังนี้ว่า
สุนัขจิ้งจอกกินกบ กินหนู ตามลานข้าวและ
กินซากศพที่ทิ้งตามป่าช้า จึงอ้วนพีอยู่ตามป่าใหญ่

ตามป่าที่ว่างเปล่า จึงได้ถือตัวว่าเป็นมิคราช มันได้
บันลือเสียงสุนัขจิ้งจอกเช่นนั้น สุนัขจิ้งจอกที่ต่ำทราม
เป็นอย่างไร การบันลือของสีหะเป็นอย่างไร.

[12] ท่านปาฏิกบุตร ท่านก็เป็นเช่นนั้น ดำรงชีพตามแบบ
พระสุคต บริโภคอาหารที่เป็นเตนพระสุคต ยังสำคัญการรุกรานพระตถา-
คตผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านปาฎิกบุตรเป็นอย่างไร การรุก
รานพระตถาคตผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างไร.
ดูก่อนภัคควะ เมื่อศิษย์ช่างกลึงบาตรไม้ชื่อ ชาลิยะ ไม่สามารถ
ที่จะให้นักบวชเปลือยชื่อ ปาฏิกบุตร เคลื่อนจากอาสนะนั้นได้ แม้ด้วย
คำเปรียบเปรยเช่นนี้ จึงกลับมาหาบริษัทนั้น แล้วบอกว่า ท่านผู้เจริญ
นักบวชเปลือยชื่อ ปาฏิกบุตร นี้เป็นผู้แพ้แล้ว ก็ยังกล่าวว่าเราจะไป ๆ
แล้วก็ซบศีรษะอยู่ในที่นั้นเอง ไม่อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้.
ดูก่อนภัคควะ เมื่อศิษย์ช่างกลึงบาตรไม้ชื่อ ชาลิยะ นั้น กล่าว
อย่างนี้ เราจึงกล่าวกะบริษัทนั้นว่า เธอทั้งหลาย นักบวชเปลือยชื่อ ปาฏิก-
บุตร
ไม่ละวาจา จิต สละสละคืนทิฏฐิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะพบ
เห็นเราได้ แม้ถ้าเขาพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่ละวาจา จิต และสละคืน
ทิฏฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคดมได้ดังนี้ แม้ศีรษะของเขาจะ
พึงแตกออก แม้ถ้าพวกเจ้าลิจฉวีจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า พวกเราจักเอา
เชือกมัดนักบวชเปลือยชื่อ ปาฏิกบุตร แล้วฉุดมาด้วยโคมากคู่ เชือก
เหล่านั้นหรืออเจลกปาฎิกบุตรพึงขาดออก ก็นักบวชเปลือยชื่อ ปาฏิกบุตร
เมื่อไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฏฐิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะมาพบเห็น
เราได้ ถ้าแม้เขาพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่ละวาจา จิต และสละคืน
ทิฏฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคดมได้ ดังนี้ แม้ศีรษะของเขาจะ
พึงแตกออก.

ดูก่อนภัคควะ ลำดับนั้น เราจึงให้บริษัทนั้นเห็นแจ้ง ให้สมา-
ทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมีกถา ทำให้พ้นจากเครื่องผูกใหญ่
รื้อถอนสัตว์ประมาณ 84,000 ขึ้นจากหลุมใหญ่ จึงเข้าเตโชธาตุกสิณ
เหาะขึ้นเวหาสสูงประมาณ 7 ชั่วลำตาล เนรมิตไฟอื่นให้ลุกโพลงมีควัน
กลบ สูงประมาณ 7 ชั่วลำตาลแล้ว จึงกลับมาปรากฏที่กูฎาคารศาลาป่า
มหาวัน. ดูก่อนภัคควะ ครั้งนั้น โอรสเจ้าลิจฉวีชื่อสุนักขัตตะ ได้เข้า
มาหาเราถึงที่อยู่ ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง. เราจึง
ได้กล่าวกะเขาผู้นั่งเรียบร้อยแล้วว่า สุนักขัตตะเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็น
ไฉน วิบากนั้นได้มีขึ้น เหมือนดังที่เราได้พยากรณ์นักบวชเปลือยชื่อ
ปาฏิกบุตร แก่เธอ มิใช่มีโดยประการอื่น. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วิบาก
นั้นได้มีแล้วเหมือนดังที่พระตถาคตได้ทรงพยากรณ์อเจลกชื่อ ปาฏิกบุตร
แก่ข้าพระองค์ มิใช่โดยประการอื่น.
เรากล่าวว่า เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนี้
อิทธิปาฏิหาริย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรมของมนุษย์ ชื่อว่าเป็นสิ่งที่เราแสดงแล้ว
หรือยัง.
สุนักขัตตะ ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์แสดงไว้
แล้วแน่นอน มิใช่ไม่ทรงแสดงก็หาไม่.
เรากล่าวว่า แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอยังจะกล่าวกะเราผู้แสดง
อิทธิปาฏิหาริย์ยิ่งยวดกว่าธรรมของมนุษย์อย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรง แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรมของมนุษย์
แก่ข้าพระองค์ดังนี้. เธอจงเห็นว่า การกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดของ
เธอเพียงไร ดูก่อนภัคควะ โอรสเจ้าลิจฉวีชื่อสุนักขัตตะ เมื่อเรากล่าว
อย่างนี้ ได้หนีไปจากพระธรรมวินัยนี้เหมือนสัตว์ผู้ไปเกิดในอบายและ
นรกฉะนั้น.

กถาว่าด้วยมหาพรหมเป็นต้น



[13] ดูก่อนภัคควะ ก็เราย่อมทราบชัดสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ
ทั้งรู้ชัดกว่านั้น และไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่นจงทราบ
ความดับได้เฉพาะตน ฉะนั้น ตถาคตจึงไม่ถึงทุกข์. ดูก่อนภัคควะ มีสมณ-
พราหมณ์บางพวก บัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ว่าพระอิศวรทำให้ ว่า
พระพรหมทำให้ ตามลัทธิอาจารย์ เราจึงเข้าไปถามเขาอย่างนี้ว่า ได้
ยินว่า ท่านทั้งหลายบัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ว่าพระอิศวรทำให้ ว่า
พระพรหมทำให้ ตามลัทธิอาจารย์จริงหรือ. สมณพราหมณ์เหล่านั้น ถูก
เราถามอย่างนี้แล้ว ยืนยันว่าเป็นเช่นนั้น เราจึงถามต่อไปว่า พวกท่าน
บัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ว่าพระอิศวรทำให้ ว่าพระพรหมทำให้ตาม
ลัทธิอาจารย์มีแบบอย่างไร. สมณพราหมณ์เหล่านั้นถูกเราถามอย่างนี้ ก็
ตอบไม่ถูก จึงย้อนถามเรา เราถูกถามแล้ว จึงพยากรณ์ว่า เธอทั้งหลาย
มีบางกาลบางสมัยล่วงมาช้านาน ที่โลกนี้จะพินาศ เมื่อโลกกำลังพินาศ
อยู่ โดยมากเหล่าสัตว์ย่อมเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม สัตว์เหล่านั้นได้สำเร็จ
ทางใจ มีปิติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ใน
อากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้น สิ้นกาลช้านาน.
เธอทั้งหลาย มีบางกาลบางสมัยล่วงมาช้านาน ที่โลกนี้กลับเจริญ
เมื่อโลกกำลังเจริญอยู่ วิมานของพรหมปรากฏว่า ว่างเปล่า ครั้งนั้น
สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นอาภัสสรพรหม เพราะสิ้นอายุหรือเพราะสิ้นบุญ
ย่อมเข้าถึงวิมานพรหมที่ว่างเปล่า แม้สัตว์ผู้นั้นก็ได้สำเร็จทางใจ มีปีติ
เป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ใน
วิมานงาม สถิตอยู่ในภพนั้น สิ้นกาลยืดยาวช้านาน เพราะสัตว์นั้นอยู่แต่
ผู้เดียวเป็นเวลานาน จึงเกิดความกระสัน ความดิ้นรนขึ้นว่า โอหนอ
แม้สัตว์เหล่าอื่นก็พึงมาเป็นอย่างนี้บ้าง. ต่อมา สัตว์เหล่าอื่นก็จุติจากชั้น