เมนู

กฬารมัชฌกะ กลับนุ่งห่มผ้า มีภรรยา กินข้าวและขนม ล่วงเกิน
เจดีย์ที่มีอยู่ในเมืองเวลาลีทั้งหมด กลายเป็นคนเสื่อมยศ แล้วตายไป จึงได้
เข้ามาหาเรา ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง. เราจึงกล่าว
กะเขาผู้นั่งเรียบร้อยแล้วว่า ดูก่อนสุนักขัตตะเธอสำคัญความข้อนั้นเป็น
ไฉน วิบากนั้น ได้มีขึ้นเช่นดังที่เราได้พยากรณ์อเจลกชื่อกฬารมัชฌกะ
ไว้แก่เธอ มิใช่มีโดยประการอื่น.

สุนักขัตตะทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วิบากนั้นได้มีขึ้นดังที่
พระผู้มีพระภาคได้ทรัพยากรณ์อเจลกชื่อว่ากฬารมัชฌกะไว้แก่ข้าพระองค์
มิใช่มีโดยประการอื่น.
เรากล่าวว่า เธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนี้
อิทธิปาฏิหาริย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรมของมนุษย์ ชื่อว่าเป็นสิ่งที่เราได้แสดงไว้
แล้วหรือยัง.
สุนักขัตตะทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงแสดง
แล้วแน่นอน มิใช่จะไม่ทรงแสดงก็หาไม่.
เรากล่าวว่า แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอยังจะกล่าวกะเราผู้แสดง
อิทธิปาฏิหาริย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรมของมนุษย์อย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้
เจริญ พระผู้มีพระภาคมิได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรม
ของมนุษย์แก่ข้าพระองค์ ดูก่อนโฆษบุรุษ เธอจงเห็นว่า การกระทำ
เช่นนี้เป็นความผิดของเธอเพียงใด. ดูก่อนภัคควะ โอรสเจ้าลิจฉวีชื่อสุนัก-
ขัตตะ ถูกเรากล่าวอยู่อย่างนี้ ได้หนีไปจากธรรมวินัยนี้ เหมือนสัตว์ผู้
เกิดในอบายและนรกฉะนั้น.

กถาว่าด้วยเรื่องอเจลกปาฏิกบุตร



[6] ภัคควะ สมัยหนึ่ง เราอยู่ที่ภูฏาคารศาลาในป่ามหาวันใน
เมืองเวสาลีนั่นเอง. สมัยนั้นนักบวชเปลือยชื่อปาฏิกบุตร อาศัยอยู่ที่วัชชีคาม

ในเมืองเวสาลี เป็นผู้มีลาภและยศเลิศ. เขากล่าววาจาในบริษัทที่เมือง
เวสาลีอย่างนี้ว่า แม้พระสมณโคดม ก็เป็นญาณวาทะ แม้เราก็เป็นญาณ-
วาทะ อนึ่งระหว่างผู้มีญาณวาทะทั้งสองฝ่ายนั้น ควรจะได้แสดงอิทธิปา-
ฏิหารย์ที่ยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ พระสมณโคดม พึงเสด็จไปกึ่งหนทาง แม้
เราก็พึงไปกึ่งหนทาง ในที่พบกันนั้น แม้เราทั้งสอง พึงทำอิทธิปาฏิหาริย์
ที่ยิ่งยวดกว่าธรรมของมนุษย์ ถ้าพระสมณโคดมจักทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่ยิ่ง
ยวดกว่าธรรมของมนุษย์ 1 อย่าง เราจะทำ 2 อย่าง ถ้าพระสมณโคดมจัก
ทรงกระทำ 2 อย่าง เราจักทำ 4 อย่าง ถ้าพระสมณโคดมจักทำ 4 อย่าง
เราจะทำ 8 อย่าง พระสมณโคดมจักทำเท่าใด ๆ เราก็จักทำให้มากกว่า
นั้น เป็นทวีคูณ. โอรสเจ้าลิจฉวีชื่อสุนักขัตตะทราบข่าวนั้น จึงเข้ามาหา
เรา ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระ-
องค์ผู้เจริญ นักบวชเปลือยชื่อปาฏิกบุตรอาศัยอยู่ที่วัชชีคามใน
เมืองเวสาลี มีลาภและยศเลิศ
เขากล่าววาจาในบริษัทที่เมืองเวสาลี
อย่างนี้ว่า แม้พระสมณโคดมเป็นญาณวาทะ แม้เราก็เป็นญาณวาทะ
ระหว่างผู้มีญาณวาทะทั้งสองฝ่ายนั้น ควรแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ที่ยิ่งยวดกว่า
ธรรมของมนุษย์ พระสมณโคดมไปได้กึ่งทาง ทางก็ไปได้กึ่งทาง ในที่พบ
กันนั้น แม้เราทั้งสองพึงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรมของมนุษย์
ถ้าพระสมณโคดมทรงทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรมของมนุษย์ 1 อย่าง
เราจะทำ 2 อย่าง ถ้าพระสมณโคดมจักทำ 2 อย่าง เราจะทำ 4 อย่าง
ถ้าพระสมณโคดมจักทำ 4 อย่าง เราจะทำ 8 อย่าง พระสมณโคดม
จะทำเท่าใด ๆ เราจะทำให้มากกว่านั้นเป็นทวีคูณ. เมื่อโอรสเจ้าลิจ-
ฉวีชื่อสุนักขัตตะกล่าวอย่างนี้ เราได้กล่าวกะเขาว่า ดูก่อนสุนักขัตตะ
นักบวชเปลือยชื่อปกฏิกบุตร เมื่อไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฏฐิ
เช่นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะมาพบเห็นเราได้ ถ้าแม้เขาพึงคิดเห็นอย่างนี้

ว่า เราไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฏฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระ
สมณโคดมได้ ดังนี้ แม้ศีรษะเขาจะพึงแตกออก.

สุนักขัตตะ ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาค
ทรงรักษาพระวาจานั้น ขอพระสุคตทรงรักษาพระวาจานั้น.
เรากล่าวว่า ดูก่อนสุนักขัตตะ ก็ ไฉนเธอจึงกล่าวกะเราอย่าง
นี้ว่า ข้าแด่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคทรงรักษาพระวาจานั้น
ขอพระสุคตทรงรักษาพระวาจานั้น.
สุนักขัตตะทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะพระผู้มีพระ
ภาคตรัสวาจาโดยแน่นอนว่า นักบวชเปลือยชื่อปาฏิกบุตร เมื่อไม่ละวาจา
จิตและสละคืนทิฏฐิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถจะมาพบเห็นเราได้ แม้ถ้าเขา
พึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฏฐิเช่นนั้น ก็พึงไป
พบเห็นพระสมณโคดมได้ ดังนี้ แม้ศีรษะเขาพึงแตกออก ดังนี้ ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ก็นักบวชเปลือยชื่อปาฏิกบุตร อาจแปลงรูปมาพบเห็น
พระผู้มีพระภาคก็ได้ พระดำรัสเช่นนั้นของพระผู้มีพระภาคก็เป็นมุสา.
เรากล่าวว่า ดูก่อนสุนักขัตตะ ตถาคตเคยกล่าววาจาที่เป็นสอง
ไว้บ้างหรือ.
สุนักขัตตะ ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาค
ทรงทราบ นักบวชเปลือยชื่อปาฏิกบุตรโดยแจ้งชัดด้วยพระหฤทัยว่า เขา
เมื่อไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฏฐิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะมาพบ
เห็นเราได้ ถ้าแม้เขาพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่ละวาจา จิต และสละ
คืนทิฏฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคดมได้ ดังนี้ แม้ศีรษะเขาจะ
พึงเตกออกหรือเทวดามาทูลความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคว่า เขาเมื่อไม่
ละวาจา จิต ละสละคืนทิฏฐิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะมาพบเห็น
พระองค์ได้ แม้ถ้าเขาพึงคิดเห็นอย่างไรว่า เราไม่ละวาจา จิต สละสละ

คืนทิฏฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคดมได้ ดังนี้ แม้ศีรษะของ
เขาจะพึงแตกออก.
เรากล่าวว่า ดูก่อนสุนักขัตตะ เราทราบนักบวชเปลือย
ชื่อปาฏิกบุตร โดยแจ้งด้วยใจของเราว่า เขาไม่ละวาจา จิต และสละ
ทิฏฐิเช่นนั้น จึงไม่สามารถมาพบเห็นเราได้ ถ้าแม้เขาพึงเห็นอย่างนี้ว่าเรา
ไม่ละวาจา จิต ละสละคืนทิฏฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคดมได้
ดังนี้ แม้ศีรษะเขาจะพึงแตกออก แม้เทวดาก็ได้บอกความนั้นแก่เราว่า เขา
เมื่อไม่ละวาจานั้น ฯลฯ แม้ศีรษะเขาจะพึงแตกออก. แม้เสนาบดีเจ้าลิจฉวี
ชื่ออชิตะ ซึ่งได้ตายไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้ไปเกิดในหมู่เทวดาชั้นดาวดึงส์ก็
ได้เข้ามาบอกเราอย่างนี้ว่า นักบวชเปลือยชื่อปาฏิกบุตรเป็นคนไม่ละอาย
ชอบกล่าวมุสา ทั้งได้พยากรณ์ข้าพระองค์ว่า เสนาบดีแห่งเจ้าลิจฉวีชื่อ
อชิตะ ในวัชชีคาม ได้เกิดในมหานรก แต่ข้าพระองค์มิได้เกิดใน
มหานรก ได้เกิดในหมู่เทวดาชั้นดาวดึงส์ เขาไม่ละอาย ชอบพูดมุสา เขา
เมื่อไม่ละวาจา จิต ละสละคืนทิฏฐิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถจะพบเห็นพระ
องค์ได้ แม้ถ้าเขาพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่ละวาจา จิต และสละคืน
ทิฏฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคดมได้ ดังนี้ แม้ศีรษะของเขาจะพึง
แตกออก. แม้เพราะเหตุนี้แล เราทราบ นักบวชเปลือยชื่อปาฏิกบุตร
โดยแจ้งชัดด้วยใจของเราว่า เขาไม่ละวาจา จิต สละสละคืนทิฏฐิเช่น
นั้น ไม่ควรมาพบเห็นเรา ถ้าแม้เขาพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่ละวาจา
จิตและสละคืนทิฏฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคตมได้ดังนี้ ศีรษะ
เจริญนักบวชเปลือยชื่อปาฏิกบุตร ไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฏฐิเช่น
นั้น ไม่ควรมาพบเห็นพระผู้มีพระภาค ถ้าแม้เขาพึงมีความคิดเห็นอย่าง
นี้ว่า เราไม่ละวาจา จิต ละสละคืนทิฏฐิเช่นนั้น พึงไปพบเห็นพระ

สมณโคดมได้ดังนี้ แม้ศีรษะเขาพึงแตกออก. ดูก่อนสุนักขัตตะ เรานี้แล
เที่ยวไปบิณฑบาตที่เมืองเวสาลี กลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต แล้ว
เข้าไปยังอารามของนักบวชเปลือยชื่อปาฏิกบุตร เพื่อพักผ่อนกลางวัน บัด
นี้ถ้าเธอปรารถนาก็จงบอกเขาเถิด.
[7] ภัคควะ ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า เรานุ่งห่มแล้ว ถือบาตรจีวร
เข้าไปบิณฑบาตที่เมืองเวสาลี กลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต แล้ว
เข้าไปยังอารามของนักบวชเปลือยชื่อปาฏิกบุตร เพื่อพักผ่อนกลางวัน.
ครั้งนั้น โอรสเจ้าลิจฉวีสุนักขัตตะ รีบเข้าไปเมืองเวสาลีแล้ว เข้าไป
พวกเจ้าลิจฉวีที่มีข้อเสียงบอกว่า
ท่านผู้เจริญ พระผู้มีพระภาค
เสด็จเข้าไปบิณฑบาตที่เมืองเวสาลี กลับจากบิณฑบาตไม่เวลาปัจฉาภัต
แล้วเสด็จเข้าไปยังอารามของนักบวชเปลือย ชื่อปาฏิกบุตรเพื่อทรงพักผ่อน
กลางวัน ขอพวกท่านจงรีบออกไป จักมีการแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ที่ยิ่งยวด
กว่าธรรมของมนุษย์ ของพวกสมณะที่ดี.
ครั้งนั้น พวกเจ้าลิจฉวีผู้มีชื่อเสียงได้คิดกันว่า ท่านผู้เจริญ ทราบ
ข่าวว่า จักมีการแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรมของมนุษย์ ของพวก
สมณะที่ดี ฉะนั้นเชิญพวกเราไปกัน. และโอรสเจ้าลิจฉวีสุนักขัตตะเข้าไป
หาพวกพราหมณ์มหาศาล คฤหบดีผู้มั่งคั่ง เหล่าเดียรถีย์ต่าง ๆ และสมณ-
พราหมณ์ผู้มีชื่อเสียง แล้วบอกว่า ท่านผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้า
ไปบิณฑบาตที่เมืองเวสาลี กลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัตแล้วเสด็จเข้า
ไปยังอารามของอเจลกปาฏิกบุตร เพื่อทรงพักผ่อนกลางวัน ขอพวกท่านจง
รีบออกไป จักมีการแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรมของมนุษย์ ของ
พวกสมณะที่ดี ครั้งนั้น พวกพราหมณ์มหาศาล คฤหบดีผู้มั่งคั่ง เหล่า
เดียรถีย์ต่าง ๆ และสมณพราหมณ์ผู้มีชื่อเสียง ได้คิดกันว่า ท่านผู้เจริญ
ทราบข่าวว่า จักมีการแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของ

พวกสมณะที่ดี ฉะนั้น เชิญพวกเราไปกัน.
ครั้งนั้น พวกเจ้าลิจฉวีผู้มีชื่อเสียง และพราหมณ์มหาศาล คฤหบดี
ผู้มั่งคั่ง เหล่าเดียรถีย์ต่าง ๆ และสมณพราหมณ์ผู้มีชื่อเสียงได้เข้าไปยัง
อารามของนักบวชเปลือยชื่อปาฏิกบุตร. ดูก่อนภัคควะ บริษัทนั้น ๆ มี
หลายร้อย หลายพันคน. นักบวชเปลือยชื่อปาฏิกบุตรได้ทราบข่าวว่า
บรรดาเจ้าลิจฉวีผู้มีชื่อเสียงและพราหมณ์มหาศาล คฤหบดีผู้มั่งคั่ง เหล่า
เดียรถีย์ต่าง ๆ และสมณพราหมณ์มหาศาล คฤหบดีผู้มั่งคั่ง เหล่า
พระสมณโคดมก็ทรงนั่งพักผ่อนที่อารามของเรา. ครั้นแล้ว จึงเกิดความ
กลัวความหวาดเสียว ขนพอง สยองเกล้า. ครั้งนั้น นักบวชเปลือยชื่อ
ปาฏิกบุตร เมื่อกลัว หวาดเสียว ขนพองสยองเกล้า จึงเข้าไปยังอาราม
ของปริพาชกชื่อติณฑุกขานุ. บริษัทนั้นได้ทราบว่า นักบวชเปลือยชื่อ
ปาฏิกบุตรกลัว หวาดเสียว ขนพองสยองเกล้า เข้าไปยังอารามของปริ-
พาชกชื่อติณฑุกขานุ.
ครั้งนั้น บริษัทนั้นได้เรียกบุรุษคนหนึ่งมาสั่งว่า ดูก่อนบุรุษผู้
เจริญ ท่านจงเข้าไปหานักบวชเปลือยชื่อปาฏิกบุตรที่อารามของปริพา-
ชกชื่อติณฑุกขานุ แล้วจงบอกกะเขาอย่างนี้วา ท่านปาฎิกบุตร ท่าน
จงกลับไป บรรดาเจ้าลิจฉวีผู้มีชื่อเสียง และพราหมณ์มหาศาล คฤหบดีผู้
มั่งคั่ง เหล่าเดียรถีย์ต่าง ๆ และพระสมณโคดมก็ประทับนั่งพักผ่อนกลางวัน
ที่อารามของท่าน อนึ่งท่านได้กล่าวในบริษัทที่เมืองเวสาลีอย่างนี้ว่าแม้พระ
สมณโคดมก็เป็นญาณวาทะ แม้เราก็เป็นญาณวาทะ อนึ่ง ระหว่างผู้เป็น
ญาณวาทะทั้งสองฝ่ายควรแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรมของมนุษย์
พระสมณโคดมพึงเสด็จมากึ่งหนทาง แม้เราก็พึงไปกึ่งหนทาง ในที่พบกัน
นั้น แม้เราทั้งสอง พึงทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่ยอดเยี่ยมกว่าธรรมของมนุษย์ ถ้า
พระสมณะโคดมจักทรงกระทำอิทธิปาฎิหาริย์ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์

1 อย่าง เราจักกระทำ 2 อย่าง ถ้าพระสมณโคดมจักทรงกระทำ 2 อย่าง
เราจะทำ 4 อย่าง ถ้าพระสมณโคดมจักทำ 4 อย่าง เราจะทำ 8 อย่าง
พระสมณโคดมจักทำเท่าใด ๆ เราก็จะทำให้มากกว่านั้น เป็นทวีคูณ
ดังนี้ ท่านปาฏิกบุตร ท่านจงออกไปกึ่งหนทาง พระสมณโคดมเสด็จ
มาก่อนภัคควะ บุรุษนั้นรับคำสั่งบริษัทนั้นแล้ว จึงเข้าไปหานักบวชเปลือย
ดูก่อนภัคควะ บุรุษนั้นรับคำสั่งบริษัทนั้นแล้ว จึงเข้าไปหานักบวชเปลือย
ชื่อ ปาฎิกบุตรที่อารามของปริพาชกชื่อติณฑุกขานุ แล้วบอกะเขาอย่างนี้
ท่านปาฏิกบุตร ท่านจงกลับไป พวกเจ้าลิจฉวีผู้มีชื่อเสียง และพราหมณ์
มหาศาลคฤหบดีผู้มั่งคั่ง เหล่าเดียรถีย์ต่าง ๆ และสมณพราหมณ์ผู้มี
ชื่อเสียงได้พากันออกมาแล้ว แม้พระสมณโคดมก็ประทับนั่งพักผ่อน
กลางวันที่อารามของท่าน อนึ่งท่านได้กล่าววาจาในที่บริษัทเมืองเวสาลี
อย่างนี้ว่า แม้พระสมณโคดมก็เป็นญาณวาทะ แม้เราก็เป็นญาณ
วาทะ อนึ่งระหว่างผู้เป็นญาณวาทะทั้งสองฝ่าย ควรแสดงอิทธิปาฏิ-
หาริย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรมของมนุษย์ พระสมณโคดมพึงเสด็จมากึ่งหนทาง
แม้เราก็พึงไปกึ่งหนทางในที่พบกันนั้น แม้เราทั้งสอง พึงทำอิทธิปาฏิ-
หาริย์ที่ยอดเยี่ยมกว่าธรรมของมนุษย์ ถ้าพระสมณะโคดมจักทรงกระทำ
อิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ 1 อย่าง เราจะทำ 2
อย่าง ถ้าพระสมณโคดมทรงกระทำ 2 อย่าง เราจะทำ 4 อย่าง
ถ้าพระสมณโคดมจักทรงกระทำ 4 อย่าง เราจะทำ 8 อย่าง พระ-
สมณโคดมจะทรงกระทำเท่าใด ๆ เราก็จักกระทำให้มากกว่านั้น
เป็นทวีคูณ ๆ ดังนี้ ท่านปาฎิกบุตร ท่านจงออกไปกึ่งหน
ทาง พระสมณโคดมเสด็จมาก่อนคนทั้งปวงที่เดียวประทับนั่งพักผ่อน
กลางวันที่อารามของท่าน. เมื่อบุรุษนั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว นักบวช

เปลือยชื่อ ปาฏิกบุตร จึงกล่าวว่า เราจะไป ๆ แล้วซบศีรษะอยู่ในที่
นั่นเอง ไม่อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้.
ครั้งนั้น บุรุษนั้นได้กล่าวกะเขาว่า ท่านปาฏิกบุตร ไฉน
ท่านจึงเป็นอย่างนี้ ตะโพกของท่านติดกะที่นั่ง หรือว่าที่นั่งติดกับตะโพก
ของท่าน ท่านกล่าวว่า เราจะไป ๆ แต่กลับซบศีรษะอยู่ในที่นั้นเองไม่อาจ
ลุกขึ้นจากอาสนะได้. ดูก่อนภัคควะ นักบวชเปลือยชื่อ ปาฏิกบุตร แม้ถูก
ว่าอยู่อย่างนี้ ก็ยังกล่าวว่าเราจะไป ๆ แล้วก็ซบศีรษะอยู่ในที่นั้นเอง ไม่
อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้. เมื่อบุรุษนั้นได้ทราบว่า อเจลกปาฎิกบุตรนี้เป็น
ผู้แพ้แล้ว ก็ยังกล่าวว่า เราจะไป ๆ แล้วก็ซบศีรษะอยู่ในที่นั้นเอง
ไม่อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้ จึงกลับมาหาบริษัทนั้นแล้วบอกว่า ท่านผู้
เจริญ นักบวชเปลือยชื่อปฏิกบุตรนี้ เป็นผู้แพ้แล้วก็ยังกล่าวว่า เราจะ
ไป ๆ แล้วก็ซบศีรษะอยู่ในที่นั้นเอง ไม่อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้.
ก่อนภัคควะ เมื่อบุรุษนั้นกล่าวอย่างนี้ เราจึงได้กล่าวกะบริษัท
นั้นว่า ท่านทั้งหลาย นักบวชเปลือยชื่อปาฏิกบุตร เมื่อไม่ละวาจา จิต
สละคืนทิฏฐิเช่นนั้น
ก็ไม่สามารถที่จะมาพบเห็นเราได้ แม้ถ้าเขาพึงมี
ความคิดอย่างนี้ว่า เราไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฏฐิเช่นนั้น ก็พึงไป
พบเห็นพระสมฌโคดมได้ ดังนี้ แม้ศีรษะเขาจะพึงแตกออก.
ปฐมภาณวาร จบ
[8] ดูก่อนภัคควะ ครั้งนั้น มหาอำมาตย์เจ้าลิจฉวีคนหนึ่งลุก
ขึ้นยืน ได้กล่าวกะบริษัทนั้นว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้น ขอให้พวกท่าน
รอคอยสักครู่หนึ่ง ขอให้ข้าพเจ้าไป บางที ข้าพเจ้าอาจนำเอานักบวช
เปลือยชื่อ ปาฏิกบุตร มาบริษัทนี้ได้ ครั้งนั้น มหาอำมาตย์แห่งเจ้าลิจฉวี
คนนั้นจึงเข้าไปหานักบวชเปลือยชื่อ ปาฏิกบุตร ที่อารามของปริพาชกชื่อ
ติณฑุกขานุ กล่าวว่า ท่านปาฏิกบุตร ท่านจงกลับไป การกลับไปของท่าน

เป็นการดี พวกเจ้าลิจฉวีผู้มีชื่อเสียง และพราหมณ์มหาศาล คฤหบดี
ผู้มั่งคั่ง เหล่าเดียรถีย์ต่าง ๆ และสมณพราหมณ์ผู้มีชื่อเสียงได้พากันออก
มาแล้ว
แม้พระสมณโคดมก็ประทับนั่งพักผ่อนกลางวันที่อารามของท่าน
อนึ่งท่านได้กล่าววาจาในบริษัทที่เมืองเวสาลีอย่างนี้ว่า แม้พระสมณะโคดม
ก็เป็นญาณวาทะ แม้เราก็เป็นญาณวาทะอนึ่ง ระหว่างผู้เป็นญาณวาทะ
ทั้งสองฝ่าย ควรแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรมของมนุษย์ พระ-
สมณโคดมพึงเสด็จมากึ่งหนทาง แม้เราก็พึงไปกึ่งหนทาง ในที่พบกันนั้น
แม้เราทั้งสอง พึงทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ ถ้า
พระสมณโคดมจักทรงทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ 1
อย่าง เราจะทำ 2 อย่าง ถ้าพระสมณโคดมจะทรงกระทำ 2 อย่าง เราจะ
ทำ 4 อย่าง ถ้าพระสมณโคดมจะทรงทำ 4 อย่าง เราจะทำ 8 อย่างพระ-
สมณโคดมจะทรงทำเท่าใด ๆ เราจะทำให้มากกว่านั้นเป็นทวีคูณ ๆ ดังนี้
ท่านปาฎิกบุตร ท่านจงออกไปกึ่งหนทาง พระสมณโคดมเสด็จมาก่อนคน
ทั้งปวงทีเดียวประทับนั่งพักผ่อนกลางวันที่อารามของท่าน อนึ่ง พระ
สมณโคดมได้ตรัสวาจาในบริษัทว่า นักบวชเปลือยชื่อ ปาฏิกบุตร
เมื่อไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฏฐิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะมาพบ
เห็นเราได้ ถ้าแม้เขาพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่ละวาจา จิต และสละ
คืนทิฏฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคดมได้ ดังนี้ แม้ศีรษะ
ของเขาจะพึงแตกออก ดังนั้น ท่านปาฏิกบุตร ท่านจงกลับไป ด้วย
การกลับไปนั่นแหละ พวกข้าพเจ้าจักให้ชัยชนะแก่ท่าน จักให้ความ
ปราชัยแก่พระสมณโคดม.
ดูก่อนภัคควะ เมื่อมหาอำมาตย์แห่งเจ้าลิจฉวีกล่าวอย่างนี้
นักบวชเปลือยชื่อ ปาฏิกบุตร จึงกล่าวว่า เราจะไป ๆ แล้วก็ซบศีรษะ
อยู่ในที่นั้นเอง ไม่อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้. ครั้งนั้นมหาอำมาตย์แห่ง

เจ้าลิจฉวีจึงกล่าวกะเขาว่า ท่านปาฏิกบุตร ท่านเป็นอย่างไรเล่า ตะ
โพกของท่านติดกับที่นั่ง หรือว่าที่นั่งติดกับตะโพกของท่าน
ท่าน
กล่าวว่า เราจะไป ๆ แล้วก็ซบศีรษะอยู่ในที่นั้นเอง ไม่อาจลุกขึ้นจาก
อาสนะได้. เมื่อมหาอำมาตย์แห่งเจ้าลิจฉวีนั้นได้ทราบว่า นักบวช
เปลือยชื่อ ปาฏิกบุตร นี้เป็นผู้แพ้แล้ว ก็ยังกล่าวว่า เราจะไป แล้ว
ก็ซบศีรษะอยู่ในที่นั้นเอง ไม่อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้ จึงมาหาบริษัท
แล้วบอกว่า ท่านผู้เจริญ นักบวชเปลือยชื่อปาฏิกบุตรนี้ เป็นผู้แพ้
แล้ว ก็ยังกล่าวว่า เราจะไป ๆ แล้วก็ซบศีรษะอยู่ในที่นั้นเองไม่
อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้.
ดูก่อนภัคควะ เมื่อมหาอำมาตย์แห่งเจ้าลิจฉวีนั้นกล่าวอย่างนี้
เราจึงกล่าวกับบริษัทว่า เธอทั้งหลาย นักบวชเปลือยชื่อปาฏิกบุตร
เมื่อไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฏฐิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะพบเห็น
เราได้ ถ้าแม้เขาพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราจะไม่ละวาจา จิต และสละ
คืนทิฏฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคดมได้ ดังนี้ แม้ศีรษะ
ของเขาจะพึงแตกออก แม้ถ้าพวกเจ้าลิจฉวีพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า พวก
เราจักเอาเชือกมัด อเจลกปาฏิกบุตร แล้วจึงฉุดมาด้วยคู่โคมากคู่
เชือกเหล่านั้น หรืออเจลกปาฏิกบุตรพึงขาดออก ก็อเจลกปาฏิกบุตร
เมื่อไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฏฐิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะมาพบ
เห็นเราได้ แม้ถ้าเขาพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่ละวาจา จิต และสละ
คืนทิฏฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคดมได้ ดังนี้ แม้ศีรษะ
ของเขาจะพึงแตกออก.
[9] ดูก่อนภัคควะ ครั้งนั้นศิษย์ช่างกลึงบาตรไม้ ชื่อ
ชาลิยะ ลุกขึ้นยืนกล่าวกะบริษัทว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้น
ขอให้พวกท่านจงรอคอยสักครู่หนึ่ง ขอให้ข้าพเจ้าไป บางที ข้าพเจ้า

อาจนำเอานักบวชเปลือยชื่อ ปาฏิกบุตร มาสู่บริษัทได้. ครั้งนั้นศิษย์
ช่างกลึงบาตรไม้ชื่อว่า ชาลิยะ จึงเข้าไปหานักบวชเปลือยชื่อ ปาฏิก-
บุตร
ที่อารามของปริพาชกชื่อ ติณฑุกขานุ แล้วจึงกล่าวว่า ท่าน
ปาฏิกบุตร ท่านจงกลับไป การกลับไปของท่านเป็นการดี พวก
เจ้าลิจฉวีผู้มีชื่อเสียง และพราหมณ์มหาศาล คฤหบดีผู้มั่งคั่ง เหล่า
เดียรถีย์ต่าง ๆ และสมณพราหมณ์ผู้มีชื่อเสียงได้พากันออกมาแล้ว
แม้พระสมณโคดมก็ประทับนั่งพักผ่อนกลางวันที่อารามของท่าน อนึ่ง
ท่านได้กล่าววาจาในบริษัท ที่เมืองเวสาลีว่า แม้พระสมณโคดมก็เป็น
ญาณวาทะ แม้ว่าเราจะเป็นญาณวาทะ อนึ่ง ระหว่างผู้เป็นญาณวาทะ
ทั้งสองฝ่าย ควรแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรมของมนุษย์
พระสมณโคดมพึงเสด็จมากึ่งหนทาง แม้เราก็พึงไปกึ่งหนทาง ในที่
พบกันนั้น แม้เราทั้งสอง พึงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรม
ของมนุษย์ ถ้าพระสมณโคดมทรงทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรม
ของมนุษย์ 1 อย่าง เราจะทำ 2 อย่าง ถ้าพระสมณโคดมจะทรงทำ 2
อย่าง เราจะทำ 4 อย่าง ถ้าพระสมณโคดมจะทรงทำ 4 อย่าง เราจะ
ทำ 8 อย่าง พระสมณโคดมจักทรงกระทำเท่าใด ๆ เราจักทำให้มาก
กว่านั้นเป็นทวีคูณๆ ดังนี้ ท่านปาฏิบุตร ท่านจงออกไปกึ่งหนทาง
พระสมณโคดมเสด็จมาก่อนคนทั้งปวงทีเดียว ประทับนั่งพักผ่อน
กลางวันที่อารามของท่าน อนึ่ง พระสมณโคดมได้ตรัสวาจาในบริษัท
ว่า นักบวชเปลือยชื่อ ปาฏิกบุตร เมื่อไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฏฐิ
เช่นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะมาพบเห็นเราได้ แม้ถ้าเขาพึงคิดเห็นอย่าง
นี้ว่า เราไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฏฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็น
พระสมณโคดมได้ ดังนี้ แม้ศีรษะของเขาจะพึงแตกออก แม้ถ้า
พวกเจ้าลิจฉวีจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า พวกเราจักเอาเชือกมัดนักบวช

เปลือยชื่อ ปาฏิกบุตร แล้วจึงฉุดมาด้วยคู่โคมากคู่ เชือกเหล่านั้น
หรืออเจลกชื่อ ปาฏิกบุตร พึงขาดออก ก็อเจลกปาฏิกบุตร เมื่อไม่
ละวาจา จิต และสละคืนทิฏฐิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะมาพบเห็น
เราได้ แม้ถ้าเขาพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่อาจละวาจา จิต และสละ
คืนทิฏฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคดมได้ ดังนี้ แม้ศีรษะ
ของเขาจะพึงแตกออก ดังนี้ ท่านปาฏิกบุตร ท่านจงกลับไป ด้วยการ
กลับไปของท่านนั่นแหละ พวกข้าพเจ้าจะให้ชัยชนะแด่ท่าน จะ
ให้ความปราชัยแก่พระสมณโคดม.

ดูก่อนภัคควะ เมื่อศิษย์ช่างกลึงบาตรไม้ชื่อ ชาลิยะ กล่าว
แล้วอย่างนี้ นักบวชเปลือยชื่อ ปาฏิกบุตร จึงกล่าวว่า เราจะไป ๆ
แล้วก็ซบศีรษะอยู่ในที่นั้นเอง ไม่อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้ ครั้งนั้น
ศิษย์ช่างกลึงบาตไม้ชื่อ ชาลิยะ จึงกล่าวกะเขาว่า ท่านปาฏิกบุตร
ท่านเป็นอย่างไรไปเล่า ตะโพกของท่านติดกับที่นั่ง หรือว่าที่นั่งติด
กับตะโพกของท่าน
ท่านกล่าวว่า เราจะไป ๆ แล้วก็ซบศีรษะอยู่ในที่
นั่นเอง ไม่อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้. อเจลกปาฏิกบุตร แม้ถูกว่าอย่าง
นี้ก็ยังกล่าวว่า เราจะไป ๆ แล้วก็ซบศีรษะอยู่ในที่นั้นเองไม่อาจลุกขึ้น
จากอาสนะได้ เมื่อศิษย์ช่างกลึงบาตรไม้ชื่อ ชาลิยะ ได้ทราบว่า อเจลก
ชื่อ ปาฏิกบุตร นี้เป็นผู้แพ้แล้ว ก็ยังกล่าวว่า เราจะไป ๆ แล้วก็ซบ
ศีรษะอยู่ที่นั้นเอง ไม่อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้ จึงกล่าวกะเขาต่อไปว่า

กถาว่าด้วยอุปมาสุนัขจิ้งจอกกับพญาราชสีห์



ท่านปาฏิกบุตร เรื่องเคยมีมาแล้ว คือพญาสีหราช ได้คิด
อย่างนี้ว่า ถ้ากระไร เราพึงอาศัยป่าทึบบางแห่งซ่อนอยู่ แล้วออกจาก
ที่ซ่อนในเวลาเย็น ดัดกายเหลียวดูทิศทั้ง 4 โดยรอบ แล้วบันลือ