เมนู

ว่าด้วยอทินนาทาน



[39] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอโปรดให้
ประชุมอำมาตย์ราชบริพารโหราจารย์และมหาอำมาตย์ นายกองช้าง
นายกองม้าเป็นต้น คนรักษาประตู และคนเลี้ยงชีพด้วยปัญญา แล้ว
ตรัสถามจักกวัตติวัตรอันประเสริฐ. เขาเหล่านั้น อันท้าวเธอตรัส
ถามจักกวัตติวัตรอันประเสริฐแล้ว จึงกราบทูลแก้ถวายท้าวเธอ.
ท้าวเธอได้ฟังคำทูลแก้ของพวกเขาแล้ว จึงทรงจัดการรักษาป้องกัน
และคุ้มครองอันชอบธรรม แต่ไม่ได้พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่
ไม่มีทรัพย์. เมื่อไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความ
ขัดสนจึงได้ถึงความแพร่หลาย. เมื่อความขัดสนถึงความแพร่หลาย
บุรุษคนหนึ่งจึงขโมยทรัพย์ของตนอื่นไป. เขาช่วยกันจับบุรุษนั้นได้
แล้ว แสดงแก่ท้าวเธอว่า พระพุทธเจ้าข้า บุรุษคนนี้ขโมยเอาทรัพย์
ของคนอื่นไป. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขาพากันกราบทูลอย่างนี้
แล้ว ท้าวเธอจึงตรัสคำนี้กะบุรุษผู้นั้นว่า พ่อบุรุษ ได้ยินว่า เธอ
ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไปจริงหรือ. บุรุษนั้นทูลว่า จริงพระพุทธ-
เจ้าข้า. ท้าวเธอถามว่า เพราะเหตุไร. บุรุษทูลว่า เพราะข้าพระพุทธ-
เจ้าไม่มีอะไรจะเลี้ยงชีพ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอจึงพระราชทาน
ทรัพย์ให้แก่เขาแล้วรับสั่งว่า พ่อบุรุษเธอจงเลี้ยงชีพ จงเลี้ยงมารดา
บิดา จงเลี้ยงบุตรภรรยา จงประกอบการงานทั้งหลาย จงตั้งทักษิณา
ที่มีผลในเบื้องบน อันเกื้อกูลแก่สวรรค์ มีสุขเป็นผล เป็นไปเพื่อ
สวรรค์ ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ด้วยทรัพย์นี้เถิด ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เขาได้สนองพระราชดำรัสของท้าวเธอแล้ว.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้บุรุษอีกคนหนึ่ง ก็ได้ขโมยทรัพย์
ของคนอื่นไป. เขาช่วยกันจับบุรุษนั้นได้แล้ว จึงแสดงแก่ท้าวเธอว่า
พระพุทธเจ้าข้า บุรุษผู้นี้ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป. ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เมื่อเขาพากันกราบทูลอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอจึงตรัสคำนี้
กะบุรุษนั้นว่า พ่อบุรุษ ได้ยินว่าเธอขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป
จริงหรือ. บุรุษนั้นทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. ท้าวเธอตรัสถามว่า
เพราะเหตุไร. บุรุษนั้นทูลว่า เพราะข้าพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรจะ
เลี้ยงชีพ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอจึงพระราชทาน
ทรัพย์ให้แก่เขา แล้วรับสั่งว่า พ่อบุรุษ เธอจงเลี้ยงชีพ จงเลี้ยงมารดา
บิดา จงเลี้ยงบุตรภรรยา จงประกอบการงานทั้งหลาย จงตั้งทักษิณา
ที่มีผลในเบื้องบน อันเกื้อกูลแก่สวรรค์ มีสุขเป็นผล เป็นไปเพื่อ
สวรรค์ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ด้วยทรัพย์นี้เถิด. ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เขาได้สนองพระราชดำรัสของท้าวเธอแล้ว.
ก่อนภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลายได้ฟังมาว่า ดูก่อนท่าน
ผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า คนขโมยทรัพย์ของคนพวกอื่นไป พระ
เจ้าแผ่นดิน ยังทรงพระราชทานทรัพย์ให้อีก. พวกเขาได้ยินมา จึง
พากันคิดเห็นอย่างนี้ว่า อย่ากระนั้นเลย แม้พวกเรา ก็ควรขโมย
เอาทรัพย์ของคนอื่นบ้าง.
[40] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น บุรุษคนหนึ่งขโมย
เอาทรัพย์ของคนอื่นไป. เขาช่วยกันจับบุรุษนั้นได้แล้ว จึงแสดงแก่
ท้าวเธอว่า พระพุทธเจ้าข้า บุรุษผู้นี้ ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขาพากันกราบทูลอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอจึง
ตรัสคำนี้กะบุรุษผู้นั้นว่า พ่อบุรุษ ได้ยินว่า เธอขโมยเอาทรัพย์ของ

คนอื่นไป จริงหรือ. บุรุษนั้นทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. ท้าวเธอ
ตรัสถามว่า เพราะเหตุไร. บุรุษนั้นทูลว่า เพราะข้าพระพุทธเจ้า
ไม่มีอะไรจะเลี้ยงชีพ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอจึง
ทรงพระดำริอย่างนี้ว่า ถ้าเรา จักให้ทรัพย์แก่คนที่ขโมยเอาทรัพย์
ของคนอื่นเสมอไป อทินนาทานนี้จักเจริญทวีขึ้นด้วยประการอย่างนี้
อย่ากระนั้นเลย เราจะให้คุมตัวบุรุษผู้นี้ให้แข็งแรง จะทำการตัด
ต้นตอ ตัดศีรษะของบุรุษนั้นเสีย. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น
ท้าวเธอ ตรัสสั่งบังคับราชบุรุษทั้งหลายว่า แน่ะ พนาย ถ้าเช่นนั้น
ท่านจงเอาเชือกเหนียว ๆ มัดบุรุษนี้ ให้มือไพล่หลังให้แน่น เอา
มีดโกน โกนศีรษะให้โล้น แล้วพาตระเวนตามถนน ตามตรอก ด้วย
บัณเฑาะก์เสียงกร้าว ออกทางประตูด้านทักษิณ จงคุมตัวให้แข็งแรง
ทำการตัดต้นตอ ตัดศีรษะบุรุษนั้นเสียนอกพระนครทิศทักษิณ
ราชบุรุษทั้งหลายรับพระราชดำรัสของท้าวเธอแล้ว จึงเอาเชือกเหนียว
มัดบุรุษนั้นให้มือไพล่หลังให้แน่น เอามีดโกน ๆ ศีรษะให้โล้น แล้ว
พาตระเวนตามถนน ตามตรอก ด้วยกลองพิฆาตเสียงกร้าว ออกทาง
ประตูด้านทักษิณ คุมตัวให้แข็งแรง ทำการตัดต้นตอ ตัดศีรษะ
บุรุษนั้น นอกพระนคร ทิศทักษิณแล้ว.
[41] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลายได้ฟังว่า ดูก่อน
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า พระเจ้าแผ่นดิน ได้คุมตัวบุคคลผู้
ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นอย่างแข็งแรง ทำการตัดต้นตอ ตัดศีรษะ
พวกเขาเสีย. ครั้นได้ฟังมา พวกเขาจึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า อย่า
กระนั้นเลย แม้พวกเราควรให้ช่างทำศัสตราอย่างคม ๆ ครั้นแล้ว
จะคุมตัวคนที่เราจับขโมยได้ให้แข็งแรง จักทำการตัดต้นตอ ตัด
ศีรษะพวกมันเสีย. พวกเขาจึงให้ช่างทำศัสตราอย่างคม. ครั้นแล้ว

จึงเริ่มทำการปล้นบ้านบ้าง ปล้นนิคมบ้าง ปล้นพระนครบ้าง ปล้น
ตามถนนหนทางบ้าง คุมตัวพวกที่ขโมยไว้อย่างแข็งแรง ทำการตัด
ต้นตอ ตัดศีรษะบุคคลเหล่านั้นเสีย.

ว่าด้วยปาณาติบาตทำให้อายุเสื่อม



[42] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการยังพรรณนามานี้
เมื่อพระมหากษัตริย์ ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์
ความขัดสนก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อความขัดสนถึงความแพร่-
หลาย อทินนาทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่ออทินนาทานถึงความ
แพร่หลาย ศัสตราก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อศัสตราถึงความแพร่
หลาย ปาณาติบาตก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อปาณาติบาตถึงความ
แพร่หลาย มุสาวาทก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อมุสาวาทถึงความ
แพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อม
ถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง
บุตรของมนุษย์ที่มีอายุแปดหมื่นปี ก็มีอายุถอยลง เหลือสี่หมื่นปี.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุสี่หมื่นปี บุรุษคนหนึ่งขโมยเอา
ทรัพย์ของคนอื่นไป. เขาช่วยกันจับบุรุษนั้นได้แล้ว จึงแสดงแก่พระราชา
ผู้เป็นกษัตรย์ ซึ่งได้มูรธาภิเษกว่า พระพุทธเจ้าข้า บุรุษผู้นี้ขโมยเอา
ทรัพย์ของคนอื่นไป. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขาพากันกราบทูลอย่างนี้
แล้ว ท้ายเธอจึงตรัสคำนี้กะบุรุษนั้นว่า พ่อบุรุษ ได้ยินว่า เธอขโมยเอา
ทรัพย์ของคนอื่นไป จริงหรือ. บุรุษนั้นได้กราบทูลคำเท็จทั้งที่รู้อยู่ว่า
ไม่จริงเลย พระพุทธเจ้าข้า.
[43] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อ
พระมหากษัตริย์ ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความ
ขัดสนได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อความขัดสนถึงความแพร่หลาย อทินนา-