เมนู

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ?.
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควร
หรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา ?
ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.
ผ.

ตรัสให้พิจารณาโดยยถาภูตะญาณทัสสนะ


[22] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุ
นั้นแล รูปอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือ
ภายนอกหยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่
สักว่ารูปเธอทั้งหลายพึงเห็นรูปนั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า
นั้นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่คนของเรา.
เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายใน
หรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็
เป็นแค่สักว่าเวทนา เธอทั้งหลายพึงเห็นเวทนานั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็น
จริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา.
สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบัน ภายใน
หรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็
เป็นแต่สักว่าสัญญา เธอทั้งหลายพึงเห็นสัญญานั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตาม
เป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา .
สังขารทั้งหลายอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน
ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้ง

หมดก็เป็นแต่สักว่าสังขาร เธอทั้งหลายพึงเห็นสังขารนั้นด้วยปัญญาอันชอบตาม
เป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา.
วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายใน
หรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็
เป็นแต่สักว่าวิญญาณ เธอทั้งหลายพึงเห็นวิญญาณนั้นด้วยปัญญาอันชอบตาม
เป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา.
[23] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยาสาวกผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัญญา
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อ
หน่ายย่อมสิ้นกำหนัด เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็พ้น เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้น
แล้ว อริยสาวกนั้นทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่
ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้.
[24] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระสูตรนี้แล้ว พระปัญจวัคคีย์มีใจ
ยินดีเพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ไวยากรณภาษิตนี้อยู่ จิตของพระปัญจวัคคีย์พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะ
ไม่ถือมั่น.

อนัตตลักขณสูตร จบ
ครั้งนั้น มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก 6 องค์.
ปฐมภาณวาร จบ

อรรถกถาอุโภตาปสาทิกถา


บทว่า ปณฺฑิโต ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยคุณเครื่องเป็นบัณฑิต.
บทว่า พฺยตฺโต ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยคุณเครื่องเป็นผู้ฉลาด.
บทว่า เมธาวี ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยปัญญาอันเกิดขึ้นฉับพลัน1.
บทว่า อปฺปรชกฺขชาติโก มีความว่า จัดว่าเป็นผู้มีชาติแห่งคน
ไม่มีกิเลส คือ เป็นคนหมดจด เพราะข่มกิเลสไว้ด้วยสมาบัติ.
บทว่า. อาชานิสฺสติ ได้แก่ จักกำหนดได้ คือ จักแทงตลอด.
หลายบทว่า ภควโตปิ โข ญาณํ อุทปาทิ มีความว่าพระ-
สัพพัญญุตญานเได้เกิดขึ้นว่า อาฬารดาบส กาลามโคตรนั้น ทำกาลกิริยาแล้ว
ไปเกิดในอากิญจัญญายตนภพ ในเวลา 7 วัน ตั้งแต่วันนี้ไป.
บทว่า มหาชานิโย มีอรรถวิเคราะห์ว่า ความเสื่อมใหญ่ชื่อว่ามีแก่
เธอ เพราะเป็นผู้เสื่อมเสียจากมรรคผลที่จะพึงบรรลุ ในภายใน 7 วัน เพราะ
ฉะนั้น เธอจึงชื่อผู้มีความเสื่อมใหญ่. อนึ่งชื่อผู้มีความเสื่อมใหญ่ เพราะเกิด
ในอักขณะ2.
บทว่า อกโทสกาลกโต มีความว่า ได้ทำกาลกิริยาเสียเมื่อวันวาน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็นว่า แม้อุทกดาบสนั้น ก็เกิดแล้วในเนวสัญญานา
สัญญายตนภพ.

1. ฐานศัพท์ลงในอรรถว่า ขณ ต่อ พลัน ทันทีทันใด เช่นในคำว่า ฐานโส อุปกปฺปติ. อนึ่ง
คำนี้ก็มคำไขไว้ในแก้อรรถ บทว่า วีมํสาย หน้า 234 ข้างหน้า.
2. สมัยมิใช่คราวมีพระพุทธเจ้า.