เมนู

4. กล่าววาจาเท็จ.
5. ดื่มน้ำเมา.
6. กล่าวติพระพุทธเจ้า.
7. กล่าวติพระธรรม.
8. กล่าวติพระสงฆ์.
9. มีความเห็นผิด.
10. ประทุษร้ายภิกษุณี.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้นาสนะสามเณรผู้ประกอบด้วยองค์
10 นี้.
เรื่องกักกันสามเณรต้องขออนุญาตก่อน จบ

อรรถกถานาสนังคทัณฑกรรมวัตถุ


หลายบทว่า ยาวตเก วา ปน อุสฺสหติ มีความว่า ย่อมอาจเพื่อ
จะตักเตือนพร่ำสอนสามเณรมีประมาณเท่าใด. ในสิกขาบท 10 ความละเมิด
5 สิกขาบทเบื้องต้น เป็นวัตถุแห่งนาสนา, ความละเมิด 5 สิกขาบทเบื้อง
ปลาย เป็นวัตถุแห่งทัณฑกรรม.
บทว่า อปฺปฏิสฺสา มีความว่า ไม่ตั้งภิกษุไว้ในฐานะผู้เจริญ คือ
ในตำแหน่งแห่งผู้เป็นใหญ่.
บทว่า อสภาควุตฺติกา มีความว่า ไม่เป็นผู้เป็นอยู่เสมอกัน
อธิบายว่าเป็นผู้เป็นอยู่ไม่สมส่วนกัน.

ข้อว่า อลาภาย ปริสกฺกติ มีความว่า ภิกษุทั้งหลายจะไม่ได้ลาภ
ด้วยประการใด เธอย่อมพยายามด้วยประการนั้น.
บทว่า อนตฺถาย ได้แก่ เพื่ออุปัทวะ.
บทว่า อนาวาสาย มีความว่า เธอย่อมพยายามว่า ทำไฉนหนอ
ภิกษุเหล่านั้นไม่พึงอยู่ในอาวาสนี้.
สองบทว่า อกฺโกสติ ปริภาสติ มีความว่า เธอย่อมด่าและย่อม
ขู่เข็ญด้วยแสดงภัย.
บทว่า เภเทติ มีความว่า เธอย่อมหาเรื่องส่อเสียดให้แตกกัน.
สองบทว่า อาวรณํ กาตุํ มีความว่า เพื่อทำกาห้ามว่า เธออย่า
เข้ามาในที่นี้.
หลายบทว่า ยตฺถ วา วสติ ยตฺถ วา ปฏิกฺถมติ มีความว่า
เธออยู่ก็ดี เข้าไปก็ดี ในที่ใด. บริเวณของตน และเสนาสนะที่ถึงตามลำดับ
พรรษา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วแม้ด้วยบททั้ง 2.
หลายบทว่า มุขทฺวาริกํ อาหารํ อาวรณํ กโรนฺติ มีความว่า
ภิกษุทั้งหลายย่อมห้ามอย่างนี้ว่า วันนี้เธอทั้งหลาย อยู่ขบเคี้ยว อย่าฉัน.
พึงทราบวินิจฉัยข้อนี้ว่า น ภิกฺขเว มุขทฺวาริโก อาทาโร อาวรณํ
กาตพฺโพ
นี้ ดังนี้:-
เมื่อภิกษุกล่าวว่า เธออย่าขบเคี้ยว อย่าฉัน ดังนี้ก็ดี เก็บบาตรจีวร
ไว้ข้างใน ด้วยตั้งใจว่า เราจักห้ามอาหาร ดังนี้ก็ดี ต้องทุกกฏทุก ๆ ประโยค.
แต่จะทำทัณฑกรรมแก่สามเณรผู้ว่ายากไม่มีอาจาระ จะแสดงยาคูหรือภัต หรือ
บาตรและจีวรกล่าวว่า ครั้นเมื่อทัณฑกรรมชื่อมีประมาณเท่านี้ อันเธอยอมรับ
เธอจักได้สิ่งนี้ ดังนี้ สมควรอยู่.

จริงอยู่ ทัณฑกรรมก็คือการห้าม อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว ฝ่าย
พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายกล่าวว่า แม้การให้ขนมาซึ่งน้ำหรือฟืนหรือ
ทรายเป็นต้น พอสมควรแก่ความผิด ภิกษุก็ควรทำได้. เพราะเหตุนั้น แม้
การให้ขนซึ่งน้ำเป็นต้นนั้นอันภิกษุพึงทำ. ก็ทัณฑกรรมนั้นแล อันภิกษุพึง
ลงด้วยความเอ็นดูว่า เธอจักงด จักเว้น ไม่พึงลงด้วยอัธยาศัยอันลามก ซึ่ง
เป็นไปโดยนัยเป็นต้นว่า เธอจักวอควาย เธอจักสึกไปเสีย. ด้วยคิดว่า เรา
จักลงทัณฑกรรม จะให้เธอนอนบนหินที่ร้อนหรือจะให้เธอทูลแผ่นหินและอิฐ
เป็นต้น ไว้บนศีรษะ หรือจะให้เธอดำน้ำ ย่อมไม่ควร.
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า น ภิกฺขเว อุปชฺฌายํ อนาปุจฺฉา นี้
ดังนี้:-
ครั้นเมื่อตนบอกเล่าครบ 3 ครั้งว่า สามเณรของท่านมีความผิดเช่นนี้
ท่านวงลงทัณฑกรรมแก่เธอ ถ้าอุปัชฌาย์ไม่ลงทัณฑกรรม จะลงเสียเองก็ควร
ถ้าอุปัชฌาย์บอกไว้แต่แรกเทียวว่า เมื่อพวกสามเณรของข้าพเจ้ามีโทษ ท่าน
ทั้งหลายนั่นแลจงลงทัณฑกรรม ดังนี้ สมควรแท้ที่จะลง. แลจงลงทัณฑ-
กรรม แม้แก่เหล่าสัทธิวิหาริกและอันเตวาสิก อย่างสามเณรทั้งหลายก็ควร.
บทว่า อปลาเฬนฺติ มีความว่า ย่อมเกลี้ยกล่อมเพื่อทำอุปฐากแก่
คนว่า พวกฉันจักให้บาตร จักให้จีวรแก่พวกเธอ.
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า น ภิกฺขเว อญฺญสฺส ปริสา อปาลา-
เฬตพฺพา
นี้ ดังนี้:-
จะเป็นสามเณรหรืออุปสัมบันก็ตามที อันภิกษุจะยุยงรับเอาชนซึ่งเป็น
บริษัทของผู้อื่น โดยที่สุด แม้เป็นภิกษุผู้ทุศีล ย่อมไม่ควร แต่สมควรอยู่ที่
จะแสดงโทษว่า การที่ท่านอาศัยคนที่ศีลอยู่ทำลงไป ก็กล้ายการที่ชนมาเพื่อจะ

อาบแต่ไพล่ไปทาด้วยคูก ดังนี้ . ถ้าเธอทราบไปเองทีเดียว จึงขออุปัชฌาย์
หรือนิสัย ภิกษุจะให้ก็ควร. บรรดานาสนา 3 ที่กล่าวแล้วในวรรณนาแห่ง
กัณฏกสิกขาบท1 ลิงคนาสนาเท่านั้น ประสงค์ในคำว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว
ทสหงฺเคหิ สมนฺนาคตํ สามเณรํ นาเสตุํ
นี้ เพราะเหตุนั้น ในกรรมทั้ง
หลายมีปาณาติบาตเป็นต้น สามเณรใด ย่อมทำกรรม แม้อย่างหนึ่ง สามเณร
นั้น อันภิกษุพึงให้ฉิบทาย ด้วยลิงคนาสนาเหมือนอย่างว่า ภิกษุทั้งหลาย่อม
เป็นอาบัติ ต่าง ๆ กัน ในเพราะกรรมทั้งหลายมีปาณาติบาตเป็นต้นฉันใด,
สามเณรทั้งหลายจะได้เป็นฉันนั้นหามิได้. เพราะว่าสามเณรยังมดดำมดแดงให้
ตายก็ดี บี้ไข่เรือดก็ดี ย่อมถึงความเป็นผู้ควรให้ฉิบทายทีเดียว. สรณคมน์
การถืออุปัชฌาย์ และการถือเสนาสนะของเธอ ย่อมระงับทันที. เธอย่อม
ไม่ได้ลาภสงฆ์, คงเหลืออยู่สิ่งเดียว เพียงเพศเท่านั้น, ถ้าเธอเป็นผู้มีโทษ
ซับซ้อน จะไม่ตั้งอยู่ในสังวรต่อไป พึงกำจัดออกเสีย ถ้าเธอผิดพลาดพลั้งไป
แล้ว ยอมรับว่า ความชั่วข้าพเจ้าได้ทำแล้ว ดังนี้ เป็นผู้ใคร่จะทั้งอยู่ในสังวร
อีก กิจคือลิงคนาสนาย่อมไม่มี, พึงให้สรณะทั้งหลาย พึงให้อุปัชฌาย์แก่เธอ
ซึ่งคงนุ่งห่มอย่างเดิมทีเดียว, ส่วนสิกขาบททั้งหลาย่อมสำเร็จด้วยสรณคมน์
นั่นเอง, จริงอยู่ สรณคมน์ของสามเณรทั้งหลายเป็นเช่นกับกรรมวาจาใน
อุปสมบทของภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น ศีล 10 เป็นอันสามเณรแม้นี้
สมาทานแล้วแท้ เหมือนจตุปาริสุทธิศีลอันภิกษุสมาทานแล้วฉะนั้น, แม้เป็น
เช่นนี้ ศีล 10 ก็ควรให้อีก เพื่อทำให้มั่นคง คือเพื่อยังเธอให้ตั้งอยู่ในสังวร
ต่อไป ถ้าสรณะทั้งหลายอันเธอรับอีกในวัสสูปนายิกาต้น เธอจักได้ผ้าจำนำ
พรรษาในวัสสูปนายิกาหลัง. ถ้าเธอ รับสรณะในวันสูปนายิกาหลัง ลาภอันสงฆ์
พึงอปโลกน์ให้.

1. สมนฺต. ทติย. 465.

สามเณรย่อมเป็นผู้มีใช่สมณะ คือย่อมถึงความเป็นผู้ควรนาสนาเสีย
ในเพราะอทินนาทาน ด้วยวัตถุแม้เพียงหญ้าเส้น 1 ในเพราะอพรหรมจรรย์
ด้วยปฏิบัติผิดในมรรคใดมรรคหนึ่งใน 3 มรรคในเพราะมุสาวาท เมื่อตนกล่าว
เท็จ แม้ด้วยความเป็นผู้ประสงค์จะหัวเราะเล่น ส่วนในเพราะดื่มน้ำเมา เป็น
อาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้แม้ไม่รู้ดื่มน้ำเมาจำเดิมแต่ส่า. ฝ่ายสามเณร ต้องรู้
แล้วดื่ม จึงต้องศีลเภท ไม่รู้ไม่ต้อง. ส่วน 5 สิกขาบทนอกนี้เหล่าใด ของ
สามเณรนั้นบรรดามี ครั้นเมื่อสิกขาบทเหล่านั้นทำลายแล้ว เธออันภิกษุไม่พึง
นาสนา พึงลงทัณฑกรรม. แลเมื่อสิกขาบทอันภิกษุได้ให้อีกก็ดี ยังมิได้ให้ก็
ดี จะลงทัณฑกรรม ย่อมควร. แต่ว่าพึงปราบด้วยทัณฑกรรมแล้ว จึงค่อย
ให้สิกขาบท เพื่อประโยชน์แก่ความคงอยู่ในสังวรต่อไป. การดื่มน้ำเมาของ
เหล่าสามเณร เป็นสจิตตกะ จึงเป็นวัตถุแห่งปาราชิก. ความแปลกกันเท่านี้.
ก็แลวินิจฉัยในอวัณณภาสนะ พึงทราบดังนี้:-
ในอรรถกถาชื่อกุรุนทีแก้ว่า สามเณรผู้กล่าวโทษแห่งพระพุทธเจ้า
ด้วยอำนาจแห่งคำเป็นข้าศึกแก่พุทธคุณ เป็นต้นว่า อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ
ก็ดี แห่งพระธรรม ด้วยอำนาจเป็นข้าศึกแก่ธรรมคุณ เป็นต้นว่า สฺวากฺขาโต
ก็ดี แห่งพระสงฆ์ ด้วยอำนาจแห่งคำเป็นข้าศึกแก่สังฆคุณเป็นต้นว่า สุปฏิ-
ปนฺโน
ก็ดี ได้แก่นินทา คือติเตียนพระรัตนตรัย อันภิกษุทั้งหลายมีอาจารย์
และอุปัชฌาย์เป็นต้น พึงแสดงโทษในการกล่าวโทษ ห้ามปรามเสียว่า เธอ
อย่าได้กล่าวอย่างนั้น ถ้าเธออันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่ถึงครั้งที่ 3 ยังไม่งด
เว้น ภิกษุทั้งหลายพึงให้ฉิบหายเสีย ด้วยกัณฏกนาสนะ.
ส่วนในมหาอรรถกถาแก้ว่า ถ้าเธออันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่อย่างนั้น
ยอมสละลัทธินั้น พึงให้ทำทัณฑกรรมแล้วแสดงโทษล่วงเกิน. ถ้ายังไม่ยอม
สละ ยังยึดถือยกย่องยันอยู่อย่างนั้นเอง พึงให้ฉิบทายเสียด้วยลิงคนาสนา.

คำแห่งมหาอรรถกถานั้นชอบ. เพราะว่านาสนานี้เท่านั้น อันพระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงประสงค์ในอธิบายนี้. แม้ในสามเณรผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิก็นัยนี้แล.
อันสามเณรผู้มีบรรดาสัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิชนิดใดชนิดหนึ่ง ถ้าเธออัน
ภิกษุทั้งหลายมีอาจารย์เป็นต้นตักเตือนอยู่สละเสียไว้ พึงให้ทำทัณฑกรรมแล้ว
ให้แสดงโทษล่วงเกิน เมื่อไม่ยอมสละนั้นแล พึงให้ฉิบหายเสีย ดังนี้แล.
ผู้ศึกษาพึงทราบสันนิษฐานว่า องค์ 10 ต่างแผนก คือ ภิกฺขุนีทูสโก
นี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ เพื่อแสดงเนื้อความนี้ว่า จริงอยู่ บรรดา
นาสนังคะ 10 นี้ สามเณรผู้ประทุษร้ายนางภิกษุณี อันพระองค์ทรงถือเอาด้วย
พรหมจารีศัพท์โดยแท้. ถึงกระนั้นก็สมควรจะให้สรณะแล้ว ให้อุปสมบทอ
พรหมจารีสามเณรผู้ปรารถนาจะตั้งอยู่ในสังวรต่อไป. สามเณรผู้ประทุษร้ายนาง
ภิกษุณี ถึงใคร่จะตั้งอยู่ในสังวรต่อไป ย่อมไม่ได้แม้ซึ่งบรรพชา ไม่จำต้อง
กล่าวถึงอุปสมมท.

อรรถกถานาสนังคทัณฑกรรมวัตถุ จบ

เรื่องห้ามบัณเฑาะก์มิให้อุปสมบท


[125] ก็โดยสมัยนั้นแล บัณเฑาะก์คนหนึ่งบวชในสำนักภิกษุ เธอ
เข้าไปหาภิกษุหนุ่ม ๆ แล้วพูดชวนอย่างนี้ว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย จงประทุษร้าย
ข้าพเจ้า ภิกษุทั้งหลายพูดรุกรานว่า เจ้าบัณเฑาะก์จงฉิบทาย เจ้าบัณเฑาะก์จง
พินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยเจ้า เธอถูกพวกภิกษุพูดรุกราน จึงเข้าไปหาพวก
สามเณรโค่งผู้มีร่างล่ำสันแล้วพูดชวนอย่างนี้ว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย จงประทุษ-
ร้ายข้าพเจ้า พวกสามเณรพูดรุกรานว่า เจ้าบัณเฑาะก์จงฉิบทาย เจ้าบัณเฑาะก์
จงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยเจ้า เธอถูกพวกสามเณรรุกราน จึงเข้าไปหา
พวกคนเลี้ยงช้าง คนเลี้ยงม้า แล้วพูดอย่างนี้ว่า มาเถิด ท่านทั้งหลาย จง
ประทุษร้ายข้าพเจ้า พวกคนเลี้ยงช้าง พวกคนเลี้ยงม้า ประทุษร้ายแล้วจึงเพ่ง
โทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ เป็นบัณ-
เฑาะก์ บรรดาพวกสมณะเหล่านี้ แม้พวกใดที่มิใช่บัณเฑาะก์ แม้พวกนั้นก็
ประทุษร้ายบัณเฑาะก์ เมื่อเป็นเช่นนี้ พระสมณะเหล่านี้ก็ล้วนแต่ไม่ใช่เป็นผู้
ประพฤติพรหมจรรย์ ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกคนเลี้ยงช้าง พวกคนเลี้ยงม้า พา
กันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
อนุปสัมบัน คือ บัณเฑาะก์ ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้
สึกเสีย.