เมนู

อรรถกถาราชายตนกถา


บทว่า มุจฺจลินฺทมูลา ได้แก่ จากโคนต้นไม้จิก ซึ่งทั้งอยู่ในแถบ
ทิศปราจีนแต่มหาโพธิ์.
บทว่า ราชายตนํ มีความว่า เสด็จเข้าไปยังโคนไม้เกต ซึ่งตั้งอยู่
ด้านทิศทักษิณ.
ข้อว่า เตน โข ปน สมเยน มีคำถามว่า โดยสมัยไหน ?
ตอบว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งด้วยการนั่งขัดสมาธิอย่างเดียวตลอด
7 วันที่โคนต้นไม้เกต ท้าวสักกเทวราชทรงทราบว่า ต้องมีกิจเนื่องด้วยพระ
กระยาหาร จึงทรงน้อมถวายผลสมอเป็นพระโอสถ ในเวลาอรุณขึ้น ณ วันที่
ทรงออกจากสมาธิทีเดียว. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยผลสมอพระโอสถนั้น พอ
เสวยเสร็จเท่านั้น ก็ได้มีกิจเนื่องด้วยพระสรีระ ท้าวสักกะได้ถวายน้ำบ้วนพระ
โอษฐ์แล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบ้วนพระโอษฐ์แล้วประทับนั่งที่โคนต้นไม้
นั้นนั่นแล. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งในเมื่ออรุณขึ้นแล้ว ด้วยประการ
อย่างนั้น. ก็โดยสมัยนั้นแล.
สองบทว่า ตปุสฺสภลฺลกา วาณิชา ได้แก่ พานิชสองพี่น้อง คือ
ตปุสสะ 1 ภัลลิกะ 1.
บทว่า อุกฺกลา ได้แก่ จากอุกกลชนบท.
สองบทว่า ตํ เทสํ มีความว่า สู่ประเทศเป็นที่เสด็จอยู่ของพระผู้มี
พระภาคเจ้า.
ถามว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่ในประเทศไหนเล่า ?

ตอบว่า ในมัชฌิมประเทศ. เพราะฉะนั้น ในคำนี้จึงมีเนื้อความดังนี้
สองพานิชนั้น เป็นผู้เดินทางไกล เพื่อไปยังมัชฌิมประเทศ.
สองบทว่า ญาติสาโลหิตา เทวตา ได้แก่ เทวดาผู้เคยเป็นญาติ
ของสองพานิชนั้น.
สองบทว่า เอตทโวจ มีความว่า ได้ยินว่า เทวดานั้น ได้บันดาล
ให้เกวียนทั้งหมดของพานิชนั้นหยุด. ลำดับนั้น เขาทั้งสองมาใคร่ครวญดูว่า
นี่เป็นเหตุอะไรกัน ? จึงได้ทำพลีกรรมแก่เทวดาผู้เป็นเจ้าทางทั้งหลาย. ในเวลา
ทำพลีกรรมของเขา เทวดานั้นสำแดงกายให้เห็น ได้กล่าวคำนี้.
สองบทว่า มนฺเถน จ มธุปิณฺฑิกาย จ ได้แก่ ข้าวสัตตุผง และ
ข้าวสัตตุก้อน ปรุงด้วยเนยใสน้ำผึ้งและน้ำตาลเป็นต้น .
บทว่า ปฏิมาเนถ ได้แก่ จงบำรุง.
สองบทว่า ตํ โว มีความว่า ความบำรุงนั้น จักมีเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความสุขแก่ท่านทั้งหลายตลอดกาลนาน.
สองบทว่า ยํ อมฺหากํ มีความว่า การรับอันใดจะพึงมีเพื่อประโยชน์
เกื้อกูลเพื่อความสุขแก่เหล่าข้าพระองค์ตลอดกาลนาน.
สองบทว่า ภควโต เอตทโหสิ มีความว่า ได้ยินว่า บาตรใดของ
พระองค์ได้มีในเวลาทรงประกอบความเพียร บาตรนั้นได้หายไปแต่เมื่อนาง
สุชาดามาถวายข้าวปายาส. เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงได้ทรงมีพระรำพึงนี้
ว่า บาตรของเราไม่มี ก็แลพระตถาคตทั้งหลายองค์ก่อน ๆ ไม่ทรงรับด้วย
พระหัตถ์เลย. เราจะพึงรับข้าวสัตตุผงและข้าวสัตตุก้อนปรุงน้ำผึ้งด้วยอะไรเล่า
หนอ ?

บทว่า ปริวุตกฺกมญฺญาย มีความว่า กระยาหารที่นางสุชาดา
ถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าในกาลก่อนแต่นี้ ยังคงอยู่ด้วยอำนาจที่หล่อเลี้ยง
โอชะไว้ ความหิว ความกระหาย ความเป็นผู้มีกายอิดโรยหาได้มีไม่ ตลอด
กาลเท่านี้ ก็บัดนี้พระรำพึงโดยนัยเป็นต้นว่า นโข ตถาคตา ได้เกิดขึ้น ก็
เพราะพระองค์ใคร่จะทรงรับพระกระยาหาร ทราบพระรำพึงในพระหฤทัยของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งเกิดขึ้นอย่างนั้นด้วยใจของตน.
บทว่า จตุทฺทิสา คือจาก 4 ทิศ.
สองบทว่า เสลมเย ปตฺเต ได้แก่ บาตรที่แล้วด้วยศิลามีพรรณ
คล้ายถั่วเขียว. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับบาตรนแล. คำว่าบาตรแล้วด้วย
ศิลา ท่านกล่าวหมายเอาบาตรเหล่านี้. ก็ท้าวมหาราชทั้ง 4 ได้น้อมถวาย
บาตรแล้วด้วยแก้วอินทนิล1 ก่อน. พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงรับบาตรเหล่านั้น.
ลำดับนั้นจึงน้อมถวายบาตรแล้วด้วยศิลา มีพรรณดังถั่วเขียวทั้ง 4 บาตรนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงรับทั้ง 4 บาตรเพื่อต้องการจะรักษาความเลื่อมใสของ
ท้าวมหาราชทั้ง 4 นั้น ไม่ใช่เพราะความมักมาก. ก็แลครั้นทรงรับแล้ว ได้
ทรงอธิษฐานบาตรทั้ง 4 ให้เป็นบาตรเดียว ผลบุญแห่งท้าวเธอทั้ง 4 ได้เป็น
เช่นเดียวกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับข้าวสัตตุผงและข้าวสัตตุก้อนปรุงน้ำผึ้ง
ด้วยบาตรศิลามีค่ามาก ที่ทรงอธิษฐานให้เป็นบาตรเดียวด้วยประการฉะนี้.
บทว่า ปจฺจคฺเฆ คือ มีค่ามาก อธิบายว่า แต่ละบาตรมีค่ามาก.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปจฺจคฺเฆ ได้แก่ ใหม่เอี่ยม คือ เพิ่งระบมเสร็จ
ความว่า เกิดในขณะนั้น. เขาชื่อว่ามีวาจาสอง เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ได้
เป็นผู้มีวาจาสอง. อีกอย่างหนึ่ง ความว่าสองพานิชนั้น ถึงความเป็นอุบายสก

1. มีพรรณเขียวเลื่อมประภัสสร ดังแสงปีกแมลงทับ ในคำหรับไสยศาสตร์ชื่อว่าแก้วมรกต.

ด้วยวาจาสอง. สองพานิชนั้นครั้นประกาศความเป็นอุบายสกอย่างนั้นแล้ว ได้
กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ทีนี้ ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าพระองค์พึงทำการอภิวาท
และยืนรับใครเล่า พระเจ้าข้า ? พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงลูบพระเศียร. พระเกศา
ติดพระหัตถ์ ได้ประทานพระเกศาเหล่านั้น แก่เขาทั้งสอง ด้วยตรัสว่าท่านจง
รักษาผมเหล่านี้ไว้. สองพานิชนั้น ได้พระเกศธาตุราวกะได้อภิเษกด้วย
อมตธรรม รื่นเริงยินดีถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วหลีกไป.
อรรถกถาราชายตนกถา จบ

อัปโปสสุกกกถา


เรื่องความขวนขวายน้อย


[7] ครั้นล่วง 7 วัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงออกจากสมาธินั้น แล้ว
เสด็จจากควงไม้ราชายตนะ เข้าไปยังต้นไม้อชปาลนิโครธ ทราบว่า พระองค์
ประทับอยู่ ณ ควงไม้อชปาลนิโครธนั้น และพระองค์เสด็จไปในที่สงัดหลีกเร้น
อยู่ ได้มีพระปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า ธรรมที่เราได้บรรลุแล้วนี้ เป็น
คุณอันลึกเห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก เป็นธรรมสงบ ประณีต ไม่หยั่งลงสู่ความ
ตรึก ละเอียดเป็นวิสัยที่บัณฑิตจะพึงรู้แจ้ง ส่วนหมู่สัตว์นี้เริงรมย์ด้วยอาลัย
ยินดีในอาลัย ชื่นชมในอาลัย ฐานะคือความที่อวิชชาเป็นปัจจัยแห่งสังขารเป็น
ต้นนี้ เป็นสภาพอาศัยปัจจัยเกิดชั้นนี้ อันหมู่สัตว์ผู้เริงรมย์ด้วยอาลัย ยินดีใน
อาลัย. ชื่นชมในอาลัยเห็นได้ยาก แม้ฐานะคือธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง
เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่สิ้นกำหนัด เป็นที่ดับสนิท
หากิเลสเครื่องร้อยรัดมิได้ นี้ก็แสนยากที่จะเห็นได้ ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม