เมนู

อรรถกถาอัญญติตถิยวัตถุกถา


พึงทราบวินิจฉัยในอัญญติตถิปุพพวัตถุต่อไป:-
ปสุรปริพาชกนี้ก่อน ไม่ควรให้อุปสมบท เพราะกลับไปเข้ารัดเดียรถีย์
แล้ว. ส่วนเดียรถีย์แม้อื่นคนใดไม่เคยบวชในศาสนานี้มา กิจใดควรทำสำหรับ
เดียรถีย์คนนั้น เพื่อแสดงกิจนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า โย ภิกฺขเว
อญฺโญปิ
เป็นต้น.
ในคำนั้นมีวินิจฉัยดังนี้ ข้อว่า ตสฺส จตฺตาโร มาเส ปริวาโส
ทาตพฺโพ
มีความว่า ขึ้นชื่อว่าติตถิยปริวาสนี้ ท่านเรียกว่า อัปปฏิจฉันน-
ปริวาสบ้าง. ก็ติตถิยปริวาสนี้ ควรให้แก่อาชีวกหรืออเจลก ผู้เป็นปริพาชก
เปลือยเท่านั้น. ถ้าแม้เขานุ่งผ้าสาฎกหรือบรรดาผ้าวาฬกัมพลเป็นต้นผ้าอันเป็น
ธง1 แห่งเดียรถีย์อย่างใดอย่างหนึ่งมา ไม่ควรให้ปริวาสแก่เขา. อนึ่ง นักบวช
อื่น มีดาบสและปะขาวเป็นต้น ก็ไม่ควรให้เหมือนกัน. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงสามเณรบรรพชาสำหรับเขาก่อนเทียว ด้วยคำเป็นต้นว่า ปฐมํ
เกสมสฺสุํ.
อันภิกษุทั้งหลายผู้จะให้บวชอย่างนั้น ไม่พึงสั่งภิกษุทั้งหลายว่า
ท่านจงให้บวช, ท่านจงเป็นอาจารย์, ท่านจงเป็นอุปัชฌาย์ ในเมื่อกุลบุตรผู้
เคยเป็นอัญญเดียรถีย์นั้นนั่งในท่ามกลางสงฆ์เสร็จสรรพแล้ว. เพราะภิกษุทั้ง
หลายผู้ถูกสั่งอย่างนั้น ถ้าเกลียดชังด้วยการเป็นอาจารย์อุปัชฌาย์ของเขาจะไม่
รับ ทีนั้นกุลบุตรนั้นจะโกรธว่า ภิกษุเหล่านี้ไม่เชื่อเรา แล้วพึงไปเสียก็ได้
เพราะเหตุนั้น ภิกษุทั้งหลายพึงนำเข้าไปไว้ส่วนข้างหนึ่ง แล้วจึงค่อยหาอาจารย์
และอุปัชฌาย์สำหรับเขา.

1. ต่อเป็นสัญญลักษณ์.

เพื่อแสดงปริวาสวัตรแห่งกุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์นั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าจึงทรงตั้งมาติกานี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์
ย่อมเป็นผู้ยังภิกษุทั้งหลายให้ยินดีอย่างนี้แล, ย่อมเป็นผู้ไม่ยังภิกษุทั้งหลายให้
ยินดีอย่างนี้. คำว่า กถญฺจ ภิกฺขเว เป็นต้น เป็นวิภังค์แห่งมาติกานั้น.
ติดถิยปริวาสในบาลีนั้น พึงให้แก่อัญญเดียรถีย์ชาตินิครนถ์เท่านั้น ไม่ควร
ให้แก่เหล่าอื่น.
ข้อว่า อติกาเล คามํ ปวิสติ มีความว่า เข้าบ้านเพื่อบิณฑบาต
ในเวลาที่พวกภิกษุทำวัตรกันทีเดียว.
ข้อว่า อติทิวา ปฏิกฺกมติ มีความว่า กล่าวเรื่องเนื่องด้วยบ้าน
เรือนกับชนมีสตรี บุรุษ เด็กหญิงและเด็กชายเป็นต้น ในเรือนแห่งสกุลทั้ง
หลาย ฉันในที่นั้นเองแล้วจึงมา ในเมื่อภิกษุทั้งหลายเก็บบาตรจีวรแล้วทำกิจ
มีอุทเทสและปริปุจฉาเป็นต้น หรือหลีกเร้นอยู่แล้ว ไม่ทำอุปัชฌายวัตรอาจริย-
วัตร เข้าสู่ที่อยู่แล้วหลับเท่านั้นเอง.
ข้อว่า เอวมฺปิ ภิกฺขเว อญฺญติตฺติยปุพฺโพ อนาราธโก โหติ
มีความว่า กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ เมื่อกระทำอยู่แม้อย่างนั้น เป็นผู้
ไม่ชื่อว่า ยังปริวาสวัตรให้ถึงพร้อม คือให้เต็ม.
ในคำว่า เวสิยโคจโร วา เป็นต้น มีวินิจฉัยว่า สตรีทั้งหลายผู้อาศัย
รูปเลี้ยงชีวิต มีอัชฌาจารอันบุรุษได้ง่าย ด้วยเพิ่มให้สินจ้างเพียงเล็กน้อย
เป็นต้น ชื่อหญิงแพศยา. สตรีทั้งหลายซึ่งผัวตายหรือผัวหย่าร้างไป ชื่อว่า
หญิงหม้าย. หญิงหม้ายเหล่านั้นย่อมปรารถนาความสนิทสนมกับชายคนใดคน
หนึ่ง. เหล่าเด็กหญิงที่เจริญวัยเป็นสาวแล้ว หรือผ่านวัยเป็นสาวไปแล้ว ชื่อว่า
หญิงทึนทึก หญิงทึนทึกเหล่านั้นมักปองชายเที่ยวไป ย่อมปรารถนาความสนิท

สนมกับชายคนใดคนหนึ่ง. มนุษยชาติที่มิใช่ชายหรือหญิงมีกิเลสหนามีความ
กำหนัดกลัดกลุ้มไม้รู้จักสร่าง ชื่อว่าบัณเฑาะก์. พวกบัณเฑาะก์นั้นถูกกำลัง
แห่งความกำหนัดกลัดกลุ้มครอบงำแล้ว ย่อมปรารถนาความสนิทสนมกับชาย
คนใดคนหนึ่ง. เหล่าสตรีผู้มีบรรพชาเสมอกันชื่อว่าภิกษุณี. ความคุ้นเคยกับ
นางภิกษุณีเหล่านั้น ย่อมมีได้เร็วนักเพราะความคุ้นกันนั้น ศีลย่อมทำลาย.
กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์นั้น เป็นผู้คุ้นในสกุลทั้งหลายแห่งพวกหญิง
แพศยา อ้างเลศมีเที่ยวบิณฑบาตเป็นต้น เข้าไปยังสำนักหญิงแพศยาเหล่านั้น
ด้วยความเป็นผู้อยากพบปะและเจรจากันเนือง ๆ ด้วยน้ำใจที่มีความชื่นชมด้วย
ความรัก ท่านเรียกว่า เวสิยโคจร ในบรรดาโคจรเหล่านั้น. เขาย่อมถึง
ความเป็นผู้อัน ประชุมชนพึงพูดถึงว่า ยังมิทันไรเลย ไปกับหญิงแพศยาคน
โน้นแล้ว. มีนัยดังนี้ทุก ๆ โคจร. ก็ถ้าหญิงแพศยาเป็นต้น จะถวายภัตมี
สลากภัตเป็นอาทิไซร้, ไปพร้อมกับภิกษุทั้งหลายแล้วฉันหรือรับด้วยกันทีเดียว
แล้วกลับมา ควรอยู่. พวกภิกษุณีอาพาธ จะไปพร้อมกับภิกษุณีผู้ไปเพื่อจะ
สอน หรือแสดงธรรมหรือให้อุทเทสและปริปุจฉาเป็นต้น ควรอยู่. ฝ่ายผู้เคย
เป็นอัญญเดียรถีย์ใดมิได้ไปอย่างนั้น ไปด้วยอำนาจความชื่นชมด้วยความ
สนิทสน ผู้นี้จัดว่าเป็นผู้ไม่ยังภิกษุทั้งหลายให้ยินดี.
สองบทว่า อุจฺจาวจานิ กึกรณียานิ ได้แก่ การงานใหญ่น้อย
ทั้งหลาย. บรรดาการงานสองอย่างนั้น การงานมีปฏิสังขรณ์เจดีย์และมหา-
ปราสาทเป็นต้น ที่สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน พึงตีระฆังประชุมกันทำ จัดเป็น
การงานใหญ่. การงานที่นับเนื่องในขันธกะ มีสุและย้อมจีวรเป็นต้น และ
อภิสมาจาริกวัตร มีวัตรที่ภิกษุควรทำในโรงเพลิงเป็นต้น จัดเป็นการงาน
น้อย.

ข้อว่า ตตฺถ น ทกฺโข โหติ มีความว่า ไม่เป็นผู้ฉลาด คือ ฝึกหัด
เป็นอันดีในการงานใหญ่น้อยเหล่านั้น.
บทว่า อลโส ได้แก่ ไม่เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียร คือ ความ
หมั่น คือได้ฟังว่า การงานของภิกษุสงฆ์มี จึงทำภัตกิจแค่เช้าตรู่แล้วเข้าอยู่
ภายในห้อง หลับจนพอประสงค์แล้วออกมาในเวลาเย็น.
ข้อว่า ตตฺรุปายาย มีความว่า ซึ่งเป็นอุบายในการงานเหล่านั้น.
ข้อว่า วีมํสาย มีความว่า เป็นผู้ไม่ประกอบด้วยปัญญาสำหรับ
พิจารณาซึ่งเกิดขึ้นฉับพลัน คือปัญญาที่เกิดขึ้นในทันทีทันใดว่า นี่แลควรทำ
นี่แลไม่ควรทำ.
ข้อว่า น อลํ กาตุํ น อลํ สํวิธาตุํ มีความว่า ไม่เป็นผู้สามารถ
เพื่อจะทำแม้ด้วยมือตน ทั้งเป็นผู้ไม่สามารถเพื่อจะจัดการคือ ขอแรงกันและ
กันให้ทำด้วยปลูกความอุตสาหะให้เกิดอย่างนี้ว่า ลงมือกันเถอะครับ ลงมือ
เถอะพ่อหนุ่ม ลงมือเถอะสามเณร ถ้าพวกท่านจักไม่ทำ หรือพวกผมจักไม่ทำ
ที่นี้ใครเล่าจักทำการนี้. เมื่อพวกภิกษุพูดกันว่า พวกเราจักทำการ เขาย่อม
อ้างโรคบางอย่าง เมื่อพวกภิกษุกำลังทำการอยู่จึงเที่ยวไปใกล้ ๆ โผล่แต่ศีรษะ
ให้เห็น แม้ผู้นี้ก็จัดว่า เป็นผู้ไม่ยังภิกษุทั้งหลายให้ยินดี.
ข้อว่า น ติพฺพจฺฉนฺโท มีความว่า ไม่เป็นผู้มีความพอใจรุนแรง.
บทว่า อุทฺเทเส ได้แก่ ในการเรียนบาลี.
บทว่า ปริปุจฺฉาย ได้แก่ ในการอธิบายความแห่งบาลี.
บทว่า อธิสีเล ได้แก่ ศีลคือปาฏิโมกข์.
บทว่า อธิจิตฺเต ได้แก่ ในการอบรมโลกิยสมาธิ.
บทว่า อธิปญฺญาย ได้แก่ ในการเจริญโลกุตตรมรรค.

สองบทว่า สงฺกนฺโต โหติ มีความว่า เป็นผู้มาเข้าศาสนานี้แล้ว.
สองบทว่า ตสฺส สตฺถุโน ได้แก่ ครูผู้เป็นเจ้าของลัทธิดังท่าข้าม
นั้น.
สองบทว่า ตสฺส ทิฏฺฐิยา ได้แก่ ลัทธิซึ่งเป็นของครูนั้น. บัดนี้
ลัทธินั้นแล ท่านกล่าวว่า ความถูกใจ ความชอบใจ ความถือ ของครูผู้
เจ้าของลัทธินั้น เพราะเหตุว่า เป็นที่ถูกใจ เป็นที่ชอบใจ ของติตถกรนั้น
และอันติตถกรนั้น ถืออย่างมั่นว่า นี้เท่านั้นเป็นจริง เพราะเหตุนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้าจึงตรัสว่า แห่งความถูกใจของครูนั้น แห่งความชอบใจของครูนั้น
แห่งความถือของครูนั้น.
สองบทว่า อวณฺเณ ภญฺญมาเน มีความว่า เมื่อคำติเตียนอัน
ผู้ใดผู้หนึ่งกล่าวอยู่.
บทว่า อนภิรทฺโธ ได้แก่ เป็นผู้มีความดำริบกพร่อง คือมีจิต
มิได้ประคองไว้.
บทว่า อุทคฺโค ได้แก่ เป็นผู้มีกายและจิตฟูยิ่งนัก.
ข้อว่า อิทํ ภิกฺขเว สงฺฆาตนิกํ อญฺญติตฺถิยปุพฺพสฺส อนา-
ราธนียสฺมึ
มีความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเป็นผู้มีใจไม่แช่มชื่น ซึ่ง
เกิดแต่กายวิการและวจีวิการว่า ทำไมชนเหล่านั้นจึงติเตียนผู้อื่น ? ดังนี้ ในเมื่อ
เขากล่าวโทษแห่งครูนั้น และลัทธิแห่งครูนั้นนั่นเอง และความเป็นผู้มีใจ
แช่มชื่น ในเมื่อเขากล่าวโทษแห่งรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น. และความ
เป็นผู้มีใจแช่มชื่นทั้งไม่แช่มชื่น ในเมื่อเขาสรรเสริญคุณแห่งครูนั่นเองด้วย
แห่งรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นด้วย. 3 ประการนี้ เป็นเครื่องสอบสวนใน
กรรมที่ไม่ชวนให้ภิกษุทั้งหลายยินดีของกุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์. มีคำ

อธิบายว่า อันนี้เป็นเครื่องหมาย อันนี้เป็นลักษณะ อันนี้เป็นความแน่นอน
อันนี้เป็นกำลัง อันนี้เป็นประมาณในกรรมซึ่งไม่ทำปริวาสวัตรให้เต็ม ไม่ยัง
ภิกษุทั้งหลายให้ยินดี.
ข้อว่า เอวํ อนาราธโก โข ภิกฺขเว อญฺญติตฺถิยปุพฺโพ
อาคโต น อุปสมฺปาเทตพฺโพ
มีความว่า กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์
ซึ่งประกอบด้วยองค์เหล่านี้ แม้องค์เดียว ภิกษุไม่ควรให้อุปสมบท. คำทั้งปวง
ในฝ่ายขาว พึงทราบโดยความเพี้ยนจากที่กล่าวแล้ว.
ข้อว่า เอวํ อาราธโก โข ภิกฺขเว เป็นต้น มีความว่า กุลบุตร
ผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ ยังภิกษุทั้งหลายให้ยินดีให้พอใจด้วยการบำเพ็ญติตถิย-
วัตร 8 ประการเหล่านี้ คือ เข้าบ้านไม่ผิดเวลากลับไม่สายนัก. ความเป็น
ผู้ใหญ่ไม่มีหญิงแพศยาเป็นต้น เป็นโคจร, ความเป็นผู้ขยันในกิจทั้งหลายของ
เพื่อนสพรหมจารี, ความเป็นผู้มีฉันทะแรงกล้าในอุทเทสเป็นต้น, ความเป็นผู้
มีใจแช่มชื่น ในเพราะติโทษพวกเดียรถีย์ร ความเป็นผู้มีใจไม่แช่มชื่น ใน
เพราะติโทษรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ความเป็นผู้มีใจไม่แช่มชื่น ใน
เพราะสรรเสริญคุณเดียรถีย์ ความเป็นผู้มีใจแช่มชื่น ในเพราะสรรเสริญคุณ
รัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น, อย่างนี้ มาแล้ว ควรให้อุปสมบทแต่ถ้าวัตร
อันหนึ่งทำลายเสีย แม้ในโรงอุปสมบท พึงอยู่ปริวาสครบ 4 เดือนอีก. เหมือน
อย่างว่า สิกขาบทและสิกขาสมมติอันภิกษุณีสงฆ์ย่อมให้อีกแก่นางสิกขมานาผู้
เสียสิกขา ฉันใด, วัตรน้อยหนึ่งซึ่งจะพึงให้อีกแก่กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์
นี้ ย่อมมีฉันนั้นหามิได้. ที่แท้ ปริวาสที่เคยให้แล้วนั้นแล เป็นปริวาสของ
เขา. เพราะเหตุนั้น เขาพึงอยู่ปริวาสครบ 4 เดือนอีก. ถ้ากำลังอยู่ปริวาสยัง
สมาบัติ 8 ให้เกิดได้ในระหว่างไซร้. ธรรมดาผู้ได้โลกิยธรรมยังกำเริบได้

เป็นแน่ จึงยังไม่ควรให้อุปสมบทแท้. แต่บำเพ็ญวัตรครบ 4 เดือนแล้ว จึง
ควรให้อุปสมบท. และถ้ากำลังอยู่ปริวาสกำหนดมหาภูตรูป 4 ได้. กำหนด
อุปาทายรูปได้, กำหนดนามรูปได้, เริ่มวิปัสสนายกขึ้นสู่ไตรลักษณ์. ธรรมดา
ผู้ได้โลกิยธรรม ยังกำเริบได้เป็นปกติ จึงยังไม่ควรให้อุปสมบทอยู่นั่นเอง.
แต่ถ้าเจริญวิปัสสนาแล้ว ได้โสดาปัตติมรรค วัตรเป็นอันบริบูรณ์แท้, ทิฏฐิ
ทั้งปวงเป็นอันเธอรื้อแล้ว, ลูกศรคือวิจิกิจฉาเป็นอันเธอถอนขึ้นแล้ว ควรให้
อุปสมบทในวันนั้นที่เดียว. ถ้าแม้เธอคงอยู่ในเพศเดียรถีย์ แต่เป็นโสดาบัน
กิจที่จะต้องให้ปริวาสย่อมไม่มี ควรให้บรรพชาอุปสมบทในวันนั้นแท้.
ข้อว่า อุปชฺฌายมูลกํ จีวรํ ปริเยสิตพฺพํ มีความว่า จีวรสำหรับ
เขา สงฆ์ควรมอบให้อุปัชฌาย์เป็นใหญ่แสวงหามา. ถึงบาตรก็เหมือนกัน.
เพราะเหตุนั้น ถ้าบาตรจีวรของอุปัชฌาย์มี พึงบอกอุปัชฌาย์ว่า จงให้แก่ผู้นี้.
ถ้าไม่มี ภิกษุเหล่าอื่นเป็นผู้อยากจะให้ แม้ภิกษุเหล่าอื่นนั้น พึงถวายอุปัชฌาย์
นั้นแลด้วยคำว่า จงทำบาตรจีวรนี้ให้เป็นของท่านแล้วให้แก่ผู้นี้. ถามว่า
เพราะเหตุไร ? ตอบว่า เพราะขึ้นชื่อว่าพวกเดียรถีย์ย่อมเป็นข้าศึก จะพึงพูด
ได้ว่า บาตรจีวร สงฆ์ได้ให้ผม ๆ มีอะไรเกี่ยวเนื่องในพวกท่าน ดังนี้แล้ว
ไม่ทำตามคำตักเตือนพร่ำสอน. แต่ว่า เพราะเขามีความเป็นอยู่เนื่องในอุปัชฌาย์
จึงจักเป็นผู้ทำตามคำของท่าน. เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า จีวร
ของเขา พึงให้อุปัชฌาย์เป็นใหญ่แสวงหามา.
บทว่า ภณฺฑุกมฺมาย คือ เพื่อปลงผม. ภัณฑุกรรมกถา จักมา
ข้างหน้า.
บทว่า อคฺติกา ได้แก่ผู้บำเรอไฟ.
บทว่า ชฏิลกา ได้แก่ดาบส.

หลายบทว่า เอเต ภิกฺขเว กิริยวาทิโน มีความว่า ชฎิลเหล่านั้น
ไม่ค้านความกระทำ คือ เป็นผู้มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า กรรมมี วิบากของกรรมมี. อัน
พระพุทธเจ้าทั้งปวงเมื่อจะทรงบำเพ็ญเนกขัมมบารมี ได้ทรงอาศัยบรรพชานั้น
นั้นแล แล้วจึงทรงบำเพ็ญพระบารมี. เนกขัมมบารมีนั้น ถึงเราก็ได้บำเพ็ญ
แล้วอย่างนั้นเหมือนกัน. การที่ชฎิลเหล่านี้บวชในศาสนาไม่เป็นข้าศึก เพราะ
เหตุนั้น จึงควรให้อุปสมบทได้ ไม่ต้องให้ปริวาสแก่พวกเขา.
ข้อว่า อิมาหํ ภิกฺขเว ญาตีนํ อาเวณิกํ ปริหารํ ทมฺมิ มี
ความว่า เราให้บริหารเป็นส่วนเฉพาะ คือ เป็นส่วนเจาะจงนี้แก่ญาติเหล่านั้น.
เหตุไรจึงตรัสอย่างนี้ ? อันพระญาติเหล่านั้น แม้บวชแล้วในสำนักแห่งเดียรถีย์
แต่ไม่เป็นผู้ใฝ่โทษแก่พระศาสนา. ยังคงเป็นผู้สรรเสริญคุณว่า ศาสนาแห่ง
พระญาติผู้ประเสริฐของพวกเรา เพราะเหตุนั้น จึงตรัสอย่างนั้น ฉะนี้แล.

อรรถกถาอัญญติตถิยาวัตถุกถา จบ

อันตรายิกธรรมกถา


โรค 5 ชนิด


[101] ก็โดยสมัยนั้นแล ในมคธชนบทเกิดโรคระบาดขึ้น 5 ชนิดคือ
โรคเรื้อน 1 โรคฝี 1 โรคกลาก 1 โรคมองคร่อ 1 โรคลมบ้าหมู 1 ประชาชน
อันโรค 5 ชนิดกระทบเข้าแล้ว ได้เข้าไปหาหมอชีวกโกมารภัจจ์ แล้วกล่าว
อย่างนี้ว่า ขอโอกาส ท่านอาจารย์ ขอท่านกรุณาช่วยรักษาพวกข้าพเจ้าด้วย.
ชี. เจ้าทั้งหลาย ฉันน่ะ มีกิจมาก มีงานที่ต้องทำมาก ฉันต้องถวาย
อภิบาลพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ทั้งพวกฝ่ายใน และพระสงฆ์มี
พระพุทธเจ้าเป็นประมุข ฉันไม่สามารถจะช่วยรักษาได้.
ป. ท่านอาจารย์ ทรัพย์สมบัติทั้งหมดยกให้ท่าน และพวกข้าพเจ้า
ยอมเป็นทาสของท่าน ขอโอกาส ท่านอาจารย์ ขอท่านกรุณาช่วยรักษาพวก
ข้าพเจ้าด้วย.
ชี. เจ้าทั้งหลาย ฉันน่ะ มีกิจมาก มีงานที่ต้องทำมาก ฉันต้องถวาย
อภิบาลพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ทั้งพวกฝ่ายใน และพระสงฆ์มี
พระพุทธเจ้าเป็นประมุข ฉันไม่สามารถจะช่วยรักษาได้.
จึงประชาชนพวกนั้นได้คิดว่า พระสมณะเธอสายพระศากยบุตรเหล่านี้
แล มีปรกติเป็นสุข มีความประพฤติสบาย ฉันอาหารที่ดี นอนในห้องอัน
มิคชิด ถ้ากระไร พวกเราพึงบวช ในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร
ในที่นั้น ภิกษุทั้งหลายจักพยาบาล และหมอชีวกโกมารภัจจ์จักรักษา ต่อมา
พวกเขาพากันเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายแล้วขอบรรพชา ภิกษุทั้งหลายให้พวกเขา
บรรพชาอุปสมบท แล้วต้องพยาบาล และหมอชีวกโกมารภัจจ์ต้องรักษาพวก
เขา.