เมนู

บาทพระคาถาว่า ธมฺเมน โส พฺรหฺมวาทํ วเทยฺย มีความว่า
กิเลสเครื่องฟูขึ้น 5 อย่างนี้ คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ในเพราะ
อารมณ์น้อยหนึ่ง คือว่า แม้ในเพราะอารมณ์อย่างหนึ่ง ในโลกทั้งมวลไม่มีแก่
พราหมณ์ใด พราหมณ์นั้นโดยทางธรรม ควรกล่าววาทะนี้ว่า เราเป็นพราหมณ์.
เมฆที่เกิดขึ้นในเมื่อยังไม่ถึงฤดูฝน ชื่อว่า อกาลเมฆ ก็แลเมฆนี้เกิด
ขึ้นในเดือนท้ายแห่งฤดูร้อน.
บทว่า สตฺตาหวทฺทลิกา มีความว่า เมื่ออกาลเมฆนั้นเกิดขึ้นแล้ว
ได้มีฝนตกพรำตลอด 7 วัน.
บทว่า สีตวาตทุทฺทินี มีความว่า ก็แลฝนตกพรำตลอด 7 วันนั้น
ได้ชื่อว่า ฝนเจือลมหนาว เพราะเป็นวันที่ลมหนาวเจือเม็ดฝนพัดวนไปโดย
รอบโกรกแล้ว.
อรรถกถาอชปาลนิโครธกถา จบ

มุจจลินทกถา


เรื่องมุจลินทนาคราช


[5] ครั้นล่วง 7 วัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงออกจากสมาธินั้น
เสด็จจากควงไม้อชปาลนิโครธเข้าไปยังต้นไม้มุจจลินท์ แล้วประทับนั่งด้วย
บัลลังก์เดียวเสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้มุจจลินท์ตลอด 7 วัน
ครั้งนั้น เมฆใหญ่ในสมัยมิใช่ฤดูกาลตั้งขึ้นแล้ว ฝนตกพรำเจือด้วยลม
หนาว ตลอด 7 วัน ครั้งนั้น มุจจลินทนาคราชออกจากที่อยู่ของตนได้แวด
วงพระกายพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยขนด 7 รอบ ได้แผ่พังพานใหญ่เหนือพระ-

เศียรสถิตอยู่ด้วยหวังใจว่า ความร้อน อย่าเบียดเบียนพระผู้มีพระภาคเจ้า
สัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลาน อย่าเบียดเบียนพระ
ผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นล่วง 7 วัน มุจจลินทนาคราชรู้ว่า อากาศปลอดโปร่ง
ปราศจากฝนแล้ว จึงคลายขนดจากพระกายของพระผู้มีพระภาคเจ้า จำแลงรูป
ของตนเป็นเพศมาณพ ได้ยืนประคองอัญชลีถวายมันสการพระผู้มีพระภาค
เจ้าทางเบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรง
เปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น ว่าดังนี้:-

พุทธอุทานกถา


ความสงัดเป็นสุขของบุคคลผู้สันโดษ
มีธรรมปรากฏแล้ว เห็นอยู่ ความไม่พยาบาท
คือความสำรวมในสัตว์ทั้งหลาย เป็นสุขใน
โลก ความปราศจากกำหนัด คือความล่วง
กามทั้งหลายเสียได้ เป็นสุขในโลก การกำ
จัดอัสมิมานะเสียได้นั้นแล เป็นสุขอย่างยิ่ง.

มุจจลินทกถา จบ