เมนู

อรรถกถาอุปัชณายวัตตกถา


บทว่า อนุปชฺฌายกา มีความว่า เว้น จากครูผู้คอยสอดส่องโทษน้อย
โทษใหญ่.
บทว่า อนากปฺปสมฺปนฺนา ได้แก่ ผู้ไม่ถึงพร้อมด้วยมารยาท.
อธิบายว่า ปราศจากมารยาทซึ่งสมควรแก่สมณะ.
บทว่า อุปริโภชเน ได้แก่ เบื้องบนแห่งโภชนะ.
บทว่า อุตฺติฏฺฐปตฺตํ ได้แก่ บาตรสำหรับเที่ยวไปเพื่อบิณฑะ จริง
อยู่ มนุษย์ทั้งหลายมีความสำคัญในบาตรนั้นว่าเป็นแดน เพาะเหตุนั้น ท่าน
จึงกล่าวว่า อุตฺติฏฺฐปตฺตํ อีกอย่างหนึ่ง ผู้ศึกษาพึงเห็นความในบทว่า
อุตฺติฏฺฐปตฺตํ นี้อย่างนี้ว่า ภิกษุทั้งหลายยืนขึ้นน้อมบาตรเข้าไป.
ข้อว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว อุปชฺฌายํ มีความว่า เราอนุญาต
บัดนี้ เพื่อให้ภิกษุถืออุปัชฌาย์.
สองบทว่า ปุตฺตจิตฺตํ อุปฏฺฐเปสฺสติ มีความว่า พระอุปัชฌาย์จัก
เข้าไปตั้งจิตไว้ด้วยอำนาจความรักฉันบิดากับบุตรอย่างนี้ว่า ผู้นี้เป็นบุตรของ
เรา แม้ในบทที่สองก็นัยนี้.
สองบทว่า สคาวา สปฺปติสฺสา มีความว่า อุปัชฌาย์กับสัทธิ-
วิหาริก จักเข้าไปตั้งความเป็นผู้หนัก และความเป็นผู้ใหญ่ กะกันและกัน.
บทว่า สภาควุตฺติกา ได้แก่ มีความเป็นอยู่ถูกส่วนกัน.
5 บท มีบทว่า สาหูติ วา เป็นต้น เป็นไวพจน์แห่งคำรับเป็น
อุปัชฌาย์.

สองบทว่า กาเยน วุณฺญาเปติ มีความว่า เมื่อสัทธิวิหาริกกล่าว
3 ครั้งว่า ขอท่านจงเป็นอุปัชฌาย์ของผมเถิดขอรับ. อย่างนั้นแล้ว ถ้าพระ-
อุปัชฌาย์รับรองการถืออุปัชฌาย์ว่า อุปัชฌาย์อันท่านถือแล้ว ดังนี้ ด้วยกาย
หรือวาจา หรือทั้งกายวาจา ด้วยอำนาจแห่งบท ๆ หนึ่ง ใน 5 บทมี สาหุ
เป็นต้น อุปัชฌาย์เป็นอันสัทธิวิหาริกถือแล้ว.
จริงอยู่ การใช้วาจาประกาศหรือการใช้กายเคลื่อนไหวให้ทราบเนื้อ
ความ แห่งบทใดบทหนึ่ง ใน 5 บทนี้ ของพระอุปัชฌาย์ นี้แลเป็นการถือ
อุปัชฌาย์ ในข้อว่า พึงถืออุปัชฌาย์ นี้. ฝ่ายพระเกจิอาจารย์ กล่าวหมายเอาคำ
รับว่า สาธุ คำของพระเกจิอาจารย์นั้น ไม่เป็นประมาณ. เพราะว่าอุปัชฌาย์
ย่อมเป็นอันสิทธิวหาริกถือแล้ว ด้วยเหตุมาตรว่าคำขอและคำให้ คำรับไม่นับ
ว่าเป็นองค์ในการถืออุปัชฌาย์นี้. ฝ่ายสัทธิวิหาริกจะควรทราบแต่เพียงว่า
อุปัชฌาย์เป็นอันเราถือแล้วด้วยบทนี้. หามิได้ ควรทราบความข้อนี้ด้วยคำว่า
บัดนี้มีวันนี้เป็นต้น พระเถระเป็นภาระของเรา ถึงเราก็เป็นภาระของพระเถระ.
ข้อว่า ตตฺรายํ สมฺมาวตฺตนา มีความว่า คำใด ซึ่งเรากล่าวแล้วว่า
พึงประพฤติชอบ, ความประพฤติชอบในคำนั้น ดังนี้.
หลายบทว่า กาลสฺเสว อุฏฺฐาย อุปหนา โอมุญฺจิตฺวา มีความ
ว่า ถ้ารองเท้าของสัทธิวิหาริกนั้น อันเธอสวมอยู่ คือ เป็นของที่อยู่ในเท้า
เพื่อประโยชน์แก่การจงกรมในเวลาใกล้รุ่ง หรือเพื่อประโยชน์แก่การรักษาเท้า
ซึ่งล้างแล้ว. พึงลุกขึ้นแต่เข้าตรู่ ถอดรองเท้าเหล่านั้นเสีย.
ข้อว่า ทนฺตฏฺฐํ ทาตพฺพํ มีความว่า พึงน้อมถวายไม้สีฟัน 3
ขนาด คือขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก จาก 3 ขนาดนั้น ท่านถือเอา

ขนาดใดครบ 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 4 ไป พึงถวายขนาดนั้นเท่านั้น ถ้าว่าท่าน
ถือเอาตามมีตามได้ ไม่มีกำหนดลงไป ต่อไปได้ชนิดใด พึงถวายชนิดนั้น.
ข้อว่า มุโขทกํ ทาตพฺพํ มีความว่า พึงนำเข้าไปทั้งน้ำเย็นและ
น้ำร้อน ท่านใช้อย่างใดจากน้ำ 2 อย่างนั้น ครบ 3 วัน ทั้งแต่วันที่ 4 ไป
พึงถวายน้ำล้างหน้าชนิดนั้นเท่านั้น ถ้าว่าท่านใช้ตามมีตามได้ไม่กำหนดลงไป
ต่อไปได้ชนิดใดพึงถวายชนิดนั้น. ถ้าว่าท่านใช้ทั้ง 2 อย่าง พึงนำเข้าไปถวาย
ทั้ง 2 อย่าง. พึงทั้งน้ำไว้ในที่ล้างหน้าแล้ว พึงกวาดตั้งแต่เว็จกุฏีมา เมื่อพระ-
เถระไปเว็จกุฎี พึงกวาดบริเวณ. ด้วยประการอย่างนี้ บริเวณเป็นอันไม่ว่า.
พึงแต่งทั้งอาสนะไว้ แต่เมื่อพระเถระยังไม่ออกจากเว็จกุฎีทีเดียว เมื่อท่านทำ
สรีรกิจเสร็จแล้วมานั่งบนอาสนะนั้น พึงทำวัตรตามที่กล่าวไว้โดยนัยเป็นต้นว่า
ถ้าข้าวต้มมี พึงถวาย.
บทว่า อุกฺกลาโป มีความว่า เกลื่อนกล่นด้วยหยากเยื่อบางอย่าง
แต่ถ้าไม่มีหยากเยื่ออื่น มีแต่น้ำหยด ประเทศนั้นควรเช็ดแม้ด้วยมือ.
สองบทว่า สคุณํ กตฺวา มีความว่า พึงซ้อนจีวร 2 ผืนเข้าด้วยกัน
แล้ว ถวายสังฆาฏิทั้ง 2 ผืนที่ซ้อนแล้วนั้น. จริงอยู่ จีวรทั้งหมด เรียกว่า
สังฆาฏิ เพราะซ้อนกันไว้.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า พึงถวายสังฆาฎิทั้งหลาย.
ในข้อว่า นาติทูเร คนฺตพฺพํ นาจฺจาสนฺเน นี้ มีวินิจฉัยว่า ถ้า
ด้วยย่างเท้าเพียงก้าวเดียวหรือ 2 ก้าว จะไปถึงอุปัชฌาย์ ซึ่งเหลียวมามอง
ด้วยระยะเพียงเท่านี้ พึงทราบว่า เป็นผู้เดินไม่ห่างนัก ไม่ชิดกัน.
ข้อว่า ปตฺตปริยาปนฺนํ ปฏิคฺคเหตพฺพํ มีความว่า ถ้าอุปัชฌาย์
ได้ข้าวต้นหรือข้าวสวยในที่ภิกษาจารแล้ว บาตรร้อนหรือหนัก พึงถวายบาตร
ของตนแก่ท่าน รับบาตรนั้นมา.

ข้อว่า น อุปชฺฌายสฺส ภณมานสฺส อนฺตรนฺตรา กถา โอปา-
เตตพฺพา
มีความว่า เมื่ออุปัชฌาย์กำลังนั่งพูดอยู่ในละแวกบ้านหรือในที่อื่น
เมื่อคำของท่านยังไม่จบ ไม่ควรพูดสอดเรื่องอื่นขึ้น.
ก็แลตั้งแต่นี้ไป ในที่ใด ๆ ท่านทำการห้ามไว้ด้วย อักษร ที่แปล
ว่า ไม่ หรือ อย่า ในที่นั้น ทุกแห่งพึงทราบว่า เป็นอาบัติทุกกฏ. จริงอยู่ ข้อ
นี้เป็นธรรมดาในขันธกะ.
ข้อว่า อาปตฺติสามนฺตา ภณมาโน มีความว่า เมื่ออุปัชฌาย์
กล่าววาจาใกล้ต่ออาบัติ ด้วยอำนาจปทโสธัมมสิกขาบท และทุฏฐุลลสิกขาบท
เป็นต้น.
บทว่า นิวาเรตพฺโพ ความว่า พึงห้ามเป็นเชิงถามอย่างนี้ว่า พูด
เช่นนี้ควรหรือขอรับ ไม่เป็นอาบัติหรือ ? แต่ตั้งใจว่าจักห้ามแล้ว ก็ไม่ควร
พูดกะท่านว่า ท่านผู้ใหญ่อย่าพูดอย่างนั้น
ข้อว่า ปฐมตรํ อาคนฺตวา มีความว่า ถ้าบ้านอยู่ใกล้หรือในวิหารมี
ภิกษุไข้ พึงกลับจากบ้านเสียก่อน. ถ้าบ้านอยู่ ไกลไม่มีใครมากับอุปัชฌาย์ ควร
ออกจากบ้านพร้อมกับท่านนั่นแล แล้วเอาจีวรห่อบาตรสะพายรีบมาก่อนแต่
กลางทาง เมื่อกลับอย่างนี้ มาถึงก่อนแล้วพึงทำวัตรทุกอย่างมีปูอาสนะเป็นต้น
สองบทว่า สินฺนํ โหติ มีความว่า เป็นของชุ่ม คือเปียกเหงื่อ
ข้อว่า จตุรงฺคุลํ กณฺณํ อุสฺสาเทตฺวา มีความว่า พึงเหลื่อมมุม
ให้เกินกันประมาณ 4 นิ้ว ต้อองพับจีวรอย่างนี้ เพราะเหตุไร ? เพราะตั้งใจ
จะมิให้หักตรงกลาง จริงอยู่ จีวรที่พับไห้มุมสมอกันย่อมหักตรงกลาง. จีวร
ที่ชอกช้ำเป็นนิตย์เพราะพับดังนั้น ย่อมชำรุด. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสข้อนี้
ก็เพื่อป้องกันความชำรุดนั้น. เพราะเหตุนั้น ในวันพรุ่งจีวรจะไม่ชอกช้ำเฉพาะ
ตรงที่หักในวันนี้ ด้วยวิธีใด พึงพับให้เหลื่อมกันวันละ 4 นิ้วด้วยวิธีนั้น.

ข้อว่า โอโภเค กายพนฺธนํ กาตพฺพํ มีคาวามว่า พึงพับประคด-
เอว สอดเก็บไว้ในขนดจีวร.
ข้อว่า สเจ ปิณฺฑปาโต โหติ นี้ มีวินิจฉัยว่า อุปัชฌาย์ใด ฉันใน
บ้านนั่นเอง หรือในละแวกบ้าน หรือในหอฉัน แล้วจึงมา หรือไม่ได้บิณฑะ.
บิณฑบาตของอุปัชฌาย์นั้น ชื่อว่าไม่มี แต่ของอุปัชฌาย์ผู้ไม่ได้ฉันในบ้าน
หรือผู้ได้ภิกษา ชื่อว่ามี.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำเป็นต้น ว่า ถ้าบิณฑบาต
มี ถ้าแม้บิณฑบาตของท่านไม่มี และท่านใคร่จะฉัน พึงถวายน้ำแล้ว น้อม
ถวายบิณฑบาตแม้ที่ตนได้แล้ว.
ข้อว่า ปานีเยน ปุจฺฉิตพฺโพ มีความว่า พึงถามอุปัชฌาย์ซึ่งกำลัง
ฉัน ถึงน้ำฉัน 3 ครั้งว่า ผมจะนำน้ำฉันมาได้หรือยังขอรับ. ถ้าเวลาพอ
เมื่ออุปัชฌาย์ฉันเสร็จแล้ว ตนเองจึงค่อยฉัน. ถ้าเวลาจวนหมด พึงดังน้ำฉัน
ไว้ในที่ใกล้อุปัชฌาย์แล้วตนเองพึงฉันบ้าง.
ข้อว่า อนนฺตรหิตาย มีความว่า ไร่ควรวางบาตรบนพื้นซึ่งเจือ
ด้วยฝุ่นและกรวด ไม่ได้ปูลาดด้วยบรรดาเครื่องปูลาดมีเสื่ออ่อน และท่อน
หนังเป็นต้น ชนิดใดชนิดหนึ่ง. แต่ถ้าฟันเป็นที่อันเขาลงรัก1 หรือโบกปูน
หรือไม่มีละอองและดิน จะวางบนพื้นเห็นปานนั้นควรอยู่. จะวางแม้บนทราย
ที่สะอาดก็ควร. จะวางบนดินร่วนฝุ่นและกรวดเป็นต้นไม่ควร. แต่พึงวางใบไม้
หรือเชิงบาตรบนสิ่งเหล่านั้นแล้ว เก็บบาตรบนใบไม้หรือเชิงบาตรนั้นเถิด.
คำว่า เอาชายไว้ข้างนอกเอาขนดไว้ข้างใน นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ไว้ เพื่อให้สอดมือไปใต้ราวจีวรเป็นต้นแล้ว ค่อย ๆ พาดด้วยมือซึ่งอยู่ตรง

1. ปาฐะในอรรถกถาว่า กาฬวณฺณกตา ทำแล้วให้มีสีดำ.

หน้า. ก็เมื่อจับ 2 ชายเอาขนดพาดขึ้นไปบนราวจีวรเป็นต้น ขนดย่อมกระทบ
ฝา เพราะเหตุนั้น จึงไม่ควรทำอย่างนั้น.
ข้อว่า จุณฺณํ สนฺเนตพฺพํ มีความว่า จุณสำหรับอาบน้ำ พึงให้
ชุ่มด้วยน้ำแล้วปั้นแท่งไว้.
ข้อว่า เอกมนฺตํ นิกฺขิปิตพฺพํ มีความว่า จีวรพึงวางเฉพาะในที่
ซึ่งไม่มีควันไฟแห่งหนึ่ง. กิจทั้งปวง มีให้ถ่านไฟ ดินและน้ำร้อนเป็นต้น
ชื้อบริกรรมในเรือนไฟ.
ข้อว่า อุทเกปิ ปริกมฺมํ ได้แก่กิจทุกอย่างมีถูตัวเป็นต้น.
ข้อว่า ปานีเยน ปุจฺฉิตพฺโพ มีความว่า ความกระหายย่อมมี
เพราะความร้อนอบอ้าวในเรือนไฟ เพราะฉะนั้น จึงควรถามท่านถึงน้ำฉัน.
ข้อว่า สเจ อุสฺสหติ มีความว่า ถ้าสัทธิวิหาริกยังสามารถคือ
เป็นผู้ไม่ถูกความเจ็บไข้บางอย่างครอบงำ. จริงอยู่ สัทธิวิหาริกผู้ไม่เจ็บไข้แม้
พรรษา 60 ก็ควรทำอุปัชฌายวัตรทุกอย่าง เมื่อไม่ทำ ด้วยไม่เอื้อเฟื้อต้อง
ทุกกฏ เพราะวัตตเภท, และเมื่อสัทธิวิหาริกผู้เป็นไข้ไปทำการทีทรงห้าม ใน
บททั้งหลายที่มีอักษรว่า ไม่ กำกับอยู่ ก็เป็นทุกกฏเหมือนกัน.
บทว่า อปริฆํสนฺเตน มีความว่า อย่าลากไปบนพื้น.
บทว่า กวาฏปิฏฺฐํ มีความว่า อย่าให้กระทบกระทั่งบานประตู และ
กรอบประตู.
บทว่า สนฺตานกํ ได้แก่ รังตักแตนและใยแมลงมุมเป็นต้น อย่างใด
อย่างหนึ่ง.
ข้อว่า อุลฺโลกา ปฐมํ โอหาเรตพฺพํ มีความว่า พึงกวาดแต่
เพดานลงมาก่อน คือ ลงมือกวาดเพดานเป็นต้นลงมา.

บทว่า อาโลกสนฺธิกณฺณภาคา ได้แก่ส่วนหน้าต่างประตูและ ส่วน
มุมห้อง. อธิบาย พึงเช็ดบานหน้าต่างและบานประตูทั้งข้างในข้างนอก และ
4 มุมห้อง.
ข้อว่า ยถาปญฺญตฺตํ ปญฺญาเปตพฺพํ มีความว่า เครื่องลาดพื้น
เดิมเขาปูลาดไว้อย่างใด พึงปูไว้เหมือนอย่างนั้น. จริงอยู่ เพื่อประโยชน์นี้แล
จึงทรงบัญญัติวัตรข้อแรกไว้ว่า พึงสังเกตที่ปูเดิมไว้แล้วขึ้นออกไปวางไว้ส่วน
หนึ่ง. แต่ถ้าเครื่องลาดพื้นนั้นเป็นของบางคนซึ่งไม่เข้าใจได้ปูลาดไว้ก่อน พึง
ปูให้ห่างฝาโดยรอบ สัก 2 นิ้ว หรือ 3 นิ้ว.
อันธรรมเนียนการปูลาดดังนี้:-
ถ้ามีเสื่อลำแพนแต่ใหญ่เกินไป พึงตัดพับชายเย็บผูกแล้วจึงปู ถ้าไม่เข้า
ใจพับชายเย็บผูก อย่าตัด.
ข้อว่า ปุรตฺถิมา วาตปานา ถเกตพฺพา มีความว่า พึงปิด
หน้าต่างทิศตะวันออก. หน้าต่างแม้ที่เหลือ ก็พึงปิดอย่างนั้น .
บทว่า วูปกาเสตพฺโพ มีความว่า ตนเองพึงนำไปที่อื่น.
บทว่า วูปกาสาเปตพฺโพ มีความว่า พึงวานภิกษุอื่นว่าขอท่าน
ช่วยพาพระเถระไปที่อื่นเถิด.
บทว่า วิเวเจตพฺพํ มีความว่า ตนเองพึงพูดให้ท่านสละเสีย.
บทว่า วิเวจาเปตพฺพํ มีความว่า พึงวานผู้อื่นว่า ขอท่านช่วยพูด
ให้พระเถระสละทิฏฐิทีเถิด.
ข้อว่า อุสฺสุกฺกํ กาตพฺพํ มีความว่า ภิกษุนั้นอันสัทธิวิหาริกพึง
เข้าไปหาสงฆ์ขอร้องเพื่อให้ปริวาส ถ้าสัทธิวิหาริกเป็นผู้สามารถด้วยคน พึง
ให้ปริวาสด้วยตนเอง ถ้าไม่สามารถ พึงวานภิกษุอื่นให้ช่วยให้.

ข้อว่า กินฺติ นุโข มีความว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอแล. มีนัยเหมือน
กันทุกแห่ง.
ข้อว่า ลหุกาย วา ปริณาเมยฺย มีความว่า สงฆ์อย่าพึงทำ
อุกเขปนียกรรมเลย พึงทำตัชชนียกรรมหรือนิยสกรรมแทน.
จริงอยู่ สัทธิวิหาริกนั้นได้ทราบว่า สงฆ์ปรารถนาจะทำอุกเขปนีย-
กรรมแก่อุปัชฌาย์ของเรา พึงเข้าไปหาทีละรูป อ้อนวอนว่า ขออย่าทำกรรม
แก่อุปัชฌาย์ของผมเลยขอรับ
ถ้าภิกษุทั้งหลายจะทำทัชชนียกรรมหรือนิยสกรรมให้ได้. พึงอ้อนวอน
เธอทั้งหลายว่า โปรดอย่าทำเลย.
ถ้าภิกษุทั้งหลายจะทำจริง ๆ, ทีนั้น พึงอ้อนวอนอุปัชฌาย์ว่าขอจงกลับ
ประพฤติชอบเถิดขอรับ.
ครั้นอ้อนวอนให้ท่านกลับประพฤติชอบได้อย่างนั้นแล้ว พึงอ้อนวอน
ภิกษุทั้งหลายว่า โปรดระงับกรรมเถิดขอรับ
สองบทว่า สมฺปริวตฺตกํ สมฺปริวตฺตกํ ได้แก่พลิกกลับไปรอบ ๆ.
ข้อว่า น จ อจฺฉินฺเน เถเว ปกฺกมิตพฺพํ มีความว่า ถ้าน้ำย้อม
แม้เพียงเล็กน้อย ยังหยดอยู่ อย่าพึงหลีกไปเสีย.
วัตรทุกข้อ เป็นต้นว่ายังไม่ได้เรียนอุปัชฌาย์ อย่าให้บาตรแก่คนบาง
คน ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสำหรับบุคคลซึ่งเป็นวิสภาคของอุปัชฌาย์.
ข้อว่า น อุปชฺฌายํ อนาปุจฺฉา คาโม ปวิสิตพฺโพ มีความ
ว่า สัทธิวิหาริกปรารถนาจะเข้าไปด้วยบิณฑบาต หรือด้วยกรณียะอย่างอื่น
พึงบอกลาก่อนจึงเข้าไป.

ถ้าอุปัชฌาย์ประสงค์จะลุกขึ้นแต่เข้าไปภิกษาจารไกล พึงสั่งว่าพวก
ภิกษุหนุ่มจงเข้าไปบิณฑบาตเถิด แล้วจึงไป.
เมื่ออุปัชฌาย์ไม่ได้สั่งไว้ไปเสีย สัทธิวิหาริกไปถึงบริเวณไม่เห็นอุปัช-
ฌาย์จะเข้าบ้านก็ควร.
ถ้าแม้กำลังเข้าไปในบ้านและพบเข้า ควรจะบอกลาตั้งแต่ที่ที่พบ
ทีเดียว.
ข้อว่า น สุสานํ คนฺตพฺพํ มีความว่า ไม่ไปเพื่อต้องการอยู่ หรือ
เพื่อต้องการดี.
ในข้อว่า น ทิสา ปกฺกมิตพฺพา นี้ มีวินิจฉัยว่า สัทธิวิหาริก
ผู้ประสงค์จะไป พึงชี้แจงถึงกิจการแล้วอ้อนวอนเพียงครั้งที่สาม. ถ้าท่าน
อนุญาต เป็นการสำเร็จ, ถ้าไม่อนุญาตเมื่อเธออาศัยท่านอยู่ อุทเทสก็ดี ปริ-
ปุจฉาก็ดี กัมมัฏฐานก็ดี ไม่สำเร็จ (เพราะ) อุปัชฌาย์เป็นคนโง่ไม่เฉียบแหลม
ไม่ยอมให้ไปเช่นนั้น เพราะมุ่งหมายจะให้อยู่ในสำนักของตนถ่ายเดียว เมื่อ
อุปัชฌาย์เช่นนี้แม้ห้ามจะขืนไป ก็ควร.
ข้อว่า วุฏฺฐานสฺส อาคเมตพฺพํ มีความว่า พึงรอจนหายจากความ
เจ็บไข้ ไม่ควรไปข้างไหนเสีย. ถ้ามีภิกษุอื่นเป็นผู้พยาบาล พึงหายามามอบ
ไว้ในมือของเธอ แล้วเรียนท่านว่า ภิกษุนี้จักพยาบาลขอรับ แล้ว จึงไป.
อรรถกถาอุปัชฌายวัตตกถา จบ

สัทธิวิหาริกวัตร


[82] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุปัชฌายะพึงประพฤติชอบในสัทธิวิหาริก
วิธีพระพฤติชอบในสัทธิวิหาริกนั้น มีดังต่อไปนี้:-
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุปัชฌายะพึงสงเคราะห์ อนุเคราะห์ สัทธิวิหาริก
ด้วยสอนบาลีและอรรถกถา ด้วยให้โอวาทและอนุศาสนี.
ถ้าอุปัชฌายะมีบาตร สัทธิวิหาริกไม่มีบาตร อุปัชฌายะพึงให้บาตร
แก่สัทธิวิหาริก หรือพึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ บาตร
พึงบังเกิดแก่สัทธิวิหาริก.
ถ้าอุปัชฌายะมีจีวร สัทธิวิหาริกไม่มีจีวร อุปัชฌายะพึงให้จีวรแก่
สัทธิวิหาริก หรือพึงทำความขวนขวายว่าด้วยอุบายอย่างไรหนอ จีวรพึงบังเกิด
แก่สัทธิวิหาริก.
ถ้าอุปัชฌายะมีบริขาร สัทธิวิหาริกไม่มีบริขาร อุปัชฌายะ พึงให้
บริขารแก่สัทธิวิหาริก หรือพึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ
บริขารพึงบังเกิดแก่สัทธิวิหาริก.
ถ้าสัทธิวิหาริกอาพาธ อุปัชฌายะพึงลุกแต่เช้าตรู่ แล้วให้ไม้ชำระฟัน
ให้น้ำล้างหน้า ปูอาสนะไว้.
ถ้ายาคูมี พึงล้างภาชนะแล้ว นำยาคูเข้าไปให้ เมื่อสัทธิวิหาริกดื่มยาคู
แล้ว พึงให้น้ำ รับภาชนะมาถือต่ำ ๆ อย่าให้กระทบกัน ล้างให้สะอาดแล้ว
เก็บไว้ เมื่อสัทธิวิหาริกลุกแล้ว พึงเก็บอาสนะ ถ้าที่นั้นรก พึงกวาดที่นั้นเสีย.
ถ้าสัทธิวิหาริกประสงค์จะเข้าบ้าน พึงให้ผ้านุ่ง พึงรับผ้านุ่งผลัดมา
พึงให้ประคตเอว พึงพับสังฆาฏิเป็นชั้นให้ พึงล้างบาตรแล้วให้พร้อมทั้งน้ำด้วย
พึงปูอาสนะที่นั่งฉันไว้ ด้วยกำหนดในใจว่าเพียงเวลาเท่านี้ สัทธิวิหาริกจักกลับ