พระวินัยปิฎก
เล่ม 3
ภิกขุนีวิภังค์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ปาราชิกกัณฑ์
ปาราชิกสิกขาบทที่ 1
เรื่องภิกษุสุนทรีสุนทรี
[1]โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น นายสาฬหะ
หลานของมิคารมาตา มีความประสงค์จะสร้างวิหารถวายภิกษุณีสงฆ์ จึงเข้าไป
หานางภิกษุณีทั้งหลาย แจ้งความประสงค์ว่า แม่เจ้า กระผมอยากจะสร้างวิหาร
ถวายภิกษุณีสงฆ์ ขอแม่เจ้าจงโปรดให้ภิกษุณีผู้อำนวยการก่อสร้างรูปหนึ่งแก่
กระผม ครั้งนั้นมีสาวสี่พี่น้อง ชื่อนันทา 1 ชื่อนันทาวดี 1 ชื่อสุนทรีนันทา 1
ชื่อถุลลนันทา 1 บวชอยู่ในสำนักภิกษุณี บรรดาภิกษุณีทั้งสี่นั้น ภิกษุณีสุนทรี
นันทา เป็นบรรพชิตสาวทรงโฉมวิไล น่าพิศพึงชม เป็นบัณฑิต เฉียบแหลม
มีปรีชา ขยัน ไม่เกียจคร้าน กอปรด้วยปัญญาเลือกฟั้นอันเป็นทางดำเนินใน
การงานนั้น ๆ สามารถพอที่จะทำกิจการงานนั้น ๆ ให้ลุล่วงไป จึงภิกษุณีสงฆ์
ได้สมมติภิกษุณีสุนทรีนันทาให้เป็นผู้อำนวยการก่อสร้างแก่นายสาฬหะ หลาน
มิคารมาตา ต่อมาภิกษุณีสุนทรีนันทา ไปสู่เรือนของนายสาฬหะ หลานมิคาร-
มาตาเสมอ โดยแจ้งว่า จงให้มีด จงให้ขวาน จงให้ผึ่ง จงให้จอบ จงให้สิ่ว
แม้นายสาฬหะ หลานมิคารมาตา ก็ไปสู่สำนักนางภิกษุณีเสมอ เพื่อทราบ
กิจการที่ทำแล้ว ที่ยังมิได้ทำ เขาทั้งสองได้มีจิตปฏิพัทธ์ เพราะเห็นกันอยู่เสมอ
ครั้นนายสาฬหะ หลานมิคารมาตา ไม่ได้โอกาสที่จะประทุษร้ายภิกษุณีสุนทรี-
นันทา จึงได้ตกแต่งภัตตาหารถวายภิกษุณีสงฆ์ เพื่อมุ่งจะประทุษร้ายภิกษุณี
สุนทรีนันทานั้น แล้วให้ปูอาสนะในโรงฉัน จัดอาสนะสำหรับภิกษุณีทั้งหลาย
ที่แก่กว่าภิกษุณีสุนทรีนันทาไว้ส่วนหนึ่ง สำหรับภิกษุณีทั้งหลายที่อ่อนกว่า
ภิกษุณีสุนทรีนันทาไว้ส่วนหนึ่ง จัดอาสนะสำหรับภิกษุณีสุนทรีนันทาไว้ใน
สถานที่อันกำบังนอกฝาเรือน ให้ภิกษุณีผู้เถระทั้งหลายพึงเข้าใจว่า นางนั่งใน
สำนักพวกภิกษุณีผู้นวกะ แม้ภิกษุณีผู้นวกะทั้งหลายก็พึงเข้าใจว่า นางนั่งอยู่ใน
สำนักพวกภิกษุณีผู้เถระ.
ครั้นจัดเสร็จแล้ว ได้ให้คนไปแจ้งภัตกาลแก่ภิกษุณีสงฆ์ ว่าได้เวลา
อาหารแล้ว เจ้าข้า ภัตตาหารเสร็จแล้ว.
ภิกษุณีสุนทรีนันทาทราบได้ดีว่า นายสาฬหะ หลานมิคารมาตา ไม่
ได้ทำอะไรมากมาย ได้ตกแต่งภัตตาหารไว้ถวายภิกษุณีสงฆ์ ด้วยเธอมีความ
ประสงค์จะประทุษร้ายเรา ถ้าเราไป ความอื้อฉาวจักมีแก่เรา จึงใช้ภิกษุณี
อันเตวาสินีไปด้วยสั่งว่า เธอจงไปนำบิณฑบาตมาให้เรา และผู้ใดถามถึงเรา
เธอจงบอกว่าอาพาธ.
ภิกษุณีอันเตวาสินีรับคำสั่งของภิกษุณีสุนทรีนันทาแล้ว.
สมัยนั้น นายสาฬหะ หลานมิคารมาตา ยืนคอยอยู่ที่ซุ้มประตูข้าง
นอกถามถึงภิกษุณีสุนทรีนันทาว่า แม่เจ้าสุนทรีนันทาไปข้างไหน ขอรับ แม่
เจ้าสุนทรีนันทา ไปข้างไหน ขอรับ.
เมื่อเขาถามถึงอย่างนี้แล้ว ภิกษุณีอันเตวาสินีของภิกษุณีสุนทรีนันทา
ตอบกะเขาดังนี้ว่า อาพาธค่ะ ดิฉันจักนำบิณฑบาตไปถวาย.
เขาคิดว่า การที่เราได้ตกแต่งอาหารถวายภิกษุณีสงฆ์ ก็เพราะเหตุแห่ง
แม่เจ้าสุนทรีนันทา จึงสั่งคนให้เลี้ยงดูภิกษุณีสงฆ์แล้วเลี่ยงไปทางสำนักภิกษุณี
สงฆ์.
ก็สมัยนั้น ภิกษุณีสุนทรีนันทายืนคอยมองนายสาฬหะ หลานมิคาร-
มาตาอยู่ข้างนอกซุ้มประตูวัด นางเห็นเขาเดินมาแต่ไกลจึงหลบเข้าสู่สำนักนอน
คลุมศีรษะอยู่บนเตียง.
ครั้นเขาเข้าไปหาแล้ว ได้ถามนางว่า แม่เจ้าไม่สบายหรือขอรับ
ทำไมจึงจำวัดเสียเล่า.
นางตอบว่า นาย การที่สตรีรักใคร่กับคนที่เขาไม่รักตอบ ย่อมเป็น
เช่นนี้แหละค่ะ.
เขากล่าวว่า ทำไมผมจะไม่รักแม่เจ้า ขอรับ แต่ผมหาโอกาสที่จะ
ประทุษร้ายแม่เจ้าไม่ได้ แล้วมีความกำหนัด ได้ถึงความเคล้าคลึงด้วยกายกับ
ภิกษุณีสุนทรีนันทา ผู้มีความกำหนัด.
ก็สมัยนั้นแล ภิกษุณีรูปหนึ่งผู้ชราทุพพลภาพ เท้าเจ็บ นอนอยู่ไม่
ห่างจากภิกษุณีสุนทรีนันทา ได้แลเห็นสาฬหะ หลานมิคารมาตา ถึงความ
เคล้าคลึงด้วยกายกับภิกษุณีสุนทรีนันทาผู้กำหนัด ครั้นแล้วจึงเพ่งโทษ ติเตียน
โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าสุนทรีนันทา จึงได้มีความกำหนัด ยินดีการเคล้า-
คลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัดเล่า แล้วได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย
บรรดาภิกษุสีผู้มีความมักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่
ต่อสิกขาต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน แม่เจ้าสุนทรีนันทา จึง
ได้มีความกำหนัดยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัดเล่า แต่เจ้า
เรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉน ภิกษุณีสุนทรีนันทาจึงได้มีความกำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของ
บุรุษบุคคลผู้มีความกำหนัดเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะ
เหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามภิกษุทั้งหลาย
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีสุนทรีนันทามีความกำหนัด ยินดี
การเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด จริงหรือ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การ
กระทำของภิกษุณีสุนทรีนันทาไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ
ใช้ไม่ได้ไม่ควรทำ ไฉนภิกษุณีสุนทรีนันทาจึงได้มีความกำหนัด ยินดีการเคล้า-
คลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัดเล่า การกระทำของนางนั่นไม่เป็นไปเพื่อ
ความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่
เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้การกระทำของนางเป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชน
ที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว
ครั้นพระองค์ทรงติเตียนภิกษุณีสุนทรีนันทาโดยอเนกปริยายแล้ว จึงตรัสโทษ
แห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความ
เป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็น
คนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความ
ขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารถนาความ
เพียร โดยอเนกปริยาย แล้วทรงทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสม
แก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั่นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่
ภิกษุณีทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ 10 ประการ คือ เพื่อความรับว่าดี
แห่งสงฆ์ 1 เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ 1 เพื่อข่มภิกษุณีผู้เก้อยาก 1 เพื่ออยู่
สำราญแห่งภิกษุณีผู้มีศีลเป็นที่รัก 1 เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน
1 เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต 1 เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยัง
ไม่เลื่อมใส 1 เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว 1 เพื่อความตั้งมั่น
แห่งพระสัทธรรม 1 เพื่อถือตามพระวินัย 1.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกภิกษุณีจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้ :-
พระบัญญัติ
5.1. อนึ่ง ภิกษุณีใด มีความกำหนัด ยินดีการลูบก็ดี
คลำก็ดี จับก็ดี ต้องก็ดี บีบเคล้นก็ดี ของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด
ใต้รากขวัญลงไป เหนือเข่าขึ้นมา แม้ภิกษุณีนี้ก็เป็นปาราชิก ชื่อ
อุพภชานุมัณฑลิกา หาสังวาลมิได้. เรื่องภิกษุณีสุนทรีนันทา จบ
สิกขาบทวิภังค์
[2] บทว่า อนึ่ง. . .ใด ความว่า ผู้ใด คือผู้เช่นใด มีการงาน
อย่างใด มีชาติอย่างใด มีอารมณ์อย่างใด เป็นเถระก็ตาม เป็นนวกะก็ตาม
เป็นมัชฌิมะก็ตาม นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อนึ่ง. . .ใด.
บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ,
ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่า ประพฤติภิกขาจริยวัตร, ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะ
อรรถว่าทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว, ชื่อว่า ภิกษุณี โดยสมญา, ชื่อว่า ภิกษุณี
โดยปฏิญญา, ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นเอหิภิกษุณี, ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะ
อรรถว่าเป็นผู้อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมน์, ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่า
เป็นผู้เจริญ, ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นพระเสขะ, ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะ
อรรถว่าเป็นพระอเสขะ,ชื่อว่าภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้อันสงฆ์สองฝ่ายพร้อม
เพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบควรแก่ฐานะ, บรรดา
ภิกษุณีเหล่านั้น ภิกษุณีที่สงฆ์สองฝ่ายพร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติ-
จตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่ทรงประสงค์
ในอรรถนี้ .
ที่ชื่อว่า มีความกำหนัด ได้แก่หญิงหรือชายมีความกำหนัดมาก มี
ความเพ่งเล็ง มีจิตปฏิพัทธ์.
ที่ชื่อว่า บุรุษบุคคล ได้แก่ มนุษย์ผู้ชาย ไม่ใช่ยักษ์ผู้ชาย ไม่ใช่
เปรตผู้ชาย ไม่ใช่สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ เป็นคนรู้ความ เป็นผู้สามารถ เพื่อถึง
ความเคล้าคลึงด้วยกาย.
บทว่า ใต้รากขวัญลงไป คือ เบื้องต่ำแห่งรากขวัญลงไป.
บทว่า เหนือเข่าขึ้นมา คือ เบื้องบนแห่งมณฑลเข่าขึ้นมา.