เมนู

จีวรวรรคที่ 1 สิกขาบทที่ 7


พรรณนาตทุตตริสิกขาบท


ตทุตตริสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป:-
ในตทุตตริสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยดังนี้:-
[แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องปวารณาเพื่อนำไป]
ศัพท์ว่า อภิ ในคำว่า อภิหฏฺฐุํ เป็นอุปสรรค. มีอรรถว่า เพื่อ
นำไป. มีคำอธิบายว่า เพื่อถือเอา.
บทว่า ปวาเรยฺย มีความว่า พึงให้ปรารถนา คือ ให้เกิดความ
ปรารถนา ความพอใจ, อธิบายว่า พึงบอก คือ พึงนิมนต์. เพื่อทรง
แสดงอาการที่ผู้ปวารณาเพื่อให้นำไปจะพึงกล่าว พระผู้มีพระภาคเจ้า จึง
ตรัสบทภาชนะแห่งบทว่า อภิหฏฺฐุํ ไว้อย่างนี้ว่า ท่านต้องการจีวรเท่าใด
ก็จงรับไปเท่านั้นเถิด. อีกอย่างหนึ่ง ในบาทคาถานี้ว่า เนกฺขมฺมํ หฏฺฐุ-
เขมโต
มีอรรถว่า ทิสฺวา (เห็นแล้ว) ฉันใด, สองบทว่า อภิหฏฺฐุํ
ปวาเรยฺย แม้ในสิกขาบทนี้ ก็มีอรรถว่า เขานำมาแล้วปวารณา ฉันนั้น.
การนำมาในคำว่า อภิหริตฺวา นั้น มี 2 อย่างคือ การนำมาด้วย
กายอย่าง 1 การนำนาด้วยวาจาอย่าง 1. พ่อเจ้าเรือนก็ดี แม่เจ้าเรือนก็ดี
ผู้มิใช่ญาติ นำผ้าทั้งหลายมาด้วยกายแล้ววางไว้ที่ใกล้เท้า พึงปวารณา
กล่าวว่า ท่านต้องการจีวรเท่าใด ก็จงรับไปเท่านั้นเถิด. อนึ่ง พึงกล่าว
ปวารณาด้วยวาจาว่า เรือนคลังผ้าของพวกข้าพเจ้า เต็มบริบูรณ์, ท่าน
ต้องการจีวรเท่าใด ก็จงรับไปเท่านั้นเถิด. ก็เพราะรวมการนำมาทั้งสอง
นั้นเข้าเป็นอันเดียวกัน ตรัสเรียกว่า ปวารณาเพื่อนำไป.

บทว่า สนฺตรุตฺตรปรมํ มีวิเคราะห์ว่า ผ้าอุตราสงค์ กับอันตร-
วาสก เป็นอย่างยิ่งแห่งจีวรนั้น; เหตุนั้น จีวรนั้น จึงชื่อว่า มีอุตราสงค์
กับอันตรวาสกเป็นอย่างยิ่ง. มีคำอธิบายว่า ผ้าห่มกับผ้านุ่ง เป็นกำหนด
อย่างสูงแห่งจีวรนั้น.
หลายบทว่า ตโต จีวรํ สาทิตพฺพํ มีความว่า ภิกษุพึงถือเอาจีวร
มีประมาณเท่านี้ จากจีวรที่คฤหบดี หรือ คฤหปตานี ผู้มิใช่ญาตินำมา
ให้นั้น, อธิบายว่า ไม่ควรรับเกินกว่านี้. ก็เพราะว่าภิกษุผู้มีเพียงไตรจีวร
เท่านั้น ถูกโจรชิงเอาจีวรไปหมด ควรปฏิบัติอย่างนี้, ภิกษุอื่นควร
ปฏิบัติแม้อย่างอื่น; ฉะนั้น เพื่อจะทรงแสดงวิภาคนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสบทภาชนะเเห่งบทว่า ตโต จีวรํ สาทิตพฺพํ นั้น โดยนัยมีว่า สเจ
ตีณิ นฏฺฐานิ โหนฺติ
เป็นต้น.
วินิจฉัยในคำว่า สเจ ตีณิ นฏฺฐานิ เป็นต้นนั้น ดังต่อไปนี้:-
ถ้าภิกษุใดมีจีวรหาย 3 ผืน, ภิกษุนั้น พึงยินดี 2 ผืน. คือจักนุ่ง
ผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง แล้วแสวงหาอีกผืนหนึ่งจากที่แห่งภิกษุผู้เป็นสภาค
กัน . ภิกษุใด มีจีวรหาย 2 ผืน ภิกษุนั้น พึงยินดีผืนเดียว. ถ้าภิกษุ
เที่ยวไปโดยปกติด้วยอุตราสงค์กับอันตรวาสก พึงยินดี 2 ผืน. เมื่อยินดี
เช่นนั้น จักเป็นผู้เสมอกับภิกษุผู้ยินดีผืนเดียวนั่นเอง. หายผืนเดียว ไม่
พึงยินดี. ภิกษุใดมีจีวรหายไปผืนเดียวในบรรดาจีวร 3 ผืน, ภิกษุนั้น
ไม่ควรยินดี. แต่บรรดาจีวร 2 ผืน ของภิกษุใดหายผืนเดียว, เธอพึง
ยินดีผืนเดียว. แต่ของภิกษุใด มีผืนเดียวเท่านั้น และจีวรผืนนั้นหาย,
ภิกษุนั้น พึงยินดี 2 ผืน. แต่สำหรับภิกษุนี้ เมื่อหายไปทั้ง 5 ผืน พึง
ยินดี 2 ผืน. เมื่อหาย 4 ผืน พึงยินดีผืนเดียว. เมื่อหาย 3 ผืน ไม่พึง

ยินดีอะไร ๆ เลย. ก็ในจีวรที่หายไป 2 ผืน หรือ 1 ผืน จะต้องกล่าว
ไปทำไมเล่า ? จริงอยู่ ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง พึงตั้งอยู่ในความเป็นผู้มี
อุตราสงค์กับอันตรวาสกเป็นอย่างยิ่ง. ยิ่งกว่านั้นไปย่อมไม่ได้, คำดังกล่าว
มานี้ เป็นลักษณะในข้อนี้.
สองบทว่า เสสกํ อาหริสฺสามิ มีความว่า ข้าพเจ้า จักทำจีวร
สองผืนแล้ว จักนำผ้าที่เหลือมาคืนให้.
บทว่า น อจฺฉินฺนการณา มีความว่า พวกทายกถวายด้วยอำนาจ
แห่งคุณมีความเป็นพหูสูตเป็นต้น.
ในบทว่า ญาตกนํ เป็นต้น มีความว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้
ยินดีจีวรของพวกญาติถวาย ผู้ยินดีของพวกคนปวารณาถวาย ผู้ยินดี
(จีวรที่จ่ายมา) ด้วยทรัพย์ของตน.
อนึ่ง ในอรรถกถาทั้งหลาย ท่านกล่าวว่า ตามปกตินั่นแลจะขอ
จีวรแม้มากในที่แห่งญาติและคนปวารณา ก็ควร, เพราะเหตุที่ถูกโจร
เป็นต้นชิงไป ควรจะขอแต่พอประมาณเท่านั้น. คำนั้นไม่สมด้วยพระ-
บาลี. ก็เพราะสิกขาบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติ ในเพราะเรื่อง
ขอเพื่อประโยชน์แก่คนอื่นเท่านั้น; เพราะฉะนั้น ในสิกขาบทนี้ พระองค์
จึงไม่ตรัสว่า เพื่อประโยชน์แก่คนอื่น. คำที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้น .
บรรดาปกิณกะมีสมุฏฐานเป็นต้น สิกขาบทแม้นี้ ก็มีสมุฏฐาน 6
เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจี-
กรรม มีจิต 3 มีเวทนา 3 ฉะนี้แล.
พรรณนาตทุตตริสิกขาบทที่ 7 จบ

จีวรวรรค สิกขายทที่ 8
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร


[62] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชต-
วัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นบุรุษ
ผู้หนึ่งได้กล่าวคำนี้กะภรรยาว่า ฉันจักยังท่านพระอุปนันทะให้ครองจีวร
ภิกษุรูปหนึ่งผู้ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ได้ยินบุรุษนั้นกล่าว
คำนี้ จึงเข้าไปหาท่านพระอุปนันทศากยบุตร ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้กะ
ท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า อาวุโส อุปนันทะ ท่านเป็นผู้มีบุญมาก ใน
สถานที่โน้น บุรุษผู้หนึ่งได้กล่าวคำนี้กะภรรยาว่า ฉันจักยังท่านพระ-
อุปนันทะให้ครองจีวร
ท่านพระอุปนันทะกล่าวรับรองว่า มีขอรับ เขาเป็นอุปัฏฐากของผม
ครั้นแล้วท่านพระอุปนันทศากยบุตร ได้เข้าไปหาบุรุษนั้นแล้วสอบถาม
เขาว่า จริงหรือ ข่าวว่า ท่านประสงค์จะให้อาตมาครองจีวร
บุ. ความจริง ผมตั้งใจไว้อย่างนี้ว่า จักยังท่านพระอุปนันทะให้
ครองจีวร
อุ. ถ้าท่านประสงค์จะให้อาตมาครองจีวร ก็จงให้ครองจีวรชนิดนี้
เถิด เพราะจีวรที่อาตมาไม่ใช้ แม้ครองแล้วจักทำอะไรได้
บุรุษนั้นจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาขึ้นในขณะนั้นว่า พระ-
สมณะเชื้อสายพระะศากยบุตรเหล่านี้ เป็นคนมักมาก ไม่สันโดษ จะให้
ครองจีวรก็ทำได้ไม่ง่าย ไฉนพระคุณเจ้าอุปนันทะ อันเราไม่ได้ปวารณา
ไว้ก่อนจึงได้เข้ามาหา แล้วถึงการกำหนดในจีวรเล่า