เมนู

อนิยตกัณฑวรรณนา


ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ! อนึ่ง ธรรม คือ อนิยต 2 สิกขาบทนี้แล
ย่อมมาสู่อุเทศ.

พรรณนาอนิยตสิกขาบทที่ 1


อนิยตสิกขาบทที่ 1 ว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา เป็นต้น
ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป:- ในอนิยตสิกขาบทที่ 1 นั้น มีวินิจฉัยดังต่อ
ไปนี้:-

[แก้อรรถมูลเหตุแห่งปฐมบัญญัติเป็นต้น]


คำว่า กาลยุตฺตํ สมุลฺลปนฺโต มีความว่า กำหนดกาลแล้ว
กล่าวถ้อยคำเกี่ยวด้วยเรื่องชาวบ้าน ในเวลาที่ใคร ๆ ไม่เดินผ่านไปหรือ
เดินผ่านมาที่ใกล้ คือ ตามที่เหมาะแก่เวลาเช่นนั้น มีอาทิว่า เธอไม่
กลุ้มใจ ไม่ลำบากใจ ไม่อดอยากละหรือ ?
คำว่า กาลยุตฺตํ ธมฺมํ ภณนฺโต มีความว่า กำหนดกาลแล้ว
กล่าวธรรมกถา ในเวลาที่ใครคนอื่นเดินผ่านมา หรือเดินผ่านไป คือ
ตามที่เหมาะแก่เวลาเช่นนั้น มีอาทิว่า เธอควรทำอุโบสถ, เธอควรถวาย
สลากภัต ดังนี้
นางวิสาขานั้น ชื่อว่า มีบุตรมาก เพราะนางมีธิดาและบุตรมาก
ได้ยินว่า นางมีบุตรชาย 10 คน และบุตรหญิง 10 คน. ชื่อว่า
มีนัดดามาก เพราะนางมีหลานมาก. เหมือนอย่างว่า นางวิสาขานั้น
มีบุตรชายหญิง 20 คน ฉันใดแล, แม้บุตรชายหญิงของนางก็มีทารก

คนละ 20 คน ฉันนั้น. นางจึงได้ชื่อว่า มีลูกและหลานเป็นบริวาร
420 คน ด้วยประการอย่างนี้.
บทว่า อภิมงฺคลสมฺมตา คือ ผู้อันชาวโลกสมมติว่าเป็นอุดม-
มงคล.
บทว่า ยญฺเญสุ คือ ในทานน้อยและทานใหญ่
บทว่า ฉเณสุ คือ ในงานมหรสพอันเป็นไปเป็นครั้งคราว มี
อาวาหมงคลและวิวาหมงคลเป็นต้น.
บทว่า อุสฺสเวสุ ได้แก่ ในงานมหรสพฉลอง (สมโภช) มี
อาสาฬหนักขัตฤกษ์ และปวารณานักขัตฤกษ์เป็นต้น (งานฉลองนัก-
ขัตฤกษ์วันเข้าพรรษาและวันออกพรรษา).
บทว่า ปฐมํ โภเชนฺติ มีความว่า ชนทั้งหลาย เชิญให้รับประทาน'
ก่อน พลางขอพรว่า เด็กแม้เหล่านี้ จงเป็นผู้ไม่มีโรคมีอายุยืน เสมอ
ด้วยท่านเถิด ดังนี้. แม้ชนเหล่าใด เป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใส, ชนเหล่านั้น
ให้ภิกษุทั้งหลายฉันแล้ว จึงเชิญนางวิสาขานั้นแล ให้รับประทานก่อน
ทั้งปวง ในลำดับที่ภิกษุฉันแล้วนั้น.
บทว่า น อาทิยิ มีความว่า พระอุทายีเถระ ไม่เชื่อฟังคำของนาง.
อีกอย่างหนึ่ง ความว่า ไม่กระทำความเอื้อเฟื้อ.
บทว่า อลํกมฺมนิเย มีวิเคราะห์ว่า ที่นั่งที่ชื่อว่า กัมมนิยะ
เพราะอรรถว่า ควรแก่กรรม คือ เหมาะแก่กรรม. ที่ชื่อว่า อสังกัมมนิยะ
เพราะอรรถว่า อาจ สามารถ เพื่อทำการได้ ในอาสนะกำบังซึ่งพอจะ
ทำการได้นั้น. ความว่า ในสถานที่อย่างที่ชนทั้งหลาย เมื่อจะทำอัชฌาจาร
อาจทำกรรมนั้นได้. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล ในบทภาชนะแห่งบทว่า

อลํกมฺมนิเย นั้น ท่านจึงกล่าวว่า อาจจะเสพเมถุนธรรมไม่ได้. มีคำอธิบายว่า
ในที่ซึ่งอาจจะเสพเมถุนธรรมได้.
สองบทว่า นิสชฺชํ กปฺเปยฺย ได้แก่ พึงทำการนั่ง. อธิบายว่า
พึงนั่ง. ก็เพราะบุคคลนั่งก่อน แล้วจึงนอน ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสการนั่งและการนอนทั้งสองไว้ ในบทภาชนะแห่งบทว่า นิสชฺชํ
กปฺเปยฺย
นั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปนิสินฺโน มีความว่า บุคคลผู้เข้า
ไปนั่งใกล้ ๆ นั่นแล ผู้ศึกษา พึงทราบว่า นอนใกล้.
สองบทว่า ภิกฺขุ นิสินฺเน ความว่า เมื่อภิกษุนั่งแล้ว.
สองบทว่า อุโภ วา นิสินฺนา มีความว่า แม้ 2 คน นั่งไม่
หลังไม่ก่อนกัน (นั่งพร้อม ๆ).
ก็ในสิกขาบทที่ 1 นี้ คำว่า ที่ลับหู ไม่ได้มาในพระบาลีแม้ก็จริง.
ถึงอย่างนั้น พึงทราบการกำหนด (อาบัติ) ด้วยที่ลับตาเท่านั้น. หากว่า
มีบุรุษรู้เดียงสานั่งอยู่ใกล้ประตูห้องซึ่งปิดบานประตูไว้ก็คุ้มอาบัติไม่ได้เลย.
แต่ถ้านั่งใกล้ประตูห้องที่ไม่ได้ปิดบานประตูคุ้มอาบัติได้. และใช่แต่ที่ใกล้
ประตูอย่างเดียวหามิได้, แม้นั่งในโอกาสภายใน 12 ศอก ถ้าเป็นคนตาดี
มีจิตฟุ้งซ่านบ้าง เคลิ้มไปบ้าง ก็คุ้มอาบัติได้ คนตาบอด แม้ยืนอยู่
ในที่ใกล้ ก็คุ้มอาบัติไม่ได้. ถึงคนตาดี นอนหลับเสีย ก็คุ้มอาบัติไม่ได้.
ส่วนสตรีแม้ตั้ง 100 คน ก็คุ้มอาบัติไม่ได้เลย.
บทว่า สทฺเธยฺยวจสา แปลว่า มีวาจาควรเชื่อถือได้. ก็เพราะ
อุบาสิกานั้นเป็นถึงอริยสาวิกา ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า

จึงตรัสว่า อาคตผลา เป็นต้นไว้ ในบทภาชนะแห่งบทว่า สทฺเธยฺยวจสา
นั้น.
ในคำว่า อาคตผลา เป็นต้นนั้น มีวินิจฉัยดังนี้:- อุบาสิกานั้น
ชื่อว่า อาคตผลา เพราะว่า มีผลอันมาแล้ว. อธิบายว่า ผู้ได้โสดา-
ปัตติผลแล้ว.
บทว่า อภิสเมตาวินี คือ ผู้ได้ตรัสรู้สัจจะ 4. อุบาสิกานี้ เข้าใจ
ศาสนา คือ ไตรสิกขาดี; เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้เข้าใจศาสนาดี
ข้อว่า นิสชฺชํ ภิกฺขุ ปฏิชานมาโน มีความว่า อุบาสิกาเช่นนี้
เห็นแล้วจึงพูด แม้ก็จริง, ถึงอย่างนั้น ภิกษุปฏิญญาการนั่งอย่างเดียว
พระวินัยธรพึงปรับด้วยธรรม 3 อย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อเธอไม่ปฏิญญา
ไม่พึงปรับ.
ข้อว่า อีกประการหนึ่ง อุบาสิกามีวาจาที่เชื่อได้นั้น กล่าวด้วย
ธรรมใด ภิกษุนั้น พึงถูกปรับด้วยธรรมนั้น
มีความว่า อุบาสิกานั้น
ยกเรื่องเมถุนธรรมเป็นต้นขึ้น พร้อมด้วยอาการมีการนั่งเป็นต้น อาการ
อย่างใด, ภิกษุนั้น ก็ปฏิญญาด้วย พึงถูกปรับด้วยอาการอย่างนั้น.
อธิบายว่า ไม่พึงปรับด้วยอาการสักว่าถ้อยคำของอุบาสิกาแม้เห็นปานนี้.
ถามว่า เพราะเหตุไร ?
ตอบว่า เพราะธรรมดาว่า เรื่องที่เห็นเป็นอย่างนั้นก็มี เป็น
อย่างอื่นก็มี, ก็เพื่อประกาศเนื้อความนั้น พระอาจารย์ทั้งหลาย จึงนำ
เรื่องมาเป็นอุทาหรณ์ดังต่อไปนี้:-

[เรื่องพระขีณาสพเถระนั่งกับมาตุคาม]


ได้ทราบว่า ในมัลลารามวิหาร พระเถระผู้ขีณาสพรูปหนึ่งไปสู่
ตระกูลอุปัฏฐาก ในวันหนึ่ง นั่งแล้ว ณ ภายในเรือน. ฝ่ายอุบาสิกาก็ยืน
พิงบัลลังก์สำหรับนอน. ลำดับนั้น ภิกษุถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรรูปหนึ่ง
ยืนที่ใกล้ประตู เห็นเข้า ได้ความสำคัญว่า พระเถระนั่งบนอาสนะเดียว
กันกับอุบาสิกา จึงมองดูบ่อย ๆ. แม้พระเถระก็กำหนดรู้ว่า ภิกษุรูปนี้
เกิดเป็นผู้มีความเข้าใจในเราว่าไม่บริสุทธิ์ ทำภัตกิจแล้วไปยังวิหาร เข้า
ไปสู่ที่อยู่ของตนแล้วนั่งอยู่ ภายในนั่นเอง. ภิกษุรูปนั้นมาแล้วด้วย
ตั้งใจว่า เราจักโจทพระเถระ กระแอมแล้วเปิดประตู. พระเถระทราบ
จิตของเธอ จึงเหาะขึ้นบนอากาศ นั่งโดยบัลลังก์พิงช่อฟ้าเรือนยอด.
แม้ภิกษุนั้นเข้าไปภายใน ตรวจดูเตียงและภายใต้เตียงไม่เห็นพระเถระ
จึงแหงนดูเบื้องบน ลำดับนั้น ท่านเห็นพระเถระนั่งอยู่บนอากาศ จึง
กล่าวว่า ท่านขอรับ ! ท่านชื่อว่า มีฤทธิ์มากอย่างนี้ ขอจงให้บอกความ
ที่ท่านนั่งบนอาสนะเดียวกับมาตุคามมาก่อนเถิด. พระเถระจึงกล่าวว่า
ท่านผู้มีอายุ ! นี้เป็นโทษของละแวกบ้าน แต่เราไม่อาจให้ท่านเชื่อได้
จึงได้กระทำอย่างนี้, ท่านควรจะช่วยรักษาเราไว้ด้วย, พระเถระกล่าวอย่าง
นี้แล้วก็ลง.
ต่อจากนี้ไป คำว่า สา เจ เอวํ วเทยฺย เป็นต้นทั้งหมด
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส เพื่อแสดงอาการแห่งเหตุของการปฏิญญา.

[พึงปรับอาบัติตามปฏิญญาของภิกษุ]


บรรดาบทเหล่านั้น หลายบทว่า มาตุคามสฺส เมถุนํ ธมฺมํ
ปฏิเสวนฺโต
มีความว่า ผู้เสพเมถุนธรรมในมรรคของมาตุคาม.