เมนู

สองบทว่า อลชฺชิโน ปาปภิกฺขู ได้แก่ เป็นพวกภิกษุลามก ไม่มี
ความละอาย เพราะว่า ภิกษุอัสสชิและปุนัพพสุกะเหล่านั้น เป็นภิกษุ
ฉัพพัคคีย์ชั้นหัวหน้า แห่งภิกษุฉัพพัคคีย์ทั้งหลาย.

[ประวัติพวกภิกษุฉัพพัคคีย์]


ได้ยินว่า ชน 6 คน1 ในกรุงสาวัตถีเป็นสหายกัน ปรึกษากันว่า
การกสิกรรมเป็นต้นเป็นการงานที่ลำบาก, เอาเถิด สหายทั้งหลาย !
พวกเราจะพากันบวช, และพวกเราเมื่อจะบวช ควรบวชในฐานผู้ช่วย
สลัดออกเสียในเมื่อมีกิจการเกิดขึ้น2 ดังนี้แล้ว ได้บวชในสำนักแห่ง
พระอัครสาวกทั้งสอง. พวกเธอมีพรรษาครบ 5 พรรษา ท่องมาติกาได้
คล่องแล้ว ปรึกษากันว่า ธรรมดาว่าชนบท บางคราว ก็มีภิกษาสมบูรณ์
บางคราว มีภิกษาฝืดเคือง, พวกเราอย่าอยู่รวมในที่แห่งเดียวกันเลย
จงแยกกันอยู่ในที่ 3 แห่ง.
ลำดับนั้น พวกเธอจึงกล่าวกะภิกษุชื่อบัณฑุกะและโลหิตกะว่า ท่าน
ผู้มีอายุทั้งหลาย ! ขึ้นชื่อว่ากรุงสาวัตถี มีตระกูลห้าล้านเจ็ดแสนตระกูล
อยู่ครอบครอง เป็นปากทางแห่งความเจริญของแคว้นกาสีและโกศล
ทั้งสอง กว้างประมาณ 300 โยชน์ ประดับด้วยหมู่บ้าน 8 หมื่นตำบล,
พวกท่านจงให้สร้างสำนัก ในสถานที่ใกล้ ๆ กรุงสาวัตถีนั้นนั่นแล แล้ว
ปลูกมะม่วง ขนุน และมะพร้าวเป็นต้น สงเคราะห์ตระกูลด้วยดอก
และผลไม้เหล่านั้น ให้พวกเด็กหนุ่มของตระกูลบวชแล้วขยายบริษัทให้
เจริญเถิด.
1. 6 คน คือ ปัณฑกะ 1 โลหิตกะ 1 เมตติยะ 1 ภุมมชกะ 1 อัสสชิ 1 ปุนัพพสุกะ 1
บวชแล้ว เรียกว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์ แปลว่า มีพวก 6.
2. นิตฺถเรณกฏฺฐาเนติ อุปฺปนฺนกิจฺจสฺส นิปฺผาทนฏฺฐาเนติ โยชนาปาโฐ ฯ 1/453.

กล่าวกะพวกภิกษุชื่อว่าเมตติยะและภุมมชกะว่า ท่านผู้มีอายุ ! ชื่อว่า
กรุงราชคฤห์มีพวกมนุษย์ 18 โกฎิ อยู่ครอบครอง เป็นปากทางแห่ง
ความเจริญของแคว้นอังคะและมคธทั้งสอง กว้าง 3 โยชน์ ประดับด้วย
หมู่บ้าน 8 หมื่นตำบล, พวกท่านจงให้สร้างสำนักในที่ใกล้ ๆ กรุงราชคฤห์
นั้นแล้ว ปลูกมะม่วง ขนุน และมะพร้าวเป็นต้น สงเคราะห์ตระกูล
ด้วยดอกและผลไม้เหล่านั้น ให้พวกเด็กหนุ่มของตระกูลบวชแล้ว ขยาย
บริษัทให้เจริญเถิด.
กล่าวกะพวกภิกษุชื่อว่าอัสสชิและปุนัพพสุกะว่า ท่านผู้มีอายุ !
ขึ้นชื่อว่ากิฏาคีรีชนบท อันเมฆ (ฝน) 2 ฤดูอำนวยแล้ว ย่อมได้ข้าวกล้า
3 คราว, พวกท่านจงให้สร้างสำนัก ในที่ใกล้ ๆ กิฎาคีรีชนบทนั้น
นั่นแล ปลูกมะม่วง ขนุน และมะพร้าวเป็นต้นไว้ สงเคราะห์ตระกูล
ด้วยดอกและผลไม้เหล่านั้น ให้พวกเด็กหนุ่มของตระกูลบวชแล้วขยาย
บริษัทให้เจริญเถิด.
พวกภิกษุฉัพพัคคีย์เหล่านั้น ได้กระทำอย่างนั้น บรรดาพวกภิกษุ
ฉัพพัคคีย์เหล่านั้น แต่ละฝ่าย มีภิกษุเป็นบริวาร ฝ่ายละ 500 รูป รวม
เป็นจำนวนภิกษุ 1,500 รูปกว่า ด้วยประการอย่างนี้.
บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุชื่อปัณฑุกะและโลหิตกะ พร้อม
ทั้งบริวารเป็นผู้มีศีลแล เที่ยวไปยังชนบทเป็นที่จาริกร่วมเสด็จกับพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า. พวกเธอไม่ก่อให้เกิดเรื่องใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีใครทำ,
แต่ชอบย่ำยีสิกขาบทที่ทรงบัญญัติแล้ว. ส่วนพวกภิกษุฉัพพัคคีย์นอกนี้
ทั้งหมดเป็นอลัชชี ย่อมก่อให้เกิดเรื่องใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีใครทำด้วย

ย่อมพากันย่ำยีสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้แล้วด้วย. เพราะเหตุนั้น พระธรรม-
สังคาหกะทั้งหลายจึงกล่าวว่า อลชฺชิโน ปาปภิกิขู ดังนี้.
บทว่า เอวรูปํ ได้แก่ มีกำเนิดอย่างนี้.
สองบทว่า อนาจารํ อาจรนฺติ ความว่า ย่อมประพฤติล่วงมารยาท
ที่ไม่ควรประพฤติ คือกระทำสิ่งที่ไม่ควรกระทำ.
บทว่า มาลาวจฺฉํ ได้แก่ ต้นไม้มีดอกตูม (กอไม้ดอก).
จริงอยู่ ต้นไม้ดอกก็ดี กอไม้ดอกก็ดี ที่ดอกยังตูม ท่านเรียกว่า
กอไม้ดอกทั้งนั้น. ก็ภิกษุเหล่านั้น ปลูกเองบ้าง ให้คนอื่นปลูกบ้าง
ซึ่งกอไม้ดอกมีชนิดต่าง ๆ กันมากมาย. ด้วยเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกะ
ทั้งหลายจงกล่าวว่า มาลาวจฺฉํ โรเปนฺติปิ โรปาเปนฺติปิ ดังนี้.
บทว่า สิญฺจนฺติ ได้แก่ ย่อมรดน้ำเองบ้าง.
บทว่า สิญฺจาเปนฺติ ได้แก่ ย่อมใช้ให้คนอื่นรดบ้าง.

[อธิบายลักษณะ 5 มีอกัปปิยโวหารเป็นต้น]


ก็ในอธิการนี้ ผู้ศึกษาพึงทราบลักษณะ 5 อย่าง เหล่านี้ คือ
อกัปปิยโวหาร 1 กัปปิยโวหาร 1 ปริยาย 1 โอภาส 1 นิมิตกรรม 1
บรรดาลักษณะ 5 เหล่านั้น ที่มีชื่อว่า อกัปปิยโวหาร ได้แก่ การตัดเอง
การใช้ให้ตัดจำพวกของสดเขียว, การขุดเอง การใช้ให้ขุดหลุม, การ
ปลูกเอง การใช้ให้ปลูกกอไม้ดอก, การก่อเอง การใช้ให้ก่อคันกั้น,
การรดน้ำเอง การใช้ให้รดน้ำ, การทารางน้ำให้ตรงไป การรดน้ำที่เป็น
กัปปิยะ การรดด้วยน้ำล้างมือล้างหน้าล้างเท้าและน้ำอาบ.
ที่ชื่อว่า กัปปิยโวหาร ได้แก่ คำว่า จงรู้ต้นไม้นี้, จงรู้หลุมนี้,
จงรู้กอไม้ดอกนี้, จงรู้น้ำในที่นี้ และการทำรางน้ำที่แห้งให้ตรง.