เมนู

กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่า กรรมไม่เป็นธรรม ไม่สละเสีย
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่า กรรมเป็นธรรม ต้องอาบัติ
ทุกกฏ
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่า กรรมไม่เป็นธรรม ต้องอาบัติ
ทุกกฏ.

อนาปัตติวาร


[613] ภิกษุผู้ยังไม่ถูกสวดสมนุภาส 1 ภิกษุผู้สละเสียได้ 1 ภิกษุ
วิกลจริต 1 ภิกษุอาทิกัมมิกะ 1 ไม่ต้องอาบัติแล.
สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ 12 จบ

สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ 12


ทุพพจสิกขาบทวรรณนา


ทุพพจสิกขาบทว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา เป็นต้น ข้าพเจ้า
จะกล่าวต่อไป:- ในทุพพจสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยดังนี้:-

[แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องพระฉันนะ]


สองบทว่า อนาจารํ อาจรติ มีความว่า ย่อมกระทำการล่วงละเมิด
ทางกายทวารและวจีทวาร มีอเนกประการ.

คำว่า กึ นุ โข นาม นี้ เป็นการกล่าวข่ม (ผู้อื่น).
คำว่า อหํ โข นาม เป็นคำยก (ตน).
ด้วยคำว่า ตุมฺเห วเทยฺย ท่านแสดงว่า เราควรจะว่ากล่าวพวก
ท่านว่า พวกท่าน จงกระทำอย่างนี้ อย่ากระทำอย่างนี้.
หากผู้ถามจะถามว่า เพราะเหตุไร ?
ตอบว่า เพราะพระฉันนะกล่าวหมายเอาความประสงค์เป็นต้น
อย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ทรงม้ากัณฐกะเสด็จออกพร้อมกับ
เรา ทรงผนวชแล้ว. ครั้นกล่าวว่า พระธรรมของเราแล้ว เมื่อจะแสดง
ยุติในความเป็นของ ๆ คนอีก จึงกล่าวว่า พระธรรมนี้ พระลูกเจ้าของ
เรา ได้ตรัสรู้แล้ว ดังนี้. มีคำอธิบายว่า เพราะว่า สัจจธรรม 4 อัน
พระลูกเจ้าของเราแทงตลอดแล้ว; ฉะนั้น แม้พระธรรมก็เป็นของเรา.
แต่สำคัญพระสงฆ์ว่า ตั้งอยู่ในฝักฝ่ายแห่งคนคู่เวรของตน จึงไม่กล่าวว่า
พระสงฆ์ของเรา. แค่ใคร่จะกล่าวเปรียบเปรยรุกรานสงฆ์ จึงกล่าวคำ
เป็นต้นว่า เสยฺยถาปิ นาม ดังนี้.
บทว่า ติณกฏฺฐปณฺณสฏํ ได้แก่ หญ้า ไม้ และใบไม้แห้งที่ร่วง
หล่นตกไปในสถานที่นั้น ๆ. อีกอย่างหนึ่ง หญ้าด้วย ไม้เบาไม่มีแก่น
ด้วย; เหตุนั้น จึงชื่อว่า หญ้าและไม้. ใบไม้แห้ง ชื่อว่า ปัณณสฏะ.
บทว่า อุสฺสาเทยฺย ได้แก่ พัดไปกองรวมไว้.
บทว่า ปพฺพเตยฺย ได้แก่ เกิดจากภูเขา. จริงอยู่ แม่น้ำนั้นมี
กระแสอันเชี่ยว; เพราะฉะนั้น ท่านจึงระบุเอาแต่แม่น้ำนั้นเท่านั้น.
ในคำว่า สงฺขเสวาลปณกํ น มีวินิจฉัยดังนี้:-
สาหร่ายที่มีใบ มีรากยาว เรียกว่า จอก. สาหร่ายสีเขียว เรียกว่า

สาหร่าย. สาหร่ายที่เหลือ มีตะไคร้น้ำและแหนเป็นต้น แม้ทั้งหมด
ถึงการนับว่า แหน.
ด้วยคำว่า เอกโต อุสฺสาทิตา ท่านแสดงว่า แม้อันใครๆ ประมวล
มาแล้ว คือทำเป็นกองไว้ในที่เดียวกัน.
บทว่า ทุพฺพจชาติโก ได้แก่ มีภาวะแห่งบุคคลผู้ว่ายาก. อธิบายว่า
ผู้อันใคร ๆ ไม่อาจว่ากล่าวได้. แม้ในบทภาชนะแห่งบทว่า ทุพฺพจชาติโก
นั้น บทว่า ทุพฺพโจ ได้แก่ ผู้อันเขากล่าวสอนได้โดยยาก คือโดยลำบาก.
มีคำอธิบายว่า อันใคร ๆ ไม่อาจว่ากล่าวได้โดยง่าย.
บทว่า โทวจสฺสกรเณหิ คือ (ด้วยธรรม) อันกระทำความเป็น
ผู้ว่ายาก. อธิบายว่า ก็ธรรมทั้งหลายเหล่าใด ย่อมทำบุคคลให้เป็นผู้ว่า
ยาก, เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมเหล่านั้น.
ก็บัณฑิตพึงทราบธรรมเหล่านั้น มี 19 อย่าง คือความเป็นผู้มี
ความปรารถนาลามก 1 ความยกตนข่มผู้อื่น 1 ความเป็นคนมักโกรธ 1
ความผูกโกรธ เพราะความโกรธเป็นเหตุ 1 ความเป็นผู้มักระแวงเพราะ
ความโกรธเป็นเหตุ 1 ความเป็นผู้เปล่งวาจาใกล้ต่อความโกรธเพราะ
ความโกรธเป็นเหตุ 1 ความกลับเป็นผู้โต้เถียงโจทก์ 1 ความเป็นผู้กลับ
รุกรานโจทก์ 1 ความเป็นผู้กลับปรักปรำโจทก์ 1 ความกลบเรื่องอื่น
ด้วยเรื่องอื่น 1 ความเป็นผู้ไม่พอใจตอบด้วยความประพฤติ 1 ความเป็น
ผู้ลบหลู่ตีเสมอ 1 ความเป็นคนริษยาเป็นคนตระหนี่ 1 ความเป็นคนโอ้
อวดเจ้ามายา 1 ความเป็นคนกระด้างดูหมิ่นผู้อื่น 1 ความเป็นคนถือแต่
ความเห็นของตน 1 ความเป็นคนถือรั้น 1 ความเป็นผู้ถอนได้ยาก 1
* มีเพียง 8 แม้ในอนุมานสูตร ก็มีเพียง 16. ม. มู. 12/189.

อันมาแล้วในอนุมานสูตรตามลำดับ โดยนัยมีว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !
ก็ธรรมอันทำความเป็นคนว่ายากเหล่าไหน ? ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ! ภิกษุ
ในศาสนานี่เป็นผู้มีความปรารถนาลามก ดังนี้ เป็นต้น.
ผู้ใด ไม่อด ไม่ทนโอวาท, เพราะเหตุนั้น ผู้นั้น ชื่อว่า อักขมะ.
ผู้ใด เมื่อไม่ปฏิบัติ ตามที่ท่านพร่ำสอน ไม่รับอนุสาสนีโดยเบื้องขวา;
เพราะเหตุนั้น ผู้นั้น ชื่อว่า มีปกติไม่รับโดยเบื้องขวาซึ่งอนุสาสนี.
บทว่า อุทฺเทสปริยาปนฺเนสุ ได้แก่ นับเนื่องในอุเทศ คือรวมลง
ในภายใน. ความว่า เป็นไปภายในปาฏิโมกขุทเทส เพราะท่านสงเคราะห์
อย่างนี้ว่า อาบัติ มีแก่ท่านผู้ใด, ท่านผู้นั้นพึงเปิดเผย.
สองบทว่า สหธมฺมิกํ วุจฺจมาโน ได้แก่ อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าว
อยู่โดยชอบสหธรรม. นี้เป็นทุติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งตติยาวิภัตติ. อธิบาย
ว่า อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่ ด้วยสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ
ไว้ อันได้นามว่า สหธรรมิก เพราะเป็นสิกขาอันสหธรรมิก 5 พึง
ศึกษา หรือเพราะเป็นของสหธรรมิก 5 เหล่านั้น .
คำว่า วิรมถายสฺสนฺโต มม วจนาย มีความว่า พวกท่านว่ากล่าว
ข้าพเจ้าด้วยคำใด, จงเลิกจากคำนั้น ตามคำของข้าพเจ้า. มีคำอธิบายว่า
พวกท่าน จงอย่ากล่าวคำนั้นกะข้าพเจ้า.
คำว่า วเทตุ สหธมฺเมน มีความว่า ท่านผู้มีอายุ จงว่ากล่าวด้วย
สิกขาบทอัน เป็นสหธรรม หรือด้วยคำแม้อื่นอันเป็นสหธรรม คือเป็นไป
เพื่อความเลื่อมใส.
ศัพท์ว่า ยทิทํ เป็นนิบาต ลงในอรรถ คือแสดงเห็นแห่งความ
เจริญ. ด้วยคำว่า ยทิทํ นั้น ย่อมเป็นอันท่านแสดงเหตุแห่งความเจริญ

ของบริษัทอย่างนี้ว่า การพูดแนะประโยชน์แก่กันและกัน และการยังกัน
และกันให้ออกจากอาบัตินี้ใด, บริษัทเจริญแล้ว ด้วยการว่ากล่าวกันและ
ด้วยการยังกันและกันให้ออกจากอาบัตินั้น. คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้น
ทั้งนั้น. แม้สมุฏฐานเป็นต้น ก็เป็นเช่นกับปฐมสังฆเภทสิกขาบท
นั้นแล.
ทุพพจสิกขาบทวรรณนา จบ

สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ 13


เรื่องภิกษุพวกพระอัสสชิ และพระปุนัพพสุกะ


[614] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น
ภิกษุพวกพระอัสสชิ และพระปุนัพพสุกะ เป็นเจ้าถิ่นในชนบทกิฏาคีรี
เป็นภิกษุอลัชชี ชั่วช้า ภิกษุพวกนั้นประพฤติอนาจารเห็นปานดังนี้ คือ
ปลูกต้นไม้ดอกเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นปลูกบ้าง รดน้ำเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่น
รดบ้าง เก็บดอกไม้เองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นเก็บบ้าง ร้อยกรองดอกไม้เองบ้าง
ใช้ให้ผู้อื่นร้อยกรองบ้าง ทำมาลัยต่อก้านเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำ
มาลัยเรียงก้านเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้ช่อเองบ้าง ใช้ให้
ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้พุ่มเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้เทริด
เองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้พวงเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง
ทำดอกไม้แผงสำหรับประดับอกเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ภิกษุพวกนั้น
นำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งมาลัยต่อก้าน นำไปเองบ้าง ใช้