พระสุตตันตปิฎก
เล่ม 14
อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ปฐมปัณณาสก์
เสขพลวรรคที่ 1
1. สังขิตตสูตร
[1] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถ
บิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย กำลังของเสขบุคคล 5 ประการ5 ประการเป็นไฉน คือ กำลัง คือ ศรัทธา
กำลัง คือ หิริ กำลัง คือ โอตตัปปะกำลัง คือ วิริยะ กำลัง คือ ปัญญา ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย กำลังของเสขบุคคล 5ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละ เธอ
ทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า พวกเราจักเป็นผู้ประกอบด้วยกำลัง คือ ศรัทธา กำลัง คือ หิริ
กำลังคือ โอตตัปปะ กำลัง คือ วิริยะ กำลัง คือ ปัญญา อันเป็นกำลังของพระเสขบุคคล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ
จบสูตรที่ 1
2. วิตถตสูตร
[2] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กำลังของเสขบุคคล 5 ประการนี้ 5 ประการนี้เป็นไฉน
คือ กำลัง คือ ศรัทธา กำลัง คือ หิริ กำลัง คือ โอตตัปปะ กำลัง คือ วิริยะ กำลัง
คือ ปัญญา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กำลัง คือ ศรัทธาเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวก
ในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศรัทธา ย่อมเชื่อพระปัญญาเครื่องตรัสรู้ของตถาคตว่า แม้เพราะเหตุ
นี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชา
และจรณะ เสด็จไปดีแล้วทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นจะยิ่งกว่า
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม นี้เรียกว่า
กำลังคือ ศรัทธา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กำลัง คือ หิริเป็นไฉน อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้มีหิริ ย่อมละอายต่อกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ย่อมละอายต่อการประกอบธรรม
อันเป็นบาปอกุศล นี้เรียกว่ากำลัง คือ หิริ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กำลัง คือ โอตตัปปะเป็น
ไฉน อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีโอตตัปปะ ย่อมสะดุ้งกลัวต่อกายทุจริต วจีทุจริต
มโนทุจริต ย่อมสะดุ้งกลัวต่อการประกอบธรรมอันเป็นบาปอกุศล นี้เรียกว่ากำลัง คือ โอต
ตัปปะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กำลัง คือวิริยะเป็นไฉน อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อม
ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรมทั้งหลาย เพื่อยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม เป็นผู้มีกำลัง
มีความบากบั่นมั่นคงไม่ทอดทิ้งธุระในกุศลธรรม นี้เรียกว่า กำลัง คือ วิริยะ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ก็กำลัง คือ ปัญญาเป็นไฉน อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีปัญญา ประกอบ
ด้วยปัญญาเครื่องหยั่งถึงความเกิดขึ้นและดับ เป็นอริยะ ชำแรกกิเลสเป็นเครื่องให้ถึงความสิ้น
ไปแห่งทุกข์โดยชอบ นี้เรียกว่ากำลัง คือ ปัญญา ดูกรภิกษุทั้งหลายกำลังของพระเสขบุคคล
5 ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละเธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
พวกเราจักเป็นผู้ประกอบด้วยกำลัง คือ ศรัทธากำลัง คือ หิริ กำลัง คือ โอตตัปปะ
กำลัง คือ วิริยะ กำลัง คือ ปัญญา อันเป็นกำลังของพระเสขบุคคล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอ
ทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ
จบสูตรที่ 2
3. ทุกขสูตร
[3] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 5 ประการ ย่อมอยู่เป็นทุกข์
มีความเดือดร้อน คับแค้น เร่าร้อนในปัจจุบัน เมื่อแตกกายตายไปพึงหวังได้ทุคติ ธรรม 5
ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ไม่มีศรัทธา 1 ไม่มีหิริ 1 ไม่มีโอตตัปปะ 1
เกียจคร้าน 1 มีปัญญาทราม 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 5 ประการนี้แล
ย่อมอยู่เป็นทุกข์ มีความเดือดร้อน คับแค้น เร่าร้อนในปัจจุบัน เมื่อแตกกายตายไปพึงหวัง
ได้ทุคติ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 5 ประการ ย่อมอยู่เป็นสุขไม่เดือดร้อน
ไม่คับแค้น ไม่เร่าร้อนในปัจจุบัน เมื่อแตกกายตายไปพึงหวังได้สุคติ ธรรม 5 ประการเป็น
ไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศรัทธา 1มีหิริ 1 มีโอตตัปปะ 1 ปรารภความเพียร 1
มีปัญญา 1 ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 5 ประการนี้แล ย่อมอยู่เป็นสุข
ไม่เดือดร้อน ไม่คับแค้น ไม่เร่าร้อนในปัจจุบัน เมื่อแตกกายตายไปพึงหวังได้สุคติ ฯ
จบสูตรที่ 3
4. ภตสูตร
[4] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 5 ประการ ย่อมถูกนำมาทิ้งไว้ใน
นรก เหมือนสิ่งของที่เขานำมาทิ้งไว้ฉะนั้น ธรรม 5 ประการเป็นไฉนคือ ภิกษุในธรรมวินัย
นี้ เป็นผู้ไม่มีศรัทธา 1 ไม่มีหิริ 1 ไม่มีโอตตัปปะ 1เกียจคร้าน 1 มีปัญญาทราม 1 ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 5ประการนี้แล ย่อมถูกนำมาทิ้งไว้ในนรก เหมือน
สิ่งของที่เขานำมาทิ้งไว้ฉะนั้นดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 5 ประการ ย่อม
เป็นผู้ได้รับเชิญมาไว้บนสวรรค์ เหมือนสิ่งของที่เขานำมาวางไว้ฉะนั้น ธรรม 5 ประการเป็นไฉน
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศรัทธา 1 มีหิริ 1 มีโอตตัปปะ 1 ปรารภความเพียร 1
มีปัญญา 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 5 ประการนี้แลย่อมเป็นผู้ได้รับเชิญมา
ไว้บนสวรรค์ เหมือนสิ่งของที่เขานำมาวางไว้ฉะนั้น ฯ
จบสูตรที่ 4
5. สิกขสูตร
[5] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหรือภิกษุณีบางรูป ลาสิกขาสึกออกมาเป็นคฤหัสถ์
เธอย่อมถึงฐานะอันน่าติเตียน ซึ่งถูกกล่าวหาอันชอบแก่เหตุ 5ประการในปัจจุบัน 5 ประการ
เป็นไฉน คือ ท่านไม่มีแม้ศรัทธาในกุศลธรรม 1ไม่มีแม้หิริในกุศลธรรม 1 ไม่มีแม้
โอตตัปปะในกุศลธรรม 1 ไม่มีแม้ความเพียรในกุศลธรรม 1 ไม่มีแม้ปัญญาในกุศลธรรม 1
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหรือภิกษุณีบางรูป ลาสิกขาสึกออกมาเป็นคฤหัสถ์ เธอย่อมถึงฐานะอัน
น่าติเตียน ซึ่งถูกกล่าวหาอันชอบแก่เหตุ 5 ประการนี้แลในปัจจุบัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
หรือภิกษุณีบางรูป แม้มีทุกข์ โทมนัส มีหน้านองด้วยน้ำตา ร้องไห้อยู่ ย่อมประพฤติพรหมจรรย์
ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ เธอย่อมถึงฐานะอันน่าสรรเสริญที่ชอบแก่เหตุ 5 ประการในปัจจุบัน
5 ประการเป็นไฉน คือ เธอมีศรัทธาในกุศลธรรม 1มีหิริในกุศลธรรม 1 มีโอตตัปปะ
ในกุศลธรรม 1 มีความเพียรในกุศลธรรม 1มีปัญญาในกุศลธรรม 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
หรือภิกษุณีบางรูป แม้มีทุกข์โทมนัส มีหน้านองด้วยน้ำตา ร้องไห้อยู่ ย่อมประพฤติพรหมจรรย์
ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เธอย่อมถึงฐานะอันน่าสรรเสริญที่ชอบแก่เหตุ 5 ประการนี้แลในปัจจุบัน ฯ
จบสูตรที่ 5
6. สมาปัตติสูตร
[6] ดูกรภิกษุทั้งหลาย การถึงอกุศลย่อมไม่มี ตลอดเวลาที่ศรัทธาในกุศลธรรม
ยังตั้งมั่นอยู่ แต่เมื่อใด ศรัทธาเสื่อมหายไป อัสสัทธิยะ (ความไม่เชื่อ)ย่อมกลุ้มรุม เมื่อนั้น
การถึงอกุศลย่อมมี การถึงอกุศลย่อมไม่มีตลอดเวลาที่หิริในกุศลธรรมยังตั้งมั่นอยู่ แต่เมื่อใด
หิริเสื่อมหายไป อหิริกะ (ความไม่ละอาย) ย่อมกลุ้มรุม เมื่อนั้น การถึงอกุศลย่อมมี การถึง
อกุศลย่อมไม่มีตลอดเวลาที่โอตตัปปะในกุศลธรรมยังตั้งมั่นอยู่ แต่เมื่อใด โอตตัปปะเสื่อม
หายไป อโนตตัปปะ (ความไม่สะดุ้งกลัว) ย่อมกลุ้มรุม เมื่อนั้น การถึงอกุศลย่อมมี การ
ถึงอกุศลย่อมไม่มีตลอดเวลาที่วิริยะในกุศลธรรมยังตั้งมั่นอยู่ แต่เมื่อใด โอตตัปปะเสื่อมหาย
ไป อโนตตัปปะ (ความไม่สะดุ้งกลัว) ย่อมกลุ้มรุมเมื่อนั้น การถึงอกุศลย่อมมี การถึง
อกุศลย่อมไม่มีตลอดเวลาที่วิริยะในกุศลธรรมยังตั้งมั่นอยู่ แต่เมื่อใด วิริยะเสื่อมหายไป
โกสัชชะ (ความเกียจคร้าน)ย่อมกลุ้มรุม เมื่อนั้น การถึงอกุศลย่อมมี การถึงอกุศลย่อมไม่มี
ตลอดเวลาที่ปัญญายังตั้งมั่นอยู่ แต่เมื่อใด ปัญญาเสื่อมหายไป ปัญญาทรามย่อมกลุ้มรุม
เมื่อนั้นการถึงอกุศลย่อมมี ฯ
จบสูตรที่ 6
7. กามสูตร
[7] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โดยมากสัตว์ทั้งหลาย หมกมุ่นอยู่ในกาม กุลบุตรผู้ละ
เคียวและคานหาบหญ้าออกบวชเป็นบรรพชิต ควรเรียกว่าเป็นกุลบุตรผู้มีศรัทธาออกบวช ข้อนั้น
เพราะเหตุไร เพราะเขาควรได้กามด้วยความเป็นหนุ่มและกามเหล่านั้นก็มีอยู่ตามสภาพ คือ
เลว ปานกลางและประณีต กามทั้งหมดก็ถึงการนับได้ว่าเป็นกามทั้งนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนเด็กอ่อนนอนหงาย พึงเอาชิ้นไม้หรือชิ้นกระเบื้องใส่เข้าไปในปาก เพราะความ
พลั้งเผลอของพี่เลี้ยง พี่เลี้ยงพึงสนใจในเด็กนั้นทันที แล้วรีบนำเอาชิ้นไม้หรือชิ้นกระเบื้อง
ออกโดยเร็ว ถ้าไม่สามารถนำออกโดยเร็วได้ ก็พึงเอามือซ้ายจับ งอนิ้วมือข้างขวาแล้วแยง
เข้าไปนำออกมาทั้งที่มีโลหิต ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าจะมีความลำบากแก่เด็ก เราไม่กล่าว
ว่า ไม่มีความลำบาก และพี่เลี้ยงผู้หวังประโยชน์ มุ่งความสุขอนุเคราะห์ พึงกระทำอย่างนั้น
ด้วยความอนุเคราะห์ แต่เมื่อใด เด็กนั้นเจริญวัย มีปัญญาสามารถ เมื่อนั้น พี่เลี้ยงก็วางใจ
ในเด็กนั้นได้ว่า บัดนี้ เด็กมีความสามารถรักษาตนเองได้แล้ว ไม่ควรพลั้งพลาด ฉันใด ภิกษุ
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเป็นผู้ที่เราต้องรักษาเธอ ตลอดเวลาที่เธอยังไม่กระทำด้วยศรัทธาใน
กุศลธรรม ไม่กระทำด้วยหิริในกุศลธรรม ไม่กระทำด้วยโอตตัปปะในกุศลธรรม ไม่กระทำด้วย
วิริยะในกุศลธรรม ไม่กระทำด้วยปัญญาในกุศลธรรม แต่เมื่อใด ภิกษุกระทำด้วยศรัทธาใน
กุศลธรรม กระทำด้วยหิริในกุศลธรรม กระทำด้วยโอตตัปปะในกุศลธรรมกระทำด้วยวิริยะใน
กุศลธรรม กระทำด้วยปัญญาในกุศลธรรม เมื่อนั้น เราก็ย่อมวางใจในเธอได้ว่า บัดนี้ ภิกษุ
มีความสามารถรักษาตนเองได้แล้ว ไม่ควรประมาท ฯ
จบสูตรที่ 7
8. จวนสูตร
[8] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 5 ประการ ย่อมเคลื่อน ไม่ตั้งมั่น
ในพระสัทธรรม ธรรม 5 ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุผู้ไม่มีศรัทธาย่อมเคลื่อน ไม่ตั้งมั่นใน
พระสัทธรรม ภิกษุผู้ไม่มีหิริ ... ภิกษุผู้ไม่มีโอตตัปปะ ... ภิกษุผู้เกียจคร้าน ... ภิกษุผู้มีปัญญา
ทราม ย่อมเคลื่อน ไม่ตั้งมั่นในพระสัทธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 5
ประการนี้แลย่อมเคลื่อน ไม่ตั้งมั่นในพระสัทธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วย
ธรรม5 ประการ ย่อมไม่เคลื่อน ย่อมตั้งมั่นในพระสัทธรรม ธรรม 5 ประการเป็นไฉน คือ
ภิกษุผู้มีศรัทธา ย่อมไม่เคลื่อน ย่อมตั้งมั่นในพระสัทธรรม ภิกษุผู้มีหิริ ...ภิกษุผู้มีโอตตัปปะ ...
ภิกษุผู้ปรารภความเพียร ... ภิกษุผู้มีปัญญา ย่อมไม่เคลื่อนย่อมตั้งมั่นในพระสัทธรรม ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 5 ประการนี้แล ย่อมไม่เคลื่อน ย่อมตั้งมั่นใน
พระสัทธรรม ฯ
จบสูตรที่ 8
9. อคารวสูตรที่ 1
[9] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 5 ประการ เป็นผู้ไม่มีที่เคารพ
ไม่มีที่ยำเกรง ย่อมเคลื่อน ไม่ตั้งมั่นในพระสัทธรรม ธรรม 5 ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุ
ผู้ไม่มีศรัทธา เป็นผู้ไม่มีที่เคารพ ไม่มีที่ยำเกรง ย่อมเคลื่อนไม่ตั้งมั่นในพระสัทธรรม ภิกษุ
ผู้ไม่มีหิริ ... ภิกษุผู้ไม่มีโอตตัปปะ ... ภิกษุผู้เกียจคร้าน ... ภิกษุผู้มีปัญญาทราม เป็นผู้ไม่มีที่เคารพ
ไม่มีที่ยำเกรง ย่อมเคลื่อนไม่ตั้งมั่นในพระสัทธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วย
ธรรม 5 ประการนี้แล เป็นผู้ไม่มีที่เคารพ ไม่มีที่ยำเกรง ย่อมเคลื่อน ไม่ตั้งมั่นในพระสัทธรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม 5 ประการ เป็นผู้มีที่เคารพ มีที่ยำเกรงย่อมไม่
เคลื่อน ย่อมตั้งมั่นในพระสัทธรรม ธรรม 5 ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุผู้มีศรัทธา เป็นผู้