พระสุตตันตปิฎก
เล่ม 7
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เทวตาสังยุต
นฬวรรคที่ 1
โอฆตรณสูตรที่ 1
[1] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของ ท่านอนาถบิณฑิก
เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้วเทวดาองค์หนึ่ง มีวรรณงาม
ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปเฝ้าพระผู้มี พระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว
ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
[2] เทวดานั้น ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลคำนี้ กะพระผู้มีพระภาค
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ไม่มีทุกข์ ข้าพระองค์ขอทูลถาม พระองค์ ข้ามโอฆะได้อย่างไร ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ท่านผู้มีอายุ เราไม่พักอยู่ ไม่เพียรอยู่ ข้ามโอฆะได้แล้ว ฯ
ท. ข้าแต่พระองค์ผู้ไม่มีทุกข์ ก็พระองค์ไม่พักไม่เพียร ข้ามโอฆะได้ อย่างไรเล่า ฯ
พ. ท่านผู้มีอายุ เมื่อใด เรายังพักอยู่ เมื่อนั้น เรายังจมอยู่โดยแท้ เมื่อใดเรา
ยังเพียรอยู่ เมื่อนั้น เรายังลอยอยู่โดยแท้ ท่านผู้มีอายุ เราไม่พัก เรา ไม่เพียร ข้ามโอฆะได้แล้ว
อย่างนี้แล ฯ
เทวดานั้นกล่าวคาถานี้ว่า
นานหนอ ข้าพเจ้าจึงจะเห็นขีณาสวพราหมณ์ผู้ดับรอบแล้ว ไม่พักอยู่
ไม่เพียรอยู่ ข้ามตัณหาเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวในโลก ฯ
[3] เทวดานั้นกล่าวคำนี้แล้ว พระศาสดาทรงอนุโมทนา ครั้งนั้นแล เทวดานั้นดำริ
ว่า พระศาสดาทรงอนุโมทนาคำของเรา จึงถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วก็หาย
ไป ณ ที่นั้นแล ฯ
นิโมกขสูตรที่ 2
[4] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก
เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้วเทวดาองค์หนึ่ง มีวรรณ
งาม ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ครั้นแล้วจึงถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
[5] เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กราบทูล คำนี้กะ
พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ไม่มีทุกข์ พระองค์ย่อมทรงทราบมรรคเป็นทางหลีกพ้น
ผลเป็นความหลุดพ้น นิพพานเป็นที่สงัด ของสัตว์ทั้งหลาย หรือหนอ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ท่านผู้มีอายุ เรารู้จักมรรคเป็นทางหลีกพ้นผลเป็นความ
หลุดพ้น นิพพานเป็นที่สงัด ของสัตว์ทั้งหลายโดยแท้จริง ฯ
ท. ข้าแต่พระองค์ผู้ไม่มีทุกข์ ก็พระองค์ย่อมทรงทราบมรรคเป็นทางหลีก พ้น ผลเป็น
ความหลุดพ้น นิพพานเป็นที่สงัด ของสัตว์ทั้งหลายอย่างไรเล่า ฯ
[6] พระผู้มีพระภาคทรงวิสัชนาโดยคาถานี้ว่า
ท่านผู้มีอายุ เพราะความสิ้นภพอันมีความเพลิดเพลินเป็นมูล เพราะความ
สิ้นแห่งสัญญาและวิญญาณ เพราะ ความดับ เพราะความสงบแห่งเวทนา
ทั้งหลาย เราย่อมรู้จัก มรรคเป็นทางหลีกพ้น ผลเป็นความหลุดพ้น
นิพพานเป็นที่ สงัด ของสัตว์ทั้งหลายอย่างนี้ ฯ
อุปเนยยสูตรที่ 3
[7] เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กล่าวคาถา นี้ในสำนัก
พระผู้มีพระภาคว่า
ชีวิตคืออายุมีประมาณน้อย ถูกต้อนเข้าไปเรื่อย เมื่อบุคคลถูก ชราต้อน
เข้าไปแล้ว ย่อมไม่มีผู้ป้องกัน บุคคลเมื่อเห็นภัยนี้ ในมรณะ พึงทำบุญ
ทั้งหลายที่นำความสุขมาให้ ฯ
[8] ชีวิตคืออายุมีประมาณน้อย ถูกต้อนเข้าไปเรื่อย เมื่อบุคคลถูกชราต้อน
เข้าไปแล้ว ย่อมไม่มีผู้ป้องกัน บุคคลเมื่อเห็นภัยนี้ในมรณะ พึงละ
อามิสในโลกเสีย มุ่งสันติเถิด ฯ
อัจเจนติสูตรที่ 4
[9] เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กล่าวคาถานี้ในสำนัก
พระผู้มีพระภาคว่า
กาลทั้งหลายย่อมล่วงไป ราตรีทั้งหลายย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละ
ลำดับไป บุคคลเมื่อเห็นภัยนี้ในมรณะ พึงทำบุญทั้งหลายที่นำความสุข
มาให้ ฯ
[10] กาลทั้งหลายย่อมล่วงไป ราตรีทั้งหลายย่อมผ่านไป ชั้น แห่งวัยย่อมละ
ลำดับไป บุคคลเมื่อเห็นภัยนี้ในมรณะ พึงละอามิสในโลกเสีย มุ่งสันติ
เถิด ฯ
กติฉินทิสูตรที่ 5
[11] เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กราบทูลถามพระผู้มี
พระภาคด้วยคาถานี้ว่า
บุคคลควรตัดเท่าไร ควรละเท่าไร ควรบำเพ็ญคุณอันยิ่งเท่าไร ภิกษุ
ล่วงธรรมเครื่องข้องเท่าไร พระองค์จึงตรัสว่าเป็นผู้ข้ามโอฆะแล้ว ฯ
[12] บุคคลควรตัดสังโยชน์เป็นส่วนเบื้องต่ำ 5 อย่าง ควรละ สังโยชน์เป็น
ส่วนเบื้องบน 5 อย่าง ควรบำเพ็ญอินทรีย์อันยิ่ง 5 อย่าง ภิกษุล่วง
ธรรมเป็นเครื่องข้อง 5 อย่าง เรากล่าวว่า เป็นผู้ข้ามโอฆะแล้ว ฯ
ชาครสูตรที่ 6
[13] เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กล่าว คาถานี้ในสำนัก
พระผู้มีพระภาคว่า
เมื่อธรรมทั้งหลายตื่นอยู่ ธรรมประเภทไหนนับว่าหลับ เมื่อ ธรรม
ทั้งหลายหลับ ธรรมประเภทไหนนับว่าตื่น บุคคลหมักหมมธุลีเพราะ
ธรรมประเภทไหน บุคคลบริสุทธิ์เพราะธรรม ประเภทไหน ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
[14] เมื่ออินทรีย์ 5 อย่างตื่นอยู่ นิวรณ์ 5 อย่างนับว่าหลับ
เมื่อนิวรณ์ 5 อย่างหลับอินทรีย์ 5 อย่าง นับว่าตื่น
บุคคลหมักหมมธุลีเพราะนิวรณ์ 5 อย่าง บุคคลบริสุทธิ์เพราะอินทรีย์
5 อย่าง ฯ
อัปปฏิวิทิตสูตรที่ 7
[15] เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กล่าวคาถานี้ในสำนัก
พระผู้มีพระภาคว่า
ธรรมทั้งหลายอันชนพวกใดยังไม่แทงตลอดแล้ว ชนพวกนั้นย่อมถูก
จูงไปในวาทะของชนพวกอื่น ชนพวกนั้นชื่อว่ายังหลับ ไม่ตื่น (กาลนี้)
เป็นกาลสมควร เพื่อจะตื่นของชนพวกนั้น ฯ
[16] ธรรมทั้งหลาย อันชนพวกใดแทงตลอดดีแล้ว ชนพวกนั้น ย่อมไม่ถูก
จูงไปในวาทะของชนพวกอื่น บุคคลผู้รู้ดีทั้งหลาย รู้ทั่วถึงโดยชอบแล้ว
ย่อมประพฤติเสมอในหมู่สัตว์ผู้ประพฤติไม่เสมอ ฯ
สุสัมมุฏฐสูตรที่ 8
[17] เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กล่าว คาถานี้ในสำนัก
พระผู้มีพระภาคว่า
ธรรมทั้งหลายอันชนพวกใดลืมเลือนแล้ว ชนพวกนั้น ย่อมถูกจูงไปใน
วาทะของชนพวกอื่น ชนพวกนั้นชื่อว่ายังหลับไม่ตื่น(กาลนี้) เป็นกาล
ควรเพื่อจะตื่นของชนพวกนั้น ฯ
[18] ธรรมทั้งหลาย อันชนพวกใดไม่ลืมเลือนแล้ว ชนพวกนั้นย่อมไม่ถูก
จูงไปในวาทะของชนพวกอื่น บุคคลผู้รู้ดีทั้งหลายรู้ทั่วถึงโดยชอบแล้ว
ย่อมประพฤติเสมอในหมู่สัตว์ผู้ประพฤติไม่เสมอ ฯ
มานกามสูตรที่ 9
[19] เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กล่าว คาถานี้ในสำนัก
พระผู้มีพระภาคว่า
ทมะย่อมไม่มีแก่บุคคลที่ปรารถนามานะ ความรู้ย่อมไม่มีแก่บุคคลที่มี
จิตไม่ตั้งมั่น บุคคลผู้เดียว เมื่ออยู่ในป่าประมาทแล้ว ไม่พึงข้ามพ้นฝั่ง
แห่งเตภูมิกวัฏอันเป็นที่ตั้งแห่งมัจจุได้ ฯ
[20] บุคคลละมานะแล้ว มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว มีจิตดี พ้นในธรรมทั้งปวงแล้ว
เป็นผู้เดียว เมื่ออยู่ในป่า ไม่ประมาทแล้วบุคคลนั้นพึงข้ามฝั่งแห่ง
เตภูมิกวัฏเป็นที่ตั้งแห่งมัจจุได้ ฯ
อรัญญสูตรที่ 10
[21] เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้ทูลถาม พระผู้มีพระภาค
ด้วยคาถาว่า
วรรณของภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ในป่า ฉันภัตอยู่หนเดียว เป็น สัตบุรุษ
ผู้ประพฤติธรรมอันประเสริฐ ย่อมผ่องใสด้วยเหตุ อะไร ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
[22] ภิกษุทั้งหลายไม่เศร้าโศกถึงปัจจัยที่ล่วงแล้ว ไม่ปรารถนาปัจจัยที่ยังมา
ไม่ถึง เลี้ยงตนด้วยปัจจัยที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า วรรณ (ของภิกษุทั้งหลาย
นั้น) ย่อมผ่องใสด้วยเหตุนั้นเพราะความปรารถนาถึงปัจจัยที่ยังไม่มาถึง
และความโศกถึงปัจจัยที่ล่วงแล้ว พวกพาลภิกษุจึงซูบซีด เหมือนต้นอ้อ
สดที่ถูกถอนเสียแล้ว ฉะนั้น
จบ นฬวรรค ที่ 1
________________
สูตรที่กล่าวถึงในวรรคนั้น โอฆตรณสูตร นิโมกขสูตร อุปเนยยสูตร อัจเจนติสูตร
กติฉินทิสูตร ชาครสูตร อัปปฏิวิทิตสูตร สุสัมมุฏฐสูตร มานกามสูตร อรัญญสูตร เป็นที่ 10
นฬวรรค ท่านกล่าวด้วยสูตรทั้ง 10 นั้น ฉะนี้แล
___________________