บัณฑิตพึงทราบประเภทแห่งทุกกฎ แม้ในทุกกฏวาร มีอาทิว่า
วิหารสฺส อุปจาเร ดังนี้ ในคำว่า อุปจารํ ฐเปตฺวา เสยฺยํ สนฺถรติ วา
สนฺถราเปติ วา นี้ และอื่นจากคำนี้ เหมือนประเภทแห่งปาจิตตีย์ที่ตรัส
ไว้ในการทำกิจทั้ง 2 คือ เพียงแต่นั่งทับและนอนทับ ในคำว่า อภินิสีทติ
วา อภินิปชฺชติ วา นี้ และในประเภทแห่งประโยคฉะนั้น. เพราะไม่ต้องการ
ด้วยวิสภาคบุคคลเช่นนี้อยู่ในวิหารเดียวกัน หรือในบริเวณเดียวกัน ฉะนั้น
ท่านจึงห้ามการอยู่แห่งวิสภาคบุคคลนั้น ในที่ทุกแห่งทีเดียว.
แม้ในคำว่า อญฺญสฺส ปุคฺคลิเก นี้ ก็พึงทราบวินิจฉัยดังนี้.
เสนาสนะส่วนตัวของบุคคลผู้คุ้นเคยกัน เช่นเดียวกับของส่วนตัวของตนเหมือน
กัน ไม่เป็นอาบัติในเสนาสนะส่วนตัวบุคคลของผู้คุ้นเคยกันนั้น.
บทว่า อาปทาสุ มีความว่า ถ้ามีอันตรายแห่งชีวิตและพรหมจรรย์
แก่ภิกษุผู้อยู่ภายนอก ในเพราะอันตรายเห็นปานนั้น ไม่เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุ
ผู้เข้าไป (ภายใน). บทที่เหลือตื้นทั้งนั้นแล.
สิกขาบทนี้ มีสมุฎฐานดุจปฐมปาราชิก เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์
สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา ดังนี้แล.
อนูปขัชชสิกชาบทที่ 6 จบ
ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ 7
เรื่องพระสัตตรสวัคคีย์
[387] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น
พระสัตตรสวัคคีย์ ปฏิสังขรณ์วิหารใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งทั้งอยู่สุดเขตวัด ด้วย
หมายใจว่าพวกเราจักอยู่จำพรรษา ณ ที่นี้ พระฉัพพัคคีย์ได้เห็นพระสัตตรสวัคคีย์
ผู้กำลังปฏิสังขรณ์วิหาร ครั้นแล้วจึงพูดกันอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย พระ
สัตตรสวัคคีย์เหล่านั้น กำลังปฎิสังขรณ์วิหาร อย่ากระนั้นเลย พวกเราจักไล่
พวกเธอไปเสีย ภิกษุบางเหล่าพูดอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย โปรดรออยู่ก่อน
จนกว่าเธอจะปฏิสังขรณ์เสร็จ เมื่อเธอปฎิสังขรณ์เสร็จแล้วพวกเราจงค่อยไล่ไป.
ครั้นพระสัตตรสวัคคีย์ปฎิสังขรณ์เสร็จแล้ว พระฉัพพัคคีย์ได้กล่าวคำนี้
กะพระสัตตรสวัคคีย์ว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านจงย้ายไป วิหารถึงแก่พวกเรา.
พระสัตตรสวัคคีย์ตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านควรจะบอก
ล่วงหน้ามิใช่หรือ พวกผมจะได้ปฏิสังขรณ์วิหารหลังอื่น.
ฉ. อาวุโสทั้งหลาย วิหารเป็นของสงฆ์มิใช่หรือ.
ส. ขอรับ วิหารเป็นของสงฆ์.
ฉ. พวกท่านจงย้ายไป วิหารถึงแก่พวกเรา.
ส. วิหารหลังใหญ่ แม้พวกท่านก็อยู่ได้ แม้พวกผมก็จักอยู่.
พระฉัพพัคคีย์กล่าวว่า พวกทานจงย้ายออกไป วิหารถึงแก่พวกเรา
ดังนี้แล้ว ทำเป็นโกรธ ขัดใจ จับคอฉุดคร่าออกไป.
พระสัตตรสวัคคีย์ถูกฉุดคร่าออกไปก็ร้องให้.
ภิกษุทั้งหลายพากันถามอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านร้องไห้
ทำไม.
พระสัตตรสวัคดีย์ตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย พระฉัพพัคคีย์พวกนี้โกรธ
ขัดใจ ฉุดคร่าพวกข้าพเจ้าออกไปจากวิหารของสงฆ์
บรรดาภิกษุที่มักน้อย . . . ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน
พระฉัพพัคคีย์จึงได้โกรธ ขัดใจ ฉุดคร่าภิกษุทั้งหลายออกจากวิหารของสงฆ์เล่า
แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงสอบถาม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธอโกรธ ขัดใจ ฉุดคร่าภิกษุทั้งหลายออกจากวิหาร
ของสงฆ์ จริงหรือ.
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโฆษบุรุษทั้งหลาย ไฉน
พวกเธอจึงได้โกรธ ขัดใจ ฉุดคร่าภิกษุทั้งหลายออกจากวิหารของสงฆ์เล่า
การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่
เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ ขึ้นแสดงอย่างนั้น
ว่าดังนี้
พระบัญญัติ
66.7 อนึ่ง ภิกษุใด โกรธ ขัดใจ ฉุดคร่าก็ดี ให้ฉุดคร่า
ก็ดี ซึ่งภิกษุจากวิหารของสงฆ์เป็นปาจิตตีย์ .
เรื่องพระสัตตรสวัคคีย์ จบ
สิกขาบทวิภังค์
[388] บทว่า อนึ่ง .. ใด ความว่า ผู้ใด คือผู้เช่นใด.. .
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ-
นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
บทว่า ซึ่งภิกษุ ได้แก่ ภิกษุอื่น.
บทว่า โกรธ ขัดใจ คือ ไม่พอใจ แค้นใจ เจ็บใจ.
[389] วิหารที่ชื่อว่า ของสงฆ์ ได้แก่วิหารที่เขาถวายแล้ว สละ
แล้วแก่สงฆ์.
บทว่า ฉุดคร่า คือ จับในห้องฉุดคร่าออกไปหน้ามุข ต้องอาบัติ
ปาจิตตีย์
จับที่หน้ามุขฉุดคร่าออกไปข้างนอก ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ให้ก้าวพ้นประตูแม้หลายแห่ง ด้วยประโยคเดียว ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทว่า ให้ฉุดคร่า ความว่า ใช้ผู้อื่น ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ใช้ครั้งเดียวให้ก้าวพ้น ประตู แม้หลายแห่ง ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์
[390] วิหารของสงฆ์ ภิกษุสำคัญว่าของสงฆ์ โกรธ ขัดใจ ฉุดคร่าก็ดี
ให้ฉุดคร่าก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์
วิหารของสงฆ์ ภิกษุสงสัย โกรธ ขัดใจ ฉุดคร่าก็ดี ให้ฉุดคร่าก็ดี
ต้องอาบัติปาจิตตีย์
วิหารของสงฆ์ ภิกษุสำคัญว่าของบุคคล โกรธ ขัดใจ ฉุดคร่าก็ดี
ให้ฉุดคร่าก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ทุกกฏ
ภิกษุขนก็ดี ให้ขนก็ดี ซึ่งบริขารของภิกษุนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ
ภิกษุฉุดคร่าก็ดี ให้ฉุดคร่าก็ดี ออกไปจากอุปจารวิหารก็ดี จากโรงฉัน
ก็ดี จากปะรำก็ดี จากใต้ต้นไม้ก็ดี จากที่แจ้งก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ
ภิกษุขนก็ดี ให้ขนก็ดี ซึ่งบริขารของภิกษุนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ
ภิกษุฉุดคร่าก็ดี ให้ฉุดคร่าก็ดี ซึ่งอนุปสัมบัน จากวิหารก็ดี จาก
อุปจารวิหารก็ดี จากโรงฉันก็ดี จากปะรำก็ดี จากใต้ต้นไม้ก็ดี จากที่แจ้งก็ดี
ต้องอาบัติทุกกฏ
ภิกษุขนก็ดี ให้ขนก็ดี ซึ่งบริขารของอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ
วิหารของบุคคล ภิกษุสำคัญว่าของสงฆ์...ต้องอาบัติทุกกฏ
วิหารของบุคคล ภิกษุสงสัย ....ต้องอาบัติทุกกฏ
วิหารของบุคคล ภิกษุสำคัญว่าของบุคคล ....ต้องอาบัติทุกกฏ เพราะ
เป็นของส่วนตัวของผู้อื่น
วิหารเป็นส่วนตัวของตน ...ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[391] ภิกษุฉุดคร่าก็ดี ให้ฉุดคร่าก็ดี ซึ่งภิกษุอลัชชี 1 ภิกษุขนก็ดี
ให้ขนก็ดี ซึ่งบริขารของภิกษุอลัชชี 1 ภิกษุฉุดคร่าก็ดี ให้ฉุดคร่าก็ดี ซึ่งภิกษุ
วิกลจริต 1 ภิกษุขนก็ดี ให้ขนก็ดี ซึ่งบริขารของภิกษุวิกลจริตนั้น 1 ภิกษุ
ฉุดคร่าก็ดี ให้ฉุดคร่าก็ดี ซึ่งภิกษุผู้ก่อการบาดหมางก็ดี ก่อการทะเลาะก็ดี
ก่อการวิวาทก็ดี ก่อความอื้อฉาวก็ดี ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ก็ดี 1 ภิกษุขนก็ดี
ให้ขนก็ดี ซึ่งบริขารของภิกษุผู้ก่อการบาดหมางเป็นต้นนั้น 1 ภิกษุฉุดคร่าก็ดี
ให้ฉุดคร่าก็ดี ซึ่งอันเทวาสิกหรือสัทธิวิหาริก ผู้ประพฤติไม่เรียบร้อย 1 ภิกษุ
ขนก็ดี ให้ขนก็ดี ซึ่งบริขารของอันเทวาสิก หรือสัทธิวิหาริกนั้น 1 ภิกษุ
วิกลจริต 1 ภิกษุอาทิกัมมิกะ 1 ไม่ต้องอาบัติ.
ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ 7 จบ
เสนาสนวรรค นิกัฑฒนสิกขาบทที่ 7
พึงทราบวินิจฉัย ในสิกขาบทที่ 7 ดังต่อไปนี้
[ว่าด้วยสถานที่และกิริยาที่ฉุดคร่า]
ข้อว่า อเกน ปโยเคน พหุเกปิ ทฺวาเร อติกฺกาเมติ มีความว่า
ในเสนาสนะทั้งหลาย เช่นปราสาท 4 ชั้น 5 ชั้นก็ดี ศาลา 4 เหลี่ยมจตุรัส
มีซุ้มประตู 6-7-8 ซุ้มก็ดี ภิกษุจับที่แขนทั้งสอง หรือที่คอให้ก้าวออกไป
ด้วยประโยคเดียว ไม่พักในระหว่าง เป็นปาจิตตีย์เพียงตัวเดียวเท่านั้น. เมื่อ
หยุดเป็นพัก ๆ ให้ก้าวออกไปด้วยประโยคต่าง ๆ เป็นปาจิตตีย์หลายตัวตาม
จำนวนประตู. แม้เมื่อไม่เอามือจับต้องฉุดออกไปด้วยวาจากล่าวว่า จงออกไป
ก็นัยนี้นั่นแล.
วินิจฉัยในคำว่า อฺญฺญํ อาณาเปติ นี้ พึงทราบดังนี้ เพียงแต่
สั่งว่า จงฉุดภิกษุนี้ออกไป เป็นทุกกฏ. ถ้าภิกษุผู้ได้รับสั่งคราวเดียวนั้นให้
ก้าวพ้นประตูแม้หลายแห่ง ก็ต้องปาจิตตีย์ตัวเดียว. แต่ถ้าว่า เธอได้รับสั่ง
กำหนดอย่างนี้ว่า จงฉุดผ่านประตูเท่านี้ออกไป ก็ดี ว่า จงฉุดไปจนถึง
ประตูใหญ่ ดังนี้ ก็ดี เป็นปาจิตตีย์ตามจำนวนประตู.
สองบทว่า ตสฺส ปริกฺขารํ มีความว่า ภิกษุใด ขนออกเองก็ดี
ใช้ให้ขนออกก็ดี ซึ่งของอย่างใดอย่างหนึ่ง อันเป็นของส่วนตัวแห่งภิกษุนั้น
เช่น บาตร จีวร ธมกรกกรองน้ำ เตียงตั่ง ฟูกและหมอนเป็นต้นโดยที่สุดแม้
สะเก็ดน้ำย้อม เป็นทุกกฏแก่ภิกษุนั้นหลายตัว ตามจำนวนแห่งวัตถุ. ท่านกล่าว
ไว้ในมหาปัจจรีว่า ก็ในสิ่งของเหล่านั้น อันเจ้าของผูกมัดไว้แน่น เป็นอาบัติ
ตัวเดียวเท่านั้น.
วินิจฉัยแม้ในคำว่า อญฺญสฺส ปุคฺคลิเก นี้ พึงทราบดังนี้
ของส่วนตัวแห่งบุคคลผู้คุ้นเคย เช่นเดียวกับของส่วนตัวของตนนั่นแล. ก็ในที่
ทุก ๆ แห่ง ผู้ศึกษาพึงทราบนัยเหมือนในคำนี้ . แต่ในที่ใดจักมีความแปลกกัน
พวกเราจักกล่าวไว้ในที่นั้น.
วินิจฉัยในคำว่า อลชฺชึ นิกฺกฑฺฒติ วา นิกฺกฑฺฒาเปติ วา
เป็นต้น พึงทราบดังนี้ ภิกษุย่อมได้เพื่อจะขับไล่ภิกษุผู้ทำความบาดหมาง
และผู้ทำความทะเลาะกันเท่านั้น ออกจากสังฆารามทั้งสิ้น. เพราะว่า เธอได้
พรรคพวกแล้ว พึงทำลายสงฆ์ก็ได้. ส่วนพวกภิกษุอลัชชีเป็นต้น ภิกษุพึง
ฉุดออกจากที่อยู่ ของตนเท่านั้น จะขับเธอเหล่านั้นออกจากสังฆารามทั่วไป
ไม่ควร
บทว่า อุมฺมตฺตกสฺส ได้แก่ ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้เป็นบ้าเอง.
บทที่เหลือตื้นทั้งนั้นแล.
สิกขาบทนี้ มีสมุฎฐาน 3 เกิดขึ้น ทางกายกับจิต 1 ทางวาจากับจิต 1
ทางกายวาจากับจิต 1 เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม
วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา ฉะนั้นแล.
นิกัฑฒนสิกขาบทที่ 7 จบ
ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ 8
เรื่องภิกษุ 2 รูป
[392] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ภิกษุ 2
รูป อยู่บนร้านในวิหารเป็นของสงฆ์ รูปหนึ่งอยู่ชั้นล่าง รูปหนึ่งอยู่ชั้นบน
ภิกษุอยู่ชั้นบนนั่งทับโดยแรง ซึ่งเตียงอันมีเท้าเสียบ เท้าเตียงตกโดนศีรษะ
ภิกษุผู้อยู่ชั้นล่าง ภิกษุนั้นส่งเสียงร้องลั่น ภิกษุทั้งหลายพากันวิ่งเข้าไปถาม
ภิกษุนั้นว่า ท่านส่งเสียงร้องทำไม จึงภิกษุนั้นได้ชี้แจงเรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย.
บรรดาภิกษุที่มักน้อย . . . ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน
ภิกษุจึงนั่งทับโดยแรง ซึ่งเตียงมีเท้าเสียบ บนร้านในวิหารเป็นของสงฆ์. แล้ว
กราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ ข่าวว่าเธอ
นั่งทับโดยแรง ซึ่งเตียงมีเท้าเสียบ บนร้านในวิหารเป็นของสงฆ์ จริงหรือ.
ภิกษุนั้นทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ ไฉนเธอจึง
ได้นั่งทับโดยแรง ซึ่งเตียงมีเท้าเสียบ บนร้านในวิหารเป็นของสงฆ์เล่า การ
กระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือ
เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .