พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [3. ตติยวรรค] 4. วิมุจจมานกถา (24)
สก. บุคคลเป็นพระสกทาคามีส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งไม่เป็นพระสกทาคามี
เป็นผู้ถึง ได้ บรรลุ ทำให้แจ้ง เข้าถึงอยู่ สัมผัสสกทาคามิผลด้วยกายอยู่ส่วนหนึ่ง
อีกส่วนหนึ่งไม่สัมผัสด้วยกายอยู่ใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. จิตที่หลุดพ้นแล้วส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งยังไม่หลุดพ้นใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. บุคคลเป็นพระอนาคามีส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งไม่เป็นพระอนาคามี เป็น
ผู้ถึง ได้ บรรลุ ทำให้แจ้ง เข้าถึงอยู่ สัมผัสอนาคามิผลด้วยกายอยู่ส่วนหนึ่ง
อีกส่วนหนึ่งไม่สัมผัสด้วยกายอยู่ เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี ... ผู้
อุปหัจจปรินิพพายี ... ผู้อสังขารปรินิพพายี ... ผู้สสังขารปรินิพพายี ... ผู้
อุทธังโสโตอกนิฏฐคามีส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งไม่เป็นพระอนาคามีผู้อุทธังโสโต-
อกนิฏฐคามีใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. จิตหลุดพ้นแล้วส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งยังไม่หลุดพ้นใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. บุคคลเป็นพระอรหันต์ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งไม่เป็นพระอรหันต์ เป็น
ผู้ถึง ได้ บรรลุ ทำให้แจ้ง เข้าถึงอยู่ สัมผัสอรหัตตผลด้วยกายอยู่ส่วนหนึ่ง อีก
ส่วนหนึ่งไม่สัมผัสด้วยกายอยู่ เป็นผู้ปราศจากราคะ โทสะ โมหะ ฯลฯ ทำให้แจ้ง
ธรรมที่ควรทำให้แจ้งส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งไม่ทำให้แจ้งธรรมที่ควรทำให้แจ้งใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. จิตที่หลุดพ้นแล้ว ชื่อว่ากำลังหลุดพ้นใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. จิตหลุดพ้นแล้วในขณะเกิด ชื่อว่ากำลังหลุดพ้นในขณะดับใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [3. ตติยวรรค] 4. วิมุจจมานกถา (24)
[367] ปร. ท่านไม่ยอมรับว่า จิตที่หลุดพ้นแล้ว ชื่อว่ากำลังหลุดพ้น ใช่ไหม
สก. ใช่
ปร. พระสูตรที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า เมื่อบุคคลนั้นรู้เห็นอยู่อย่างนี้
จิตย่อมหลุดพ้นจากกามาสวะบ้าง จากภวาสวะบ้าง จากอวิชชาสวะบ้าง 1 มีอยู่จริง
มิใช่หรือ
สก. ใช่
ปร. ดังนั้น จิตที่หลุดพ้นแล้วจึงชื่อว่ากำลังหลุดพ้น
สก. จิตที่หลุดพ้นแล้ว ชื่อว่ากำลังหลุดพ้นใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. พระสูตรที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า บุคคลนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ
บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน ปราศจากความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะ
แก่การใช้งาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมน้อมจิตไปเพื่อญาณเป็นเครื่องสิ้น
อาสวะ2 มีอยู่จริงมิใช่หรือ
ปร. ใช่
สก. ดังนั้น ท่านจึงไม่ควรยอมรับว่า จิตที่หลุดพ้นแล้ว ชื่อว่ากำลังหลุดพ้น
สก. จิตที่กำลังหลุดพ้นมีอยู่ใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. จิตที่กำลังกำหนัด ขัดเคือง หลง เศร้าหมองมีอยู่ใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
เชิงอรรถ :
1-2 ดูเทียบ ม.อุ. (แปล) 14/221/245, องฺ.ติก. (แปล) 20/71/283
พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [3. ตติยวรรค] 5. อัฏฐมกกถา (25)
สก. จิตที่กำหนัดและไม่กำหนัด ขัดเคืองและไม่ขัดเคือง หลงและไม่หลง
ขาดและไม่ขาด แตกดับและไม่แตกดับ ถูกปัจจัยปรุงแต่งและไม่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง
มีอยู่มิใช่หรือ
ปร. ใช่
สก. หากจิตที่กำหนัดและไม่กำหนัด ขัดเคืองและไม่ขัดเคือง หลงและ
ไม่หลง ขาดและไม่ขาด แตกดับและไม่แตกดับ ถูกปัจจัยปรุงแต่งและไม่ถูกปัจจัย
ปรุงแต่งมีอยู่ ท่านก็ไม่ควรยอมรับว่า จิตที่กำลังหลุดพ้นมีอยู่
วิมุจจมานกถา จบ
5. อัฏฐมกกถา (25)
ว่าด้วยบุคคลที่ 8
[368] สก. บุคคลที่ 81 ละทิฏฐิปริยุฏฐานได้แล้วใช่ไหม
ปร.2 ใช่3
สก. บุคคลที่ 8 เป็นพระโสดาบัน เป็นผู้ถึง ได้ บรรลุ ทำให้แจ้ง เข้าถึงอยู่
สัมผัสโสดาปัตติผลด้วยกายอยู่ใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. บุคคลที่ 8 ละวิจิกิจฉาปริยุฏฐานได้แล้วใช่ไหม
ปร. ใช่
เชิงอรรถ :
1 บุคคลที่ 8 หมายถึงพระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค (อภิ.ปญฺจ.อ. 368/195)
2 ปร. หมายถึงภิกษุในนิกายอันธกะและนิกายสมิติยะ (อภิ.ปญฺจ.อ. 368/195)
3 เพราะมีความเห็นว่า ก่อนที่โสดาปัตติมรรคจิตจะเกิด อนุโลมญาณและโคตรภูญาณได้ละทิฏฐิและวิจิกิจฉา
ไปแล้ว ดังนั้น ในขณะโสดาปัตติมรรคจะบอกว่ากำลังละทิฏฐิและวิจิกิจฉาไม่ได้ แต่จะต้องบอกว่าได้ละ
ทิฏฐิและวิจิกิจฉาไปแล้ว (อภิ.ปญฺจ.อ. 368/195)
พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [3. ตติยวรรค] 5. อัฏฐมกกถา (25)
สก. บุคคลที่ 8 เป็นพระโสดาบัน เป็นผู้ถึง ฯลฯ สัมผัสโสดาปัตติผลด้วย
กายอยู่ใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. บุคคลที่ 8 ละทิฏฐิปริยุฏฐานได้แล้วใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. บุคคลที่ 8 ละทิฏฐานุสัยได้แล้วใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. บุคคลที่ 8 ละทิฏฐิปริยุฏฐานได้แล้วใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. บุคคลที่ 8 ละวิจิกิจฉานุสัย ฯลฯ สีลัพพตปรามาสได้แล้วใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. บุคคลที่ 8 ละวิจิกิจฉาปริยุฏฐานได้แล้วใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. บุคคลที่ 8 ละวิจิกิจฉานุสัยได้แล้วใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. บุคคลที่ 8 ละวิจิกิจฉาปริยุฏฐานได้แล้วใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. บุคคลที่ 8 ละทิฏฐานุสัย ฯลฯ สีลัพพตปรามาสได้แล้วใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. บุคคลที่ 8 ยังละทิฏฐานุสัยไม่ได้ใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. บุคคลที่ 8 ยังละทิฏฐิปริยุฏฐานไม่ได้ใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [3. ตติยวรรค] 5. อัฏฐมกกถา (25)
สก. บุคคลที่ 8 ยังละทิฏฐานุสัยไม่ได้ใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. บุคคลที่ 8 ยังละวิจิกิจฉาปริยุฏฐานไม่ได้ใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. บุคคลที่ 8 ยังละวิจิกิจฉานุสัย ฯลฯ สีลัพพตปรามาสไม่ได้ใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. บุคคลที่ 8 ยังละทิฏฐิปริยุฏฐานไม่ได้ใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. บุคคลที่ 8 ยังละสีลัพพตปรามาสไม่ได้ใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. บุคคลที่ 8 ยังละวิจิกิจฉาปริยุฏฐานไม่ได้ใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[369] สก. บุคคลที่ 8 ละทิฏฐิปริยุฏฐานได้แล้วใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. บุคคลที่ 8 เจริญมรรคเพื่อละทิฏฐิปริยุฏฐานใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. บุคคลที่ 8 ละทิฏฐิปริยุฏฐานได้แล้วใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. บุคคลที่ 8 เจริญสติปัฏฐาน ฯลฯ สัมมัปปธาน ฯลฯ โพชฌงค์
เพื่อละทิฏฐิปริยุฏฐานใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. บุคคลที่ 8 ละวิจิกิจฉาปริยุฏฐานได้แล้วใช่ไหม
ปร. ใช่
พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [3. ตติยวรรค] 5. อัฏฐมกกถา (25)
สก. บุคคลที่ 8 เจริญมรรค ฯลฯ เจริญโพชฌงค์ เพื่อละวิจิกิจฉาปริยุฏฐาน
ใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. บุคคลที่ 8 ไม่เจริญมรรคเพื่อละทิฏฐิปริยุฏฐานใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. บุคคลที่ 8 ละทิฏฐิปริยุฏฐานได้แล้วด้วยสภาวธรรมที่มิใช่มรรค เป็น
โลกิยะ เป็นอารมณ์ของอาสวะ ฯลฯ เป็นอารมณ์ของสังกิเลสใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. บุคคลที่ 8 ไม่เจริญสติปัฏฐาน ฯลฯ ไม่เจริญโพชฌงค์ เพื่อละ
ทิฏฐิปริยุฏฐานใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. บุคคลที่ 8 ละทิฏฐิปริยุฏฐานได้แล้วด้วยสภาวธรรมที่มิใช่มรรค เป็น
โลกิยะ เป็นอารมณ์ของอาสวะ ฯลฯ เป็นอารมณ์ของสังกิเลสใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. บุคคลที่ 8 ไม่เจริญมรรค ฯลฯ ไม่เจริญสติปัฏฐาน ฯลฯ ไม่เจริญ
โพชฌงค์ เพื่อละวิจิกิจฉาปริยุฏฐานใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. บุคคลที่ 8 ละวิจิกิจฉาปริยุฏฐานได้แล้วด้วยสภาวธรรมที่มิใช่มรรค
เป็นโลกิยะ เป็นอารมณ์ของอาสวะ ฯลฯ เป็นอารมณ์ของสังกิเลสใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[370] ปร. ท่านไม่ยอมรับว่า บุคคลที่ 8 ละทิฏฐิปริยุฏฐานได้แล้ว
ใช่ไหม
สก. ใช่
พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [3. ตติยวรรค] 5. อัฏฐมกกถา (25)
ปร. ทิฏฐิปริยุฏฐานจักเกิดขึ้นใช่ไหม
สก. จักไม่เกิดขึ้น
ปร. หากจักไม่เกิดขึ้น ดังนั้น ท่านจึงควรยอมรับว่า บุคคลที่ 8 ละ
ทิฏฐิปริยุฏฐานได้แล้ว
ปร. ท่านไม่ยอมรับว่า บุคคลที่ 8 ละวิจิกิจฉาปริยุฏฐานได้แล้ว ใช่ไหม
สก. ใช่
ปร. วิจิกิจฉาปริยุฏฐานจักเกิดขึ้นใช่ไหม
สก. จักไม่เกิดขึ้น
ปร. หากจักไม่เกิดขึ้น ดังนั้น ท่านจึงควรยอมรับว่า บุคคลที่ 8 ละ
วิจิกิจฉาปริยุฏฐานได้แล้ว
สก. เพราะท่านเข้าใจว่า ทิฏฐิปริยุฏฐานจักไม่เกิดขึ้นแก่บุคคลที่ 8 จึงยอม
รับว่า บุคคลที่ 8 ละทิฏฐิปริยุฏฐานได้แล้ว ใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. เพราะท่านเข้าใจว่า ทิฏฐานุสัยจักไม่เกิดขึ้นแก่บุคคลที่ 8 จึงยอมรับว่า
บุคคลที่ 8 ละทิฏฐานุสัยได้แล้ว ใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. เพราะท่านเข้าใจว่า ทิฏฐิปริยุฏฐานจักไม่เกิดขึ้นแก่บุคคลที่ 8 จึงยอม
รับว่า บุคคลที่ 8 ละทิฏฐิปริยุฏฐานได้แล้ว ใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. เพราะท่านเข้าใจว่า วิจิกิจฉานุสัย ฯลฯ สีลัพพตปรามาสจักไม่เกิด
ขึ้นแก่บุคคลที่ 8 จึงยอมรับว่า บุคคลที่ 8 ละวิจิกิจฉานุสัย ฯลฯ สีลัพพต-
ปรามาสได้แล้ว ใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ