พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [2. ทุติยวรรค] 9. อนุปุพพาภิสมยกถา (18)
ปร. พระสูตรที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ธรรมวินัยมีการ
ศึกษาไปโดยลำดับ1 มีการบำเพ็ญไปโดยลำดับ2 มีการปฏิบัติไปโดยลำดับ3 ไม่ใช่
มีการบรรลุอรหัตตผลโดยทันที เหมือนมหาสมุทรต่ำลงไปโดยลำดับ ลาดลงไป
โดยลำดับ ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่ลึกชันดิ่งไปทันที4 มีอยู่จริงมิใช่หรือ
สก. ใช่
ปร. ดังนั้น จึงมีการบรรลุธรรมโดยลำดับ
ปร. ท่านไม่ยอมรับว่า มีการบรรลุธรรมโดยลำดับ ใช่ไหม
สก. ใช่
ปร. พระสูตรที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า
ผู้มีปัญญาพึงกำจัดมลทินของตนทีละน้อย ๆ
ทุกขณะ โดยลำดับ เหมือนช่างทองกำจัดสนิมทอง5
มีอยู่จริงมิใช่หรือ
สก. ใช่
ปร. ดังนั้น จึงมีการบรรลุธรรมโดยลำดับ
สก. ท่านยอมรับว่า มีการบรรลุธรรมโดยลำดับ ใช่ไหม
ปร. ใช่
เชิงอรรถ :
1 การศึกษาไปโดยลำดับ หมายถึงการศึกษาสิกขา 3 คือ ศีล สมาธิ และปัญญา (องฺ.อฏฺฐก.อ.
3/19/244)
2 การบำเพ็ญไปโดยลำดับ หมายถึงการบำเพ็ญธุดงค์ 13 (องฺ.อฏฺฐก.อ. 3/19/244)
3 การปฏิบัติไปโดยลำดับ หมายถึงอนุปัสสนา 9 มหาวิปัสสนา 18 อารัมมณวิภัตติ 38 และ
โพธิปักขิยธรรม 37 (องฺ.อฏฺฐก.อ. 3/19/244)
4 ดูเทียบ องฺ.อฏฺฐก. (แปล) 23/19-20/248-255
5 ดูเทียบ ขุ.ธ. (แปล) 25/239/106
พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [2. ทุติยวรรค] 9. อนุปุพพาภิสมยกถา (18)
สก. พระสูตรที่ว่า ท่านพระควัมปติเถระกล่าวกับภิกษุทั้งหลายดังนี้ว่า ผู้มี
อายุทั้งหลาย ผมได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า ภิกษุทั้งหลาย
ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นชื่อว่าเห็นทุกขสมุทัยบ้าง เห็นทุกขนิโรธบ้าง เห็นทุกขนิโรธ-
คามินีปฏิปทาบ้าง ผู้ใดเห็นทุกขสมุทัย ผู้นั้นชื่อว่าเห็นทุกข์บ้าง เห็นทุกขนิโรธบ้าง
เห็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาบ้าง ผู้ใดเห็นทุกขนิโรธ ผู้นั้นชื่อว่าเห็นทุกข์บ้าง เห็น
ทุกขสมุทัยบ้าง เห็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาบ้าง ผู้ใดเห็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
ผู้นั้นชื่อว่าเห็นทุกข์บ้าง เห็นทุกขสมุทัยบ้าง เห็นทุกขนิโรธบ้าง1 มีอยู่จริงมิใช่หรือ
ปร. ใช่
สก. ดังนั้น ท่านจึงไม่ควรยอมรับว่า มีการบรรลุธรรมโดยลำดับ
สก. มีการบรรลุธรรมโดยลำดับใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. พระสูตรที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า พร้อมกับการได้บรรลุโสดาปัตติมรรค
ฯลฯ และเป็นผู้ไม่ควรเพื่อทำอภิฐาน 6 มีอยู่จริงมิใช่หรือ
ปร. ใช่
สก. ดังนั้น ท่านจึงไม่ควรยอมรับว่า มีการบรรลุธรรมโดยลำดับ
สก. มีการบรรลุธรรมโดยลำดับใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. พระสูตรที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ในสมัยที่ธรรม-
จักษุที่ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน เกิดขึ้นแก่อริยสาวกว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมี
ความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา พร้อมกับการเกิด
เชิงอรรถ :
1 ดูเทียบ สํ.ม. (แปล) 19/1100/611
พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [2. ทุติยวรรค] 10. โวหารกถา (19)
ขึ้นแห่งโสดาปัตติมรรค อริยสาวกย่อมละสังโยชน์ได้ 3 ประการ คือ สักกายทิฏฐิ
วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส1 มีอยู่จริงมิใช่หรือ
ปร. ใช่
สก. ดังนั้น ท่านจึงไม่ควรยอมรับว่า มีการบรรลุธรรมโดยลำดับ
อนุปุพพาภิสมยกถา จบ
10. โวหารกถา (19)
ว่าด้วยพระโวหาร
[347] สก. พระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเป็นโลกุตตระใช่ไหม
ปร.2 ใช่3
สก. พระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า กระทบโสตะที่เป็นโลกุตตระ
ไม่กระทบโสตะที่เป็นโลกิยะ รับรู้ได้ด้วยวิญญาณที่เป็นโลกุตตระ รับรู้ไม่ได้ด้วย
วิญญาณที่เป็นโลกิยะ พระอริยสาวกรับรู้ได้ แต่ปุถุชนรับรู้ไม่ได้ใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. พระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า กระทบโสตะที่เป็นโลกิยะมิใช่หรือ
ปร. ใช่
สก. หากพระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า กระทบโสตะที่เป็นโลกิยะ
ท่านก็ไม่ควรยอมรับว่า พระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเป็นโลกุตตระ
เชิงอรรถ :
1 ดูเทียบ องฺ.ติก. (แปล) 20/95/328
2 ปร. หมายถึงภิกษุในนิกายอันธกะ (อภิ.ปญฺจ.อ. 347/197)
3 เพราะมีความเห็นว่า พระโวหารที่พระพุทธองค์ทรงใช้แสดงธรรมล้วนเป็นโลกุตตระ (อภิ.ปญฺจ.อ.
347/197)
พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [2. ทุติยวรรค] 10. โวหารกถา (19)
สก. พระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้ารับรู้ได้ด้วยโลกิยวิญญาณมิใช่หรือ
ปร. ใช่
สก. หากพระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้ารับรู้ได้ด้วยโลกิยวิญญาณ
ท่านก็ไม่ควรยอมรับว่า พระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเป็นโลกุตตระ
สก. พระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ปุถุชนก็รับรู้ได้มิใช่หรือ
ปร. ใช่
สก. หากพระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ปุถุชนก็รับรู้ได้ ท่านก็
ไม่ควรยอมรับว่า พระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเป็นโลกุตตระ
[348] สก. พระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเป็นโลกุตตระใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. เป็นมรรค ผล นิพพาน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกทาคามิมรรค
สกทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล สติปัฏฐาน
สัมมัปปธาน อิทธิบาท อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. พระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเป็นโลกุตตระใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. คนบางพวกที่จะฟังพระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้ามีอยู่ใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. โลกุตตรธรรมรับรู้ได้ด้วยโสตะ กระทบที่โสตะ มาสู่คลองแห่งโสตะ
ใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. โลกุตตรธรรมรับรู้ไม่ได้ด้วยโสตะ ไม่กระทบที่โสตะ ไม่มาสู่คลองแห่ง
โสตะมิใช่หรือ
ปร. ใช่
พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [2. ทุติยวรรค] 10. โวหารกถา (19)
สก. หากโลกุตตรธรรมรู้ไม่ได้ด้วยโสตะ ไม่กระทบที่โสตะ ไม่มาสู่คลองแห่ง
โสตะ ท่านก็ไม่ควรยอมรับว่า พระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเป็น
โลกุตตระ
[349] สก. พระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเป็นโลกุตตระใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. คนบางพวกที่จะพึงยินดีในพระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้ามีอยู่
ใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. โลกุตตรธรรมเป็นที่ตั้งแห่งราคะ เป็นที่ตั้งแห่งความยินดี เป็นที่ตั้งแห่ง
ความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความเมา เป็นที่ตั้งแห่งความผูกมัด เป็นที่ตั้งแห่งความ
ลุ่มหลงใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. โลกุตตรธรรมไม่เป็นที่ตั้งแห่งราคะ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยินดี ไม่เป็น
ที่ตั้งแห่งความใคร่ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเมา ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความผูกมัด ไม่เป็น
ที่ตั้งแห่งความลุ่มหลงมิใช่หรือ
ปร. ใช่
สก. หากโลกุตตรธรรมไม่เป็นที่ตั้งแห่งราคะ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยินดี ไม่
เป็นที่ตั้งแห่งความใคร่ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเมา ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความผูกมัด ไม่เป็น
ที่ตั้งแห่งความลุ่มหลง ท่านก็ไม่ควรยอมรับว่า พระโวหารของพระผู้มีพระภาค
พุทธเจ้าเป็นโลกุตตระ
สก. พระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเป็นโลกุตตระใช่ไหม
ปร. ใช่
พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [2. ทุติยวรรค] 10. โวหารกถา (19)
สก. คนบางพวกที่จะพึงขัดเคืองในพระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้ามีอยู่
ใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. โลกุตตรธรรมเป็นที่ตั้งแห่งโทสะ เป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง เป็นที่ตั้ง
แห่งความกระทบกระเทือนใจใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. โลกุตตรธรรมไม่เป็นที่ตั้งแห่งโทสะ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง ไม่เป็น
ที่ตั้งแห่งความกระทบกระเทือนใจมิใช่หรือ
ปร. ใช่
สก. หากโลกุตตรธรรมไม่เป็นที่ตั้งแห่งโทสะ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง
ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความกระทบกระเทือนใจ ท่านก็ไม่ควรยอมรับว่า พระโวหารของ
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเป็นโลกุตตระ
สก. พระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเป็นโลกุตตระใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. คนบางพวกที่จะพึงหลงในพระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้ามีอยู่
ใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. โลกุตตรธรรมที่เป็นที่ตั้งของโมหะ ทำความไม่รู้ ทำให้เป็นผู้ไม่มีจักษุ
เป็นที่ปิดกั้นแห่งปัญญา เป็นฝ่ายแห่งความคับแค้น ไม่เป็นไปเพื่อนิพพานมิใช่หรือ
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. โลกุตตรธรรมไม่เป็นที่ตั้งแห่งโมหะ ไม่ทำความไม่รู้ ไม่ทำให้เป็นผู้ไม่มี
จักษุ เป็นที่เจริญแห่งปัญญา ไม่เป็นฝ่ายแห่งความคับแค้น เป็นไปเพื่อนิพพาน
มิใช่หรือ
ปร. ใช่
พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [2. ทุติยวรรค] 10. โวหารกถา (19)
สก. หากโลกุตตรธรรมไม่เป็นที่ตั้งแห่งโมหะ ไม่ทำความไม่รู้ ไม่ทำให้เป็นผู้
ไม่มีจักษุ เป็นที่เจริญแห่งปัญญา ไม่เป็นฝ่ายแห่งความคับแค้น เป็นไปเพื่อนิพพาน
ท่านก็ไม่ควรยอมรับว่า พระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเป็นโลกุตตระ
[350] สก. พระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเป็นโลกุตตระใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งฟังพระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าอยู่ ชน
เหล่านั้นทั้งหมดเจริญมรรคใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งฟังพระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าอยู่ ชน
เหล่านั้นทั้งหมดเจริญมรรคใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. พาลปุถุชนฟังพระโวหารของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าอยู่ ชื่อว่าเจริญ
มรรคใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. ผู้ฆ่ามารดา ฯลฯ ฆ่าบิดา ฯลฯ ฆ่าพระอรหันต์ ฯลฯ ทำร้าย
พระพุทธเจ้าจนถึงพระโลหิตห้อ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ฟังพระโวหารของ
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าอยู่ ชื่อว่าเจริญมรรคใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[351] ปร. กองข้าวเปลือกก็ดี กองทองก็ดี ใช้ไม้เท้าทองชี้บอกได้ใช่ไหม
สก. ใช่
ปร. อย่างนั้นเหมือนกัน สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะก็ดี ที่เป็นโลกุตตระก็ดี
พระผู้มีพระภาคตรัสด้วยพระโวหารที่เป็นโลกุตตระ