เมนู

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [17.ขุททกวัตถุวิภังค์] 4.จตุกกนิทเทส
สมณพราหมณ์ภายนอกแต่ศาสนานี้มีความเห็นว่า ความบริสุทธิ์มีได้ด้วยศีล
ด้วยพรต ด้วยศีลและพรต ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นผิด ฯลฯ ความยึดถือโดย วิปลาส
มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า สีลัพพตปรามาสกายคันถะ
อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ เป็นไฉน
ความเห็นว่า โลกเที่ยง นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเปล่า หรือโลกไม่เที่ยง นี้เท่า
นั้นจริง อย่างอื่นเปล่า ฯลฯ ความเห็นว่า หลังจากตายแล้ว ตถาคตเกิดอีกก็มิใช่
จะว่าไม่เกิดอีกก็มิใช่ นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเปล่า ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นผิด ฯลฯ
ความยึดถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ
เว้นสีลัพพตปรามาสกายคันถะแล้ว มิจฉาทิฏฐิแม้ทั้งหมดชื่อว่าอิทังสัจจา-
ภินิเวสกายคันถะ
เหล่านี้ชื่อว่าคันถะ 4 (2)
โอฆะ 4 ฯลฯ โยคะ 4 ฯลฯ อุปาทาน 4 เป็นไฉน
อุปาทาน 4 คือ

1. กามุปาทาน (ความถือมั่นกาม)
2. ทิฏฐุปาทาน (ความถือมั่นทิฏฐิ)
3. สีลัพพตุปาทาน (ความถือมั่นศีลพรต)
4. อัตตวาทุปาทาน (ความถือมั่นวาทะว่ามีตัวตน)

บรรดาอุปาทาน 4 เหล่านั้น กามุปาทาน เป็นไฉน
ความพอใจในกาม ฯลฯ ความหมกมุ่นในกาม นี้เรียกว่า กามุปาทาน
ทิฏฐุปาทาน เป็นไฉน
ความเห็นว่า ทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล การบูชาไม่มีผล ฯลฯ สมณพราหมณ์
ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรู้ยิ่งเห็นจริงแจ้งประจักษ์โลกนี้และโลกหน้าด้วยตนเองแล้วสอน
ให้ผู้อื่นรู้ไม่มีอยู่ในโลก ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นผิด ฯลฯ ความยึดโดยวิปลาส มี
ลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า ทิฏฐุปาทาน
เว้นสีลัพพตุปาทานและอัตตวาทุปาทานแล้ว มิจฉาทิฏฐิแม้ทั้งหมดชื่อว่า
ทิฏฐุปาทาน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :588 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [17.ขุททกวัตถุวิภังค์] 4.จตุกกนิทเทส
สีลัพพตุปาทาน เป็นไฉน
สมณพราหมณ์ภายนอกแต่ศาสนานี้ มีความเห็นว่า ความบริสุทธิ์มีได้ด้วยศีล
ด้วยพรต ด้วยศีลและพรต ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นผิด ฯลฯ ความยึดถือโดย
วิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า สีลัพพตุปาทาน
อัตตวาทุปาทาน เป็นไฉน
ปุถุชนในโลกนี้ผู้มีสุตะน้อย ไม่ได้เห็นพระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ
ไม่ได้รับการแนะนำในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของ
สัตบุรุษ ไม่ได้รับการแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมพิจารณาเห็นรูปเป็นตน
หรือเห็นตนมีรูป เห็นรูปในตน หรือเห็นตนในรูป เห็นเวทนาเป็นตน ฯลฯ เห็น
สัญญาเป็นตน ฯลฯ เห็นสังขารเป็นตน ฯลฯ เห็นวิญญาณเป็นตน หรือย่อม
พิจารณาเห็นตนมีวิญญาณ เห็นวิญญาณในตน หรือเห็นตนในวิญญาณ ดังนี้
ทิฏฐิ ความเห็นผิด ฯลฯ ความยึดถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า
อัตตวาทุปาทาน
เหล่านี้ชื่อว่าอุปาทาน 4 (5)
[939] ตัณหุปาทาน เป็นไฉน
ตัณหาเมื่อเกิดแก่ภิกษุ ย่อมเกิดเพราะจีวรเป็นเหตุ เพราะบิณฑบาตเป็นเหตุ
เพราะเสนาสนะเป็นเหตุ หรือเพราะคิลานปัจจัยอันมีน้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อย
เป็นต้นที่ประณีตและประณีตยิ่งด้วยประการฉะนี้เป็นเหตุ
เหล่านี้เรียกว่า ตัณหุปาทาน (6)
อคติคมนะ 4 เป็นไฉน
บุคคลย่อมถึงความลำเอียงเพราะรักใคร่กัน เพราะเกลียดชัง เพราะเขลา
เพราะกลัว
ความลำเอียง การถึงความลำเอียง การลำเอียงเพราะรักใคร่กัน ความ
ลำเอียงเพราะเป็นพรรคพวกกัน ความหันเหไปเหมือนน้ำไหล มีลักษณะเช่นว่านี้
เหล่านี้เรียกว่า อคติคมนะ 4 (7)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :589 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [17.ขุททกวัตถุวิภังค์] 4.จตุกกนิทเทส
วิปริเยสะ 4 เป็นไฉน
การแสวงหาผิดด้วยอำนาจความเข้าใจ ความคิด และความเห็นว่าเที่ยงใน
สิ่งที่ไม่เที่ยง ว่าเป็นสุขในสิ่งที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นตัวตนในสิ่งที่ไม่เป็นตัวตน และว่า
งามในสิ่งที่ไม่งาม นี้ชื่อว่าวิปริเยสะ 4 (8)
อนริยโวหาร 4 เป็นไฉน
อนริยโวหาร 4 คือ

1. เรื่องที่ไม่เห็นพูดว่าเห็น 2. เรื่องที่ไม่ได้ยินพูดว่าได้ยิน
3. เรื่องที่ไม่รู้พูดว่ารู้ 4. เรื่องที่ไม่รู้แจ้งพูดว่ารู้แจ้ง

เหล่านี้เรียกว่า อนริยโวหาร 4 (9)
อนริยโวหาร 4 อีกนัยหนึ่ง เป็นไฉน
อนริยโวหาร 4 อีกนัยหนึ่ง คือ

1. เรื่องที่เห็นพูดว่าไม่เห็น 2. เรื่องที่ได้ยินพูดว่าไม่ได้ยิน
3. เรื่องที่รู้พูดว่าไม่รู้ 4. เรื่องที่รู้แจ้งพูดว่าไม่รู้แจ้ง

เหล่านี้เรียกว่า อนริยโวหาร 4 (10)
ทุจริต 4 เป็นไฉน
ทุจริต 4 คือ
1. ปาณาติบาต (ฆ่าสัตว์) 2. อทินนาทาน (ลักทรัพย์)
3. กาเมสุมิจฉาจาร (ประพฤติผิดในกาม)
4. มุสาวาท (พูดเท็จ)
เหล่านี้เรียกว่า ทุจริต 4 (11)
ทุจริต 4 อีกนัยหนึ่ง เป็นไฉน
ทุจริต 4 อีกนัยหนึ่ง คือ

1. มุสาวาท (พูดเท็จ) 2. ปิสุณวาจา (พูดส่อเสียด)
3. ผรุสวาจา (พูดคำหยาบ) 4. สัมผัปปลาปะ (พูดเพ้อเจ้อ)

เหล่านี้เรียกว่า ทุจริต 4 (12)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :590 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [17.ขุททกวัตถุวิภังค์] 4.จตุกกนิทเทส
ภัย 4 เป็นไฉน
ภัย 4 คือ

1. ชาติภัย (ภัยที่เกิดเพราะอาศัยชาติ)
2. ชราภัย (ภัยที่เกิดเพราะอาศัยชรา)
3. พยาธิภัย (ภัยที่เกิดเพราะอาศัยพยาธิ)
4. มรณภัย (ภัยที่เกิดเพราะอาศัยความตาย)

เหล่านี้เรียกว่า ภัย 4 (13)
ภัย 4 อีกนัยหนึ่ง เป็นไฉน
ภัย 4 คือ

1. ราชภัย (ภัยเกิดแต่พระราชา)
2. โจรภัย (ภัยเกิดแต่โจร)
3. อัคคิภัย (ภัยเกิดแต่ไฟ)
4. อุทกภัย (ภัยเกิดแต่น้ำท่วม)

เหล่านี้เรียกว่า ภัย 4 (14)
ภัย 4 อีกนัยหนึ่ง เป็นไฉน
ภัย 4 คือ

1. อูมิภัย (ภัยเกิดแต่คลื่น)
2. กุมภีลภัย (ภัยเกิดแต่จระเข้)
3. อาวัฏฏภัย (ภัยเกิดแต่น้ำวน)
4. สุสุกาภัย (ภัยเกิดแต่ปลาร้าย)

เหล่านี้เรียกว่า ภัย 4 (15)
ภัย 4 อีกนัยหนึ่ง เป็นไฉน
ภัย 4 คือ

1. อัตตานุวาทภัย (ภัยเกิดจากการติเตียนตนเอง)
2. ปรานุวาทภัย (ภัยเกิดจากการถูกผู้อื่นติเตียน)
3. ทัณฑภัย (ภัยเกิดจากการถูกลงอาชญา)
4. ทุคคติภัย (ภัยเกิดจากทุคติ)

เหล่านี้เรียกว่า ภัย 4 (16)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :591 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [17.ขุททกวัตถุวิภังค์] 5.ปัญจกนิทเทส
ทิฏฐิ 4 เป็นไฉน
ความเห็นเกิดขึ้นโดยจริงแท้มั่นคงว่า สุขทุกข์ตนทำขึ้นเอง และสุขทุกข์คนอื่น
ทำให้
ความเห็นเกิดขึ้นโดยจริงแท้มั่นคงว่า สุขทุกข์เป็นสิ่งที่ตนทำขึ้นเองและผู้อื่นทำให้
สุขทุกข์ไม่ใช่ตนเองและผู้อื่นทำให้ แต่เกิดขึ้นเองโดยเฉพาะ
เหล่านี้ชื่อว่าทิฏฐิ 4 (17)
จตุกกนิทเทส จบ

5. ปัญจกนิทเทส
[940] บรรดาปัญจกมาติกานั้น โอรัมภาคิยสังโยชน์1 5 เป็นไฉน
โอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 คือ

1. สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่าเป็นตัวของตน)
2. วิจิกิจฉา (ความสงสัย ลังเล ไม่แน่ใจ)
3. สีลัพพตปรามาส (ความยึดมั่นศีลพรต)
4. กามฉันทะ (ความกำหนัดในกามคุณ)
5. พยาบาท (ความขัดเคือง แค้นใจ)

เหล่านี้ชื่อว่าโอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 (1)
อุทธัมภาคิยสังโยชน์ 5 เป็นไฉน
อุทธัมภาคิยสังโยชน์ 5 คือ

1. รูปราคะ (ความกำหนัดในรูป)
2. อรูปราคะ (ความกำหนัดในอรูป)
3. มานะ (ความเย่อหยิ่งถือตัว)
4. อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน)
5. อวิชชา (ความไม่รู้ตามความเป็นจริง)

เหล่านี้ชื่อว่าอุทธัมภาคิยสังโยชน์ 5 (2)

เชิงอรรถ :
1 สังโยชน์เบื้องต่ำเป็นอย่างหยาบ เป็นไปในภพต่ำ คือกามภพ (อภิ.วิ.อ. 940/545)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :592 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [17.ขุททกวัตถุวิภังค์] 5.ปัญจกนิทเทส
มัจฉริยะ 5 เป็นไฉน
มัจฉริยะ 5 คือ

1. อาวาสมัจฉริยะ (ตระหนี่ที่อยู่)
2. กุลมัจฉริยะ (ตระหนี่ตระกูล)
3. ลาภมัจฉริยะ (ตระหนี่ลาภ)
4. วัณณมัจฉริยะ (ตระหนี่วรรณะ)
5. ธัมมมัจฉริยะ (ตระหนี่ธรรม)

เหล่านี้เรียกว่า มัจฉริยะ 5 (3)
สังคะ 5 เป็นไฉน
สังคะ 5 คือ

1. สังคะคือราคะ (เครื่องข้องคือราคะ)
2. สังคะคือโทสะ (เครื่องข้องคือโทสะ)
3. สังคะคือโมหะ (เครื่องข้องคือโมหะ)
4. สังคะคือมานะ (เครื่องข้องคือมานะ)
5. สังคะคือทิฏฐิ (เครื่องข้องคือทิฏฐิ)

เหล่านี้ชื่อว่าสังคะ 5 (4)
สัลละ 5 เป็นไฉน
สัลละ 5 คือ

1. สัลละคือราคะ (ลูกศรคือราคะ)
2. สัลละคือโทสะ (ลูกศรคือโทสะ)
3. สัลละคือโมหะ (ลูกศรคือโมหะ)
4. สัลละคือมานะ (ลูกศรคือมานะ)
5. สัลละคือทิฏฐิ (ลูกศรคือทิฏฐิ)

เหล่านี้ชื่อว่าสัลละ 5 (5)
[941] เจโตขีละ 5 เป็นไฉน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :593 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [17.ขุททกวัตถุวิภังค์] 5.ปัญจกนิทเทส
เจโตขีละ 5 คือ
1. บุคคลย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระศาสดา
2. บุคคลย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระธรรม
3. บุคคลย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระสงฆ์
4. บุคคลย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในสิกขา
5. บุคคลย่อมมีจิตขุ่นเคือง ไม่พอใจ มีจิตกระทบกระทั่ง มีจิต
กระด้างในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย
เหล่านี้ชื่อว่าเจโตขีละ 5 (6)
เจตโสวินิพันธะ 5 เป็นไฉน
เจตโสวินิพันธะ 5 คือ
1. บุคคลผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ยังไม่ปราศจากความพอใจ
ยังไม่ปราศจากความรัก ยังไม่ปราศจากความกระหาย ยังไม่
ปราศจากความเร่าร้อน ยังไม่ปราศจากความอยากในกาม
2. บุคคลผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ยังไม่ปราศจากความพอใจ
ยังไม่ปราศจากความรัก ยังไม่ปราศจากความกระหาย ยังไม่
ปราศจากจากความเร่าร้อน ยังไม่ปราศจากความอยากในกาย
3. บุคคลผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ยังไม่ปราศจากความพอใจ
ยังไม่ปราศจากความรัก ยังไม่ปราศจากความกระหาย ยังไม่
ปราศจากความเร่าร้อน ยังไม่ปราศจากความอยากในรูป
4. บุคคลบริโภคอาหารเต็มท้องตามความต้องการแล้ว ประกอบ
ขวนขวาย หาสุขในการนอน สุขในการเอน สุขในการหลับอยู่
5. บุคคลปรารถนาจะเกิดในหมู่เทพหมู่หนึ่งแล้วประพฤติพรหม
จรรย์ด้วยผูกใจว่า เราจักเป็นเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ หรือเทวดาผู้
มีศักดิ์น้อยองค์ใดองค์หนึ่งด้วยศีล1นี้ ด้วยวัตรนี้ ด้วยตบะนี้
หรือด้วยพรหมจรรย์นี้
เหล่านี้ชื่อว่าเจตโสวินิพันธะ 5 (7)

เชิงอรรถ :
1 คำว่า "ศีล" ในที่นี้หมายถึงปาริสุทธิศีล 4 คือ ปาติโมกขสังวรศีล อินทริยสังวรศีล อาชีวปาริสุทธิศีล
และปัจจยสันนิสิตศีล (อภิ.วิ.อ. 941/547)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :594 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [17.ขุททกวัตถุวิภังค์] 5.ปัญจกนิทเทส
นิวรณ์ 5 เป็นไฉน
นิวรณ์ 5 คือ

1. กามฉันทนิวรณ์ (ธรรมเป็นเครื่องกั้นความดีคือกามฉันทะ)
2. พยาปาทนิวรณ์ (ธรรมเป็นเครื่องกั้นความดีคือพยาบาท)
3. ถีนมิทธนิวรณ์ (ธรรมเป็นเครื่องกั้นความดีคือถีนมิทธะ)
4. อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ (ธรรมเป็นเครื่องกั้นความดีคืออุจธัจจ-
กุกกุจจะ)
5. วิจิกิจฉานิวรณ์ (ธรรมเป็นเครื่องกั้นความดีคือวิจิกิจฉา)

เหล่านี้ชื่อว่านิวรณ์ 5 (8)
อนันตริยกรรม 5 เป็นไฉน
อนันตริยกรรม 5 คือ

1. มาตุฆาต (ฆ่ามารดา)
2. ปิตุฆาต (ฆ่าบิดา)
3. อรหันตฆาต (ฆ่าพระอรหันต์)
4. โลหิตุปบาท (มีจิตประทุษร้ายทำร้ายพระพุทธเจ้าจน
ถึงยังพระโลหิตให้ห้อด้วยจิตคิดร้าย)
5. สังฆเภท (ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน)

เหล่านี้ชื่อว่าอนันตริยกรรม 5 (9)
ทิฏฐิ 5 เป็นไฉน
ทิฏฐิ 5 คือ
1. สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่งกล่าวยืนยันดังนี้ว่า อัตตามี
สัญญา หลังจากตายแล้วเป็นสภาวะที่เที่ยง
2. สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่งกล่าวยืนยันดังนี้ว่า อัตตาไม่
มีสัญญา หลังจากตายแล้วเป็นสภาวะที่เที่ยง
3. สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่งกล่าวยืนยันดังนี้ว่า อัตตามี
สัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ หลังจากตายแล้วเป็น
สภาวะที่เที่ยง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :595 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [17.ขุททกวัตถุวิภังค์] 5.ปัญจกนิทเทส
4. สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่งย่อมบัญญัติความขาดสูญ
ความไม่ปรากฏ ความไม่มีแห่งสัตว์ที่ยังปรากฏมีอยู่
5. สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่งกล่าวยืนยันนิพพานในปัจจุบัน
เหล่านี้เรียกว่า ทิฏฐิ 5 (10)
[942] เวร 5 เป็นไฉน
เวร 5 คือ

1. ปาณาติบาต (ฆ่าสัตว์)
2. อทินนาทาน (ลักทรัพย์)
3. กาเมสุมิจฉาจาร (ประพฤติผิดในกาม)
4. มุสาวาท (พูดเท็จ)
5. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐาน (ดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็น
ที่ตั้งแห่งความประมาท)

เหล่านี้ชื่อว่าเวร 5 (11)
พยสนะ 5 เป็นไฉน
พยสนะ 5 คือ

1. ญาติพยสนะ (ความพินาศแห่งญาติ)
2. โภคพยสนะ (ความพินาศแห่งโภคทรัพย์)
3. โรคพยสนะ (ความพินาศเพราะโรค)
4. สีลพยสนะ (ความพินาศแห่งศีล)
5. ทิฏฐิพยสนะ (ความพินาศแห่งทิฏฐิ)

เหล่านี้ชื่อว่าพยสนะ 5 (12)
โทษแห่งความไม่อดทน 5 เป็นไฉน
โทษแห่งความไม่อดทน 5 คือ
1. ไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่ชอบใจของชนมาก
2. มีเวรมาก
3. มีโทษมาก

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :596 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [17.ขุททกวัตถุวิภังค์] 5.ปัญจกนิทเทส
4. หลงลืมสติตาย
5. หลังจากตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
เหล่านี้ชื่อว่าโทษแห่งความไม่อดทน 5 (13)
ภัย 5 เป็นไฉน
ภัย 5 คือ

1. อาชีวกภัย (ภัยเกิดแต่การเลี้ยงชีพ)
2. อสิโลกภัย (ภัยเกิดแต่การติเตียน)
3. ปริสสารัชชภัย (ภัยคือความขลาดกลัวเมื่อเข้าสู่ที่ประชุม)
4. มรณภัย (ภัยเกิดแก่มรณะ)
5. ทุคคติภัย (ภัยเกิดแต่ทุคติ)

เหล่านี้ชื่อว่าภัย 5 (14)
[943] ทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ 5 เป็นไฉน
ทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ 5 คือ
1. สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ท่าน
ผู้เจริญ เพราะเหตุที่อัตตานี้เอิบอิ่มเพลิดเพลินอยู่ด้วยกามคุณ 5 จึงชื่อว่า
บรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรม สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่ง
บัญญัตินิพพานในปัจจุบันว่าเป็นบรมธรรมของสัตว์อย่างนี้
2. สมณะหรือพราหมณ์อื่นกล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์นั้นอย่างนี้ว่า ท่าน
ผู้เจริญ อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนี้มีอยู่จริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่อัตตานี้ไม่
ใช่บรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรมเพราะเหตุเพียงเท่านี้ เพราะ
เหตุไร เพราะกามทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา
เพราะกามเหล่านั้นแปรผันเป็นอย่างอื่น ความเศร้าโศก ความคร่ำครวญ
ความทุกข์ ความโทมนัส และความคับแค้นใจจึงเกิดขึ้น เพราะเหตุที่อัตตา
นี้สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌานอยู่ จึงชื่อว่าบรรลุนิพพานในปัจจุบัน
อันเป็นบรมธรรม สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัตินิพพานใน
ปัจจุบันว่าเป็นบรมธรรมของสัตว์อย่างนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :597 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [17.ขุททกวัตถุวิภังค์] 5. ปัญจกนิทเทส
3. สมณะหรือพราหมณ์อื่นกล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์นั้นอย่างนี้ว่า ท่าน
ผู้เจริญ อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนี้มีอยู่จริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่อัตตานี้
ไม่ใช่บรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรมด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เพราะ
เหตุไร เพราะวิตกวิจารที่มีอยู่ในปฐมฌานนั้น บัณฑิตกล่าวว่ายังเป็นของ
หยาบอยู่ เพราะวิตกและวิจารสงบไปแล้ว อัตตานี้จึงบรรลุทุติยฌานที่
ผ่องใส ฯลฯ จึงชื่อว่าบรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรม สมณะ
หรือพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัตินิพพานในปัจจุบันว่าเป็นบรมธรรมของ
สัตว์อย่างนี้
4. สมณะหรือพราหมณ์อื่นกล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์นั้นอย่างนี้ว่า อัตตา
ที่ท่านกล่าวถึงนี้มีอยู่จริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่อัตตานี้ไม่ใช่บรรลุ
นิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรมด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เพราะเหตุไร
เพราะปีติและความลำพองใจที่มีอยู่ในทุติยฌานนั้น บัณฑิตจึงกล่าวว่ายัง
หยาบอยู่ เพราะปีติจางคลายไป อัตตานี้ ฯลฯ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อัตตา
นี้จึงชื่อว่าบรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรม สมณะหรือพราหมณ์
พวกหนึ่งบัญญัตินิพพานในปัจจุบันว่าเป็นบรมธรรมของสัตว์อย่างนี้
5. สมณะหรือพราหมณ์อื่นกล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์นั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้
เจริญ อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนี้มีอยู่จริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่อัตตานี้ไม่
ใช่บรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรมด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เพราะ
เหตุไร เพราะจิตยังคำนึงถึงสุขมีอยู่ในตติยฌานนั้น บัญฑิตกล่าวว่ายัง
หยาบอยู่ เพราะเหตุที่ละสุขและทุกข์เสียได้ อัตตานี้ ฯลฯ จึงบรรลุ
จตุตถฌานที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขอยู่ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล อัตตานี้จึงชื่อว่า
บรรลุนิพพานในปัจจุบันเป็นบรมธรรม สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่ง
บัญญัตินิพพานในปัจจุบันว่าเป็นบรมธรรมของสัตว์อย่างนี้1
เหล่านี้เรียกว่า ทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ 5 (15)
ปัญจกนิทเทส จบ

เชิงอรรถ :
1 ที.สี. 9/94-98/36-38

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :598 }