เมนู

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [16.ญาณวิภังค์] 1.เอกกนิทเทส
คำว่า วิญญาณ 5 มีวัตถุไม่แตกดับ มีอารมณ์ไม่แตกดับ อธิบายว่า
เมื่อวัตถุยังไม่แตกดับ เมื่ออารมณ์ยังไม่แตกดับ วิญญาณ 5 ก็เกิดขึ้น (5)
คำว่า วิญญาณ 5 มีวัตถุต่างกัน มีอารมณ์ต่างกัน อธิบายว่า วัตถุและ
อารมณ์ของจักขุวิญญาณเป็นอย่างหนึ่ง วัตถุและอารมณ์ของโสตวิญญาณก็เป็นอย่าง
หนึ่ง วัตถุและอารมณ์ของฆานวิญญาณก็เป็นอย่างหนึ่ง วัตถุและอารมณ์ของชิวหา-
วิญญาณก็เป็นอย่างหนึ่ง วัตถุและอารมณ์ของกายวิญญาณก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง (6)
[763] คำว่า วิญญาณ 5 ไม่เสวยอารมณ์ของกันและกัน อธิบายว่า
โสตวิญญาณไม่เสวยอารมณ์ของจักขุวิญญาณ จักขุวิญญาณก็ไม่เสวยอารมณ์ของ
โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณไม่เสวยอารมณ์ของจักขุวิญญาณ จักขุวิญญาณก็ไม่
เสวยอารมณ์ของฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณไม่เสวยอารมณ์ของจักขุวิญญาณ
จักขุวิญญาณก็ไม่เสวยอารมณ์ของชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณไม่เสวยอารมณ์ของ
จักขุวิญญาณ จักขุวิญญาณก็ไม่เสวยอารมณ์ของกายวิญญาณ จักขุวิญญาณไม่เสวย
อารมณ์ของโสตวิญญาณ ฯลฯ จักขุวิญญาณไม่เสวยอารมณ์ของฆานวิญญาณ ฯลฯ
จักขุวิญญาณไม่เสวยอารมณ์ของชิวหาวิญญาณ ฯลฯ จักขุวิญญาณไม่เสวยอารมณ์
ของกายวิญญาณ แม้กายวิญญาณก็ไม่เสวยอารมณ์ของจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ
ไม่เสวยอารมณ์ของกายวิญญาณ แม้กายวิญญาณก็ไม่เสวยอารมณ์ของโสตวิญญาณ
ฆานวิญญาณไม่เสวยอารมณ์ของกายวิญญาณ แม้กายวิญญาณก็ไม่เสวยอารมณ์
ของฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณไม่เสวยอารมณ์ของกายวิญญาณ แม้กายวิญญาณ
ก็ไม่เสวยอารมณ์ของชิวหาวิญญาณ (7)
[764] คำว่า วิญญาณ 5 ไม่เกิดขึ้นเพราะไม่ใส่ใจ อธิบายว่า เมื่อใส่ใจ
อยู่ วิญญาณ 5 ก็เกิดขึ้น (8)
คำว่า วิญญาณ 5 ไม่เกิดขึ้นเพราะไม่มนสิการ อธิบายว่า เมื่อมนสิการ
อยู่ วิญญาณ 5 ก็เกิดขึ้น (9)
คำว่า วิญญาณ 5 ไม่เกิดขึ้นโดยไม่สับลำดับกัน อธิบายว่า วิญญาณ 5
ไม่เกิดขึ้นตามลำดับของกันและกัน (10)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :497 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [16.ญาณวิภังค์] 1.เอกกนิทเทส
คำว่า วิญญาณ 5 ไม่เกิดขึ้นพร้อมกัน อธิบายว่า วิญญาณ 5 ไม่เกิด
ขึ้นในขณะเดียวกัน (11)
[765] คำว่า วิญญาณ 5 ไม่เกิดขึ้นในลำดับของกันและกัน อธิบายว่า
โสตวิญญาณไม่เกิดขึ้นในลำดับที่จักขุวิญญาณเกิด แม้จักขุวิญญาณก็ไม่เกิดขึ้นใน
ลำดับที่โสตวิญญาณเกิด ฆานวิญญาณไม่เกิดขึ้นในลำดับที่จักขุวิญญาณเกิด แม้
จักขุวิญญาณก็ไม่เกิดขึ้นในลำดับที่ฆานวิญญาณเกิด ชิวหาวิญญาณไม่เกิดขึ้นใน
ลำดับที่จักขุวิญญาณเกิด แม้จักขุวิญญาณก็ไม่เกิดขึ้นในลำดับที่ชิวหาวิญญาณเกิด
กายวิญญาณไม่เกิดขึ้นในลำดับที่จักขุวิญญาณเกิด แม้จักขุวิญญาณก็ไม่เกิดขึ้นใน
ลำดับที่กายวิญญาณเกิด จักขุวิญญาณไม่เกิดขึ้นในลำดับโสตวิญญาณเกิด ฯลฯ
จักขุวิญญาณไม่เกิดขึ้นในลำดับที่ฆานวิญญาณเกิด ฯลฯ จักขุวิญญาณไม่เกิดใน
ลำดับชิวหาวิญญาณเกิด ฯลฯ จักขุวิญญาณไม่เกิดขึ้นในลำดับที่กายวิญญาณเกิด
แม้กายวิญญาณก็ไม่เกิดขึ้นในลำดับที่จักขุวิญญาณเกิด โสตวิญญาณไม่เกิดขึ้นใน
ลำดับที่กายวิญญาณเกิด แม้กายวิญญาณก็ไม่เกิดขึ้นในลำดับโสตวิญญาณเกิด
ฆานวิญญาณไม่เกิดขึ้นในลำดับที่กายวิญญาณเกิด แม้กายวิญญาณก็ไม่เกิดขึ้นใน
ลำดับที่ฆานวิญญาณเกิด ชิวหาวิญญาณไม่เกิดขึ้นในลำดับที่กายวิญญาณเกิด แม้
กายวิญญาณก็ไม่เกิดขึ้นในลำดับที่ชิวหาวิญญาณเกิด (12)
[766] คำว่า วิญญาณ 5 ไม่มีความผูกใจ อธิบายว่า ความนึก ความ
คิด ความพิจารณา หรือความทำไว้ในใจไม่มีแก่วิญญาณ 5 (13)
คำว่า บุคคลไม่รู้แจ้งธรรมอะไร ๆ ด้วยวิญญาณ 5 อธิบายว่า บุคคลไม่
รู้แจ้งธรรมอะไร ๆ ด้วยวิญญาณ 5 (14)
คำว่า เว้นแต่อารมณ์ที่ตกไป อธิบายว่า เว้นแต่เพียงอารมณ์ที่มาปรากฏ
คำว่า บุคคลไม่รู้แจ้งธรรมอะไร ๆ แม้ต่อจากลำดับแห่งวิญญาณ 5 อธิบาย
ว่า บุคคลไม่รู้แจ้งธรรมอะไร ๆ แม้ด้วยมโนธาตุในลำดับต่อจากวิญญาณ 5 (15)
คำว่า บุคคลไม่สำเร็จอิริยาบถอะไร ๆ ด้วยวิญญาณ 5 อธิบายว่า บุคคล
ไม่สำเร็จอิริยาบถอะไร ๆ คือ การเดิน ยืน นั่ง หรือนอน ด้วยวิญญาณ 5 (16)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :498 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [16.ญาณวิภังค์] 1.เอกกนิทเทส
คำว่า บุคคลไม่สำเร็จอิริยาบถอะไร ๆ แม้ต่อจากลำดับแห่งวิญญาณ 5
อธิบายว่า บุคคลไม่สำเร็จอิริยาบถอะไร ๆ คือ การเดิน ยืน นั่ง หรือนอนแม้
ด้วยมโนธาตุในลำดับต่อจากวิญญาณ 5 (17)
คำว่า บุคคลไม่ประกอบกายกรรมและวจีกรรมด้วยวิญญาณ 5 อธิบายว่า
บุคคลไม่ประกอบกายกรรม ไม่ประกอบวจีกรรมด้วยวิญญาณ 5 (18)
คำว่า บุคคลไม่ประกอบกายกรรมและวจีกรรมแม้ต่อจากลำดับแห่ง
วิญญาณ 5 อธิบายว่า บุคคลไม่ประกอบกายกรรม ไม่ประกอบวจีกรรมแม้ด้วย
มโนธาตุในลำดับต่อจากวิญญาณ 5 (19)
คำว่า บุคคลไม่สมาทานสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอกุศลด้วยวิญญาณ 5
อธิบายว่า บุคคลไม่สมาทานสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอกุศลด้วยวิญญาณ 5 (20)
คำว่า บุคคลไม่สมาทานสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอกุศลแม้ต่อจากลำดับ
แห่งวิญญาณ 5 อธิบายว่า บุคคลไม่สมาทานสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล
แม้ด้วยมโนธาตุในลำดับต่อจากวิญญาณ 5 (21)
คำว่า บุคคลไม่ได้เข้าสมาบัติ ไม่ได้ออกจากสมาบัติด้วยวิญญาณ 5
อธิบายว่า บุคคลไม่ได้เข้าสมาบัติ ไม่ได้ออกจากสมาบัติด้วยวิญญาณ 5 (22)
คำว่า บุคคลไม่ได้เข้าสมาบัติ ไม่ได้ออกจากสมาบัติแม้ต่อจากลำดับแห่ง
วิญญาณ 5 อธิบายว่า บุคคลไม่ได้เข้าสมาบัติ ไม่ได้ออกจากสมาบัติแม้ด้วย
มโนธาตุในลำดับต่อจากวิญญาณ 5 (23)
คำว่า บุคคลไม่จุติ ไม่ปฏิสนธิด้วยวิญญาณ 5 อธิบายว่า บุคคลไม่จุติ
ไม่ปฏิสนธิด้วยวิญญาณ 5 (24)
คำว่า บุคคลไม่จุติ ไม่ปฏิสนธิแม้ต่อจากลำดับแห่งวิญญาณ 5 อธิบายว่า
บุคคลไม่จุติ ไม่ปฏิสนธิแม้ด้วยมโนธาตุในลำดับต่อจากวิญญาณ 5 (25)
คำว่า บุคคลไม่หลับ ไม่ตื่น ไม่ฝันด้วยวิญญาณ 5 อธิบายว่า บุคคลไม่หลับ
ไม่ตื่น ไม่ฝันด้วยวิญญาณ 5 (26)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :499 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [16.ญาณวิภังค์] 2.ทุกนิทเทส
คำว่า บุคคลไม่หลับ ไม่ตื่น ไม่ฝันแม้ต่อจากลำดับแห่งวิญญาณ 5 อธิบาย
ว่า บุคคลไม่หลับ ไม่ตื่น ไม่ฝันแม้ด้วยมโนธาตุในลำดับต่อจากวิญญาณ 5 (27)
ความรู้เรื่องวิญญาณ 5 ดังกล่าวมานี้ชื่อว่า ปัญญาที่แสดงเรื่องของวิญญาณ
5 ตามที่เป็นจริง
ญาณวัตถุหมวดละ 1 มีด้วยประการฉะนี้
เอกกนิทเทส จบ

2. ทุกนิทเทส
[767] ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอัพยากฤตในภูมิ 3 ชื่อว่า โลกิย-
ปัญญา ปัญญาในมรรค 4 ผล 4 ชื่อว่า โลกุตตรปัญญา (1)
ปัญญาทั้งหมดชื่อว่า เกนจิวิญเญยยปัญญา และชื่อว่า นเกนจิวิญเญยย-
ปัญญา (2)
ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอัพยากฤตในภูมิ 3 ชื่อว่า สาสวปัญญา
ปัญญาในมรรค 4 ผล 4 ชื่อว่า อนาสวปัญญา (3)
ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอัพยากฤตในภูมิ 3 ชื่อว่า อาสววิปปยุตต-
สาสวปัญญา ปัญญาในมรรค 4 ผล 4 ชื่อว่า อาสววิปปยุตตอนาสวปัญญา (4)
ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอัพยากฤตในภูมิ 3 ชื่อว่า สัญโญชนิย-
ปัญญา ปัญญาในมรรค 4 ผล 4 ชื่อว่า อสัญโญชนิยปัญญา (5)
ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอัพยากฤตในภูมิ 3 ชื่อว่า สัญโญชน-
วิปปยุตตสัญโญชนิยปัญญา ปัญญาในมรรค 4 ผล 4 ชื่อว่า สัญโญชน-
วิปปยุตตอสัญโญชนิยปัญญา (6)
ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอัพยากฤตในภูมิ 3 ชื่อว่า คันถนิยปัญญา
ปัญญาในมรรค 4 ผล 4 ชื่อว่า อคันถนิยปัญญา (7)
ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอัพยากฤตในภูมิ 3 ชื่อว่า คันถวิปปยุตต-
คันถนิยปัญญา ปัญญาในมรรค 4 ผล 4 ชื่อว่า คันถวิปปยุตตอคันถนิยปัญญา (8)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :500 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [16.ญาณวิภังค์] 2.ทุกนิทเทส
ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอัพยากฤตในภูมิ 3 ชื่อว่า โอฆนิยปัญญา
ปัญญาในมรรค 4 ผล 4 ชื่อว่า อโนฆนิยปัญญา (9)
ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอัพยากฤตในภูมิ 3 ชื่อว่า โอฆวิปปยุตต-
โอฆนิยปัญญา ปัญญาในมรรค 4 ผล 4 ชื่อว่า โอฆวิปปยุตตอโนฆนิยปัญญา (10)
ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอัพยากฤตในภูมิ 3 ชื่อว่า โยคนิยปัญญา
ปัญญาในมรรค 4 ผล 4 ชื่อว่า อโยคนิยปัญญา (11)
ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอัพยากฤตในภูมิ 3 ชื่อว่า โยควิปปยุตต-
โยคนิยปัญญา ปัญญาในมรรค 4 ผล 4 ชื่อว่า โยควิปปยุตตอโยคนิยปัญญา (12)
ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอัพยากฤตในภูมิ 3 ชื่อว่า นีวรณิยปัญญา
ปัญญาในมรรค 4 ผล 4 ชื่อว่า อนีวรณิยปัญญา (13)
ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอัพยากฤตในภูมิ 3 ชื่อว่า นีวรณ-
วิปปยุตตนีวรณิยปัญญา ปัญญาในมรรค 4 ผล 4 ชื่อว่า นีวรณวิปปยุตต-
อนีวรณิยปัญญา (14)
ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอัพยากฤตในภูมิ 3 ชื่อว่า ปรามัฏฐปัญญา
ปัญญาในมรรค 4 ผล 4 ชื่อว่า อปรามัฏฐปัญญา (15)
ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอัพยากฤตในภูมิ 3 ชื่อว่า ปรามาส-
วิปปยุตตปรามัฏฐปัญญา ปัญญาในมรรค 4 ผล 4 ชื่อว่า ปรามาสวิปปยุตต-
อปรามัฏฐปัญญา (16)
ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นวิบากในภูมิ 3 ชื่อว่า อุปาทินนปัญญา ปัญญา
ในสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอัพยากตกิริยาในภูมิ 3 และในมรรค 4 ผล 4 ชื่อว่า
อนุปาทินนปัญญา (17)
ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอัพยากฤตในภูมิ 3 ชื่อว่า อุปาทานิยปัญญา
ปัญญาในมรรค 4 ผล 4 ชื่อว่า อนุปาทานิยปัญญา (18)
ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอัพยากฤตในภูมิ 3 ชื่อว่า อุปาทาน-
วิปปยุตตอุปาทานิยปัญญา ปัญญาในมรรค 4 ผล 4 ชื่อว่า อุปาทานวิปปยุตต-
อนุปาทานิยปัญญา (19)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :501 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [16.ญาณวิภังค์] 2.ทุกนิทเทส
ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอัพยากฤตในภูมิ 3 ชื่อว่า สังกิเลสิกปัญญา
ปัญญาในมรรค 4 ผล 4 ชื่อว่า อสังกิเลสิกปัญญา (20)
ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอัพยากฤตในภูมิ 3 ชื่อว่า กิเลสวิปปยุตต-
สังกิเลสิกปัญญา ปัญญาในมรรค 4 ผล 4 ชื่อว่า กิเลสวิปปยุตตอสังกิเลสิก-
ปัญญา (21)
ปัญญาที่สัมปยุตด้วยวิตกชื่อว่า สวิตักกปัญญา ปัญญาที่วิปปยุตจากวิตกชื่อ
ว่า อวิตักกปัญญา (22)
ปัญญาที่สัมปยุตด้วยวิจารชื่อว่า สวิจารปัญญา ปัญญาที่วิปปยุตจากวิจาร
ชื่อว่า อวิจารปัญญา (23)
ปัญญาที่สัมปยุตด้วยปีติชื่อว่า สัปปีติกปัญญา ปัญญาที่วิปปยุตจากปีติชื่อ
ว่า อัปปีติกปัญญา (24)
ปัญญาที่สัมปยุตด้วยปีติชื่อว่า ปีติสหคตปัญญา ปัญญาที่วิปปยุตจากปีติ
ชื่อว่า นปีติสหคตปัญญา (25)
ปัญญาที่สัมปยุตด้วยสุขชื่อว่า สุขสหคตปัญญา ปัญญาที่วิปปยุตจากสุขชื่อว่า
นสุขสหคตปัญญา (26)
ปัญญาที่สัมปยุตด้วยอุเบกขาชื่อว่า อุเปกขาสหคตปัญญา ปัญญาที่วิปปยุต
จากอุเบกขาชื่อว่า นอุเปกขาสหคตปัญญา (27)
ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกามาวจรกุศลและกามาวจรอัพยากฤตชื่อว่า
กามาวจรปัญญา ปัญญาที่เป็นรูปาวจร ปัญญาที่เป็นอรูปาวจร ปัญญาที่ไม่นับ
เนื่องในวัฏฏทุกข์ชื่อว่า นกามาวจรปัญญา (28)
ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นรูปาวจรกุศลและรูปาวจรอัพยากฤตชื่อว่า รูปาวจร-
ปัญญา ปัญญาที่เป็นกามาวจร ปัญญาที่เป็นอรูปาวจรและปัญญาที่ไม่นับเนื่องใน
วัฏฏทุกข์ชื่อว่า นรูปาวจรปัญญา (29)
ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นอรูปาวจรกุศลและอรูปาวจรอัพยากฤตชื่อว่า
อรูปาวจรปัญญา ปัญญาที่เป็นกามาวจร ปัญญาที่เป็นรูปาวจร และปัญญาที่ไม่
นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ชื่อว่า นอรูปาวจรปัญญา (30)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :502 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [16.ญาณวิภังค์] 3.ติกนิทเทส
ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอัพยากฤตในภูมิ 3 ชื่อว่า ปริยาปันน-
ปัญญา ปัญญาในมรรค 4 ผล 4 ชื่อว่า อปริยาปันนปัญญา (31)
ปัญญาในมรรค 4 ชื่อว่า นิยยานิกปัญญา ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลใน
ภูมิ 3 ที่เป็นวิบากในภูมิ 4 และที่เป็นอัพยากตกิริยาในภูมิ 3 ชื่อว่า อนิยยานิก-
ปัญญา (32)
ปัญญาในมรรค 4 ชื่อว่า นิยตปัญญา ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลในภูมิ 3
ที่เป็นวิบากในภูมิ 4 และที่เป็นอัพยากตกิริยาในภูมิ 3 ชื่อว่า อนิยตปัญญา (33)
ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอัพยากฤตในภูมิ 3 ชื่อว่า สอุตตรปัญญา
ปัญญาในมรรค 4 ผล 4 ชื่อว่า อนุตตรปัญญา (34)
บรรดาปัญญาเหล่านั้น อัตถชาปิกปัญญา เป็นไฉน
ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลในภูมิ 4 และที่เป็นอัพยากตกิริยาของพระ
อรหันต์ผู้กำลังทำอภิญญาให้เกิดขึ้น ผู้กำลังทำสมาบัติให้เกิดขึ้น ชื่อว่า อัตถชาปิก-
ปัญญา ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นวิบากในภูมิ 4 และที่เป็นอัพยากตกิริยาของพระ
อรหันต์ ในเมื่ออภิญญาและสมาบัติเกิดขึ้นแล้ว ชื่อว่า ชาปิตัตถปัญญา (35)
ญาณวัตถุหมวดละ 2 มีด้วยประการฉะนี้
ทุกนิทเทส จบ

3. ติกนิทเทส
[768] บรรดาญาณวัตถุหมวดละ 3 นั้น จินตามยปัญญา เป็นไฉน
ในการงานทั้งหลายที่ต้องจัดการด้วยปัญญา ในศิลปะทั้งหลาย1 ที่ต้องจัดการ
ด้วยปัญญา หรือในวิชาทั้งหลายที่ต้องจัดการด้วยปัญญา บุคคลมิได้ฟังจากผู้อื่น ได้
กัมมัสสกตาญาณ2 หรือได้สัจจานุโลมิกญาณ3ว่า รูปไม่เที่ยง ฯลฯ เวทนาไม่เที่ยง

เชิงอรรถ :
1 อภิ.วิ.อ. 768/438
2 ญาณรู้ว่าสัตว์มีกรรมเป็นของ ๆ ตน คือ ทำดีได้ดี ทำชัวได้ชั่ว (อภิ.วิ.อ. 768/440)
3 สัจจานุโลมิกญาณ คือ วิปัสสนาญาณ ท่านเรียกว่า สัจจานุโลมิกญาณ เพราะอนุโลมตามสัจจะ 4 ประการ
มีรูปไม่เที่ยงเป็นต้น (อภิ.วิ.อ. 768/440)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :503 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [16.ญาณวิภังค์] 3.ติกนิทเทส
ฯลฯ สัญญาไม่เที่ยง ฯลฯ สังขารไม่เที่ยง ฯลฯ วิญญาณไม่เที่ยงดังนี้บ้าง ได้
1ความสามารถ ความคิดอ่าน ความพอใจ ความกระจ่าง ความเพ่งพินิจ และได้
ปัญญาที่สามารถไตร่ตรองสภาวธรรมอันเหมาะสม1 มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า
จินตามยปัญญา
สุตมยปัญญา เป็นไฉน
ในการงานทั้งหลายที่ต้องจัดการด้วยปัญญา ในศิลปะทั้งหลายที่ต้องจัดการ
ด้วยปัญญา ในวิชาทั้งหลายที่ต้องจัดการด้วยปัญญา บุคคลได้ฟังจากผู้อื่น ได้
กัมมัสสกตาญาณ หรือได้สัจจานุโลมิกญาณว่า รูปไม่เที่ยง ฯลฯ เวทนาไม่เที่ยง
ฯลฯ สัญญาไม่เที่ยง ฯลฯ สังขารไม่เที่ยง ฯลฯ วิญญาณไม่เที่ยงดังนี้บ้าง ได้
ความสามารถ ความคิดอ่าน ความพอใจ ความกระจ่าง ความเพ่งพินิจ และได้
ปัญญาที่สามารถไตร่ตรองสภาวธรรมอันเหมาะสม มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า
สุตมยปัญญา
ปัญญาของผู้เข้าสมาบัติแม้ทั้งหมดชื่อว่า ภาวนามยปัญญา (1)
[769] ทานมยปัญญา เป็นไฉน
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรม
สัมมาทิฏฐิ ปรารภทานเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ให้ทาน นี้เรียกว่า ทานมยปัญญา
สีลมยปัญญา เป็นไฉน
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรม
สัมมาทิฏฐิ ปรารภศีลเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้รักษาศีล นี้เรียกว่า สีลมยปัญญา
ปัญญาของผู้เข้าสมาบัติแม้ทั้งหมดชื่อว่า ภาวนามยปัญญา (2)
[770] อธิสีลปัญญา เป็นไฉน
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรม
สัมมาทิฏฐิ เกิดขึ้นแก่ผู้สำรวมปาติโมกขสังวร2 นี้เรียกว่า อธิสีลปัญญา (3)

เชิงอรรถ :
1-1 ตรงกับคำบาลีว่า ขนฺตึ ทิฏฺฐึ รุจึ มุทึ เปกฺขํ ธมฺมนิชฺฌานกฺขนฺตึ (อภิ.วิ.อ. 768/440)
2 ศีล คือความสำรวมในพระปาฏิโมกข์ เว้นจากข้อห้ามทำตามข้ออนุญาต ประพฤติเคร่งครัดในสิกขาบท
ทั้งหลาย (วิสุทฺธิ. 1/19)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :504 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [16.ญาณวิภังค์] 3.ติกนิทเทส
อธิจิตตปัญญา เป็นไฉน
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรม สัมมา-
ทิฏฐิเกิดขึ้นแก่ผู้เข้ารูปาวจรสมาบัติและอรูปาวจรสมาบัติ นี้เรียกว่า อธิจิตตปัญญา
อธิปัญญปัญญา เป็นไฉน
ปัญญาในมรรค 4 ผล 4 นี้เรียกว่า อธิปัญญปัญญา1 (3)
[771] อายโกศล เป็นไฉน
เมื่อบุคคลพิจารณาธรรมเหล่านี้อยู่ ธรรมที่เป็นอกุศลซึ่งยังไม่เกิดก็ไม่เกิด ที่
เกิดแล้วก็เสึ่อมไป หรือเมื่อบุคคลพิจารณาธรรมเหล่านี้อยู่ ธรรมที่เป็นกุศลซึ่งยัง
ไม่เกิดก็เกิด และที่เกิดแล้วก็เป็นไปเพื่อภิยโยภาพ ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ ปัญญา
กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรม สัมมาทิฏฐิในข้อนั้น
นี้เรียกว่า อายโกศล
อปายโศล เป็นไฉน
เมื่อบุคคลพิจารณาธรรมเหล่านี้อยู่ ธรรมที่เป็นกุศลซึ่งยังไม่เกิดก็ไม่เกิด ที่
เกิดแล้วก็ดับไป หรือเมื่อบุคคลพิจารณาธรรมเหล่านี้อยู่ ธรรมที่เป็นอกุศลซึ่ง
ยังไม่เกิดก็เกิด และที่เกิดแล้วก็เป็นไปเพื่อภิยโยภาพ ไพบูลย์ ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด
ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรม สัมมาทิฏฐิในข้อนั้น นี้เรียกว่า
อปายโกศล
ปัญญาแม้ทั้งหมดที่เป็นอุบายสำหรับแก้ไขในเมื่อกิจรีบด่วนหรือภัยที่เกิด2 แล้ว
นั้นชื่อว่า อุปายโกศล (4)
[772] ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นวิบากในภูมิ 4 ชื่อว่า วิปากปัญญา ปัญญา
ในสภาวธรรมที่เป็นกุศลในภูมิ 4 ชื่อว่า วิปากธัมมธัมมปัญญา ปัญญาในสภาวธรรม
ที่เป็นอัพยากตกิริยาในภูมิ 3 ชื่อว่า เนววิปากนวิปากธัมมธัมมปัญญา (5)

เชิงอรรถ :
1 หมายถึงวิปัสสนาปัญญาและมรรคปัญญา (อภิ.วิ.อ. 770/443)
2 อภิ.วิ.อ. 771/443

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :505 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [16.ญาณวิภังค์] 3.ติกนิทเทส
[773] ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นวิบากในภูมิ 3 ชื่อว่า อุปาทินนุปาทานิย-
ปัญญา ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลในภูมิ 3 และที่เป็นอัพยากตกิริยาในภูมิ 3
ชื่อว่า อนุปาทินนุปาทานิยปัญญา ปัญญาในมรรค 4 ผล 4 ชื่อว่า อนุปาทินน-
อนุปาทานิยปัญญา (6)
[774] ปัญญาที่สัมปยุตด้วยวิตกและวิจารชื่อว่า สวิตักกสวิจารปัญญา
ปัญญาที่วิปปยุตจากวิตกแต่สัมปยุตด้วยวิจารชื่อว่า อวิตักกวิจารมัตตปัญญา ปัญญา
ที่วิปปยุตจากวิตกและวิจารชื่อว่า อวิตักกอวิจารปัญญา (7)
[775] ปัญญาที่สัมปยุตด้วยปีติชื่อว่า ปีติสหคตปัญญา ปัญญาที่สัมปยุต
ด้วยสุขชื่อว่า สุขสหคตปัญญา ปัญญาที่สัมปยุตด้วยอุเบกขาชื่อว่า อุเปกขา-
สหคตปัญญา (8)
[776] ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลในภูมิ 3 ชื่อว่า อาจยคามินีปัญญา
ปัญญาในมรรค 4 ชื่อว่า อปจยคามินีปัญญา ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นวิบาก
ในภูมิ 4 และที่เป็นอัพยากตกิริยาในภูมิ 3 ชื่อว่า เนวาจยคามินาปจยคามินี-
ปัญญา (9)
[777] ปัญญาในมรรค 4 และในผล 3 ชื่อว่า เสกขปัญญา ปัญญาใน
อรหัตตผลอันเป็นผลเบื้องบนชื่อว่า อเสกขปัญญา ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็น
กุศลในภูมิ 3 ที่เป็นวิบากในภูมิ 3 และที่เป็นอัพยากตกิริยาในภูมิ 3 ชื่อว่า
เนวเสกขนาเสกขปัญญา (10)
[778] ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอัพยากฤตซึ่งเป็นกามาวจรชื่อ
ว่า ปริตตปัญญา ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอัพยากฤตซึ่งเป็นรูปาวจรและ
อรูปาวจรชื่อว่า มหัคคตปัญญา ปัญญาในมรรค 4 ผล 4 ชื่อว่า อัปปมาณ-
ปัญญา (11)
[779] บรรดาปัญญาเหล่านั้น ปริตตารัมมณปัญญา เป็นไฉน
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรม สัมมา-
ทิฏฐิ ปรารภสภาวธรรมที่เป็นปริตตะเกิดขึ้น นี้เรียกว่า ปริตตารัมมณปัญญา (12)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :506 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [16.ญาณวิภังค์] 3.ติกนิทเทส
[780] มหัคคตารัมมณปัญญา เป็นไฉน
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรม
สัมมาทิฏฐิ ปรารภสภาวธรรมที่เป็นมหัคตะเกิดขึ้น นี้เรียกว่า มหัคคตารัมมณ-
ปัญญา (12)
[781] อัปปมาณารัมมณปัญญา เป็นไฉน
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรม
สัมมาทิฏฐิ ปรารภสภาวธรรมที่เป็นอัปปมาณะเกิดขึ้น นี้เรียกว่า อัปปมาณา-
รัมมณปัญญา (12)
[782] มัคคารัมมณปัญญา เป็นไฉน
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรม
สัมมาทิฏฐิ ปรารภอริยมรรคเกิดขึ้น นี้เรียกว่า มัคคารัมมณปัญญา
ปัญญาในมรรค 4 ชื่อว่า มัคคเหตุกปัญญา (13)
[783] มัคคาธิปตินีปัญญา เป็นไฉน
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรม
สัมมาทิฏฐิ ทำอริยมรรคให้เป็นอธิบดีเกิดขึ้น นี้เรียกว่า มัคคาธิปตินีปัญญา (13)
[784] ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นวิบากในภูมิ 4 ที่เกิดขึ้นก็มี ที่จักเกิดขึ้น
แน่นอนก็มี แต่กล่าวไม่ได้ว่า ยังไม่เกิดขึ้น ปัญญาในสภาวธรรมที่เป็นกุศลในภูมิ 4
และที่เป็นอัพยากตกิริยาในภูมิ 3 ที่เกิดขึ้นก็มี ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี แต่กล่าวไม่ได้ว่า
จักเกิดขึ้นแน่นอน (14)
[785] ปัญญาทั้งหมดที่เป็นอดีตก็มี ที่เป็นอนาคตก็มี ที่เป็นปัจจุบันก็มี
(15)
[786] อตีตารัมมณปัญญา เป็นไฉน
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรม สัมมา-
ทิฏฐิ ปรารภสภาวธรรมที่เป็นอดีตเกิดขึ้น นี้เรียกว่า อตีตารัมมณปัญญา (16)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :507 }