เมนู

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [10.โพชฌังควิภังค์] 3.ปัญหาปุจฉกะ
สภาวธรรมที่เหลือชื่อว่าสัมปยุตด้วยปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ฯลฯ
สภาวธรรมที่เหลือชื่อว่าสัมปยุตด้วยสมาธิสัมโพชฌงค์
อุเปกขาสัมโพชฌงค์ เป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้เจริญฌานที่เป็นโลกุตตระซึ่งเป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์
ให้ถึงนิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุ
ปฐมฌานเป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา อยู่ในสมัยใด ในสมัยนั้น ผัสสะ ฯลฯ
อวิกเขปะ ก็เกิดขึ้น สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่าเป็นกุศล
ภิกษุสงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌานที่เป็นสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทา-
ทันธาภิญญา ซึ่งเป็นวิบาก เพราะได้ทำได้เจริญฌานที่เป็นโลกุตตรกุศลนั้นนั่นแหละ
อยู่ในสมัยใด ในสมัยนั้น อุเบกขา ความวางเฉย ความเพ่งเฉย ความวางจิตเป็น
กลาง อุเปกขาสัมโพชฌงค์ นี้เรียกว่า อุเปกขาสัมโพชฌงค์ สภาวธรรมที่เหลือชื่อว่า
สัมปยุตด้วยอุเปกขาสัมโพชฌงค์
อภิธรรมภาชนีย์ จบ

3. ปัญหาปุจฉกะ
[482] โพชฌงค์ 7 คือ

1. สติสัมโพชฌงค์ 2. ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
3. วิริยสัมโพชฌงค์ 4. ปีติสัมโพชฌงค์
5. ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ 6. สมาธิสัมโพชฌงค์
7. อุเปกขาสัมโพชฌงค์

ติกมาติกาปุจฉา ทุกมาติกาปุจฉา
[483] บรรดาโพชฌงค์ 7 โพชฌงค์เท่าไรเป็นกุศล เท่าไรเป็นอกุศล เท่าไร
เป็นอัพยากฤต ฯลฯ เท่าไรเป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ เท่าไรไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :366 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [10.โพชฌังควิภังค์] 3.ปัญหาปุจฉกะ 1.ติกมาติกาวิสัชนา
1. ติกมาติกาวิสัชนา
1-22. กุสลติกาทิวิสัชนา
[484] โพชฌงค์ 7 ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
ปีติสัมโพชฌงค์ สัมปยุตด้วยสุขเวทนา โพชฌงค์ 6 ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา
ก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
โพชฌงค์ 7 ที่เป็นวิบากก็มี ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
โพชฌงค์ 7 กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์
ของอุปาทาน
โพชฌงค์ 7 กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลส
โพชฌงค์ 7 ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้ง
วิตกและวิจารก็มี ปีติสัมโพชฌงค์ไม่สหรคตด้วยปีติ แต่สหรคตด้วยสุข ไม่สหรคต
ด้วยอุเบกขา โพชฌงค์ 6 ที่สหรคตด้วยปีติก็มี ที่สหรคตด้วยสุขก็มี ที่สหรคต
ด้วยอุเบกขาก็มี
โพชฌงค์ 7 ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน 3
โพชฌงค์ 7 ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน 3
โพชฌงค์ 7 ที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพานก็มี ที่ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และ
นิพพานก็มี
โพชฌงค์ 7 ที่เป็นของเสขบุคคลก็มี ที่เป็นของอเสขบุคคลก็มี
โพชฌงค์ 7 เป็นอัปปมาณะ
โพชฌงค์ 7 มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์
โพชฌงค์ 7 เป็นชั้นประณีต
โพชฌงค์ 7 ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนก็มี ที่ให้ผลไม่แน่นอนก็มี
โพชฌงค์ 7 ไม่ใช่มีมรรคเป็นอารมณ์


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :367 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [10.โพชฌังควิภังค์] 3.ปัญหาปุจฉกะ 2.ทุกมาติกาวิสัชนา
โพชฌงค์ 7 ที่มีมรรคเป็นเหตุก็มี ที่มีมรรคเป็นอธิบดีก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า
มีมรรคเป็นเหตุ หรือมีมรรคเป็นอธิบดีก็มี
โพชฌงค์ 7 ที่เกิดขึ้นก็มี ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี
โพชฌงค์ 7 ที่เป็นอดีตก็มี ที่เป็นอนาคตก็มี ที่เป็นปัจจุบันก็มี
โพชฌงค์ 7 กล่าวไม่ได้ว่า มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์
หรือมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์
โพชฌงค์ 7 ที่เป็นภายในตนก็มี ที่เป็นภายนอกตนก็มี ที่เป็นภายในตน
และภายนอกตนก็มี
โพชฌงค์ 7 มีธรรมเป็นภายนอกตนเป็นอารมณ์
โพชฌงค์ 7 เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้

2. ทุกมาติกาวิสัชนา
1. เหตุโคจฉกวิสัชนา
[485] ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์เป็นเหตุ โพชฌงค์ 6 สัมปยุตด้วยเหตุ
ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์เป็นเหตุและมีเหตุ โพชฌงค์ 6 กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุ
และมีเหตุ หรือมีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุ
ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ โพชฌงค์ 6 กล่าวไม่ได้ว่า
เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ หรือสัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุ
โพชฌงค์ 6 ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์กล่าวไม่ได้ว่า ไม่เป็น
เหตุแต่มีเหตุ หรือไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุ

2. จูฬันตรทุกวิสัชนา
โพชฌงค์ 7 มีปัจจัยปรุงแต่ง โพชฌงค์ 7 ถูกปัจจัยปรุงแต่ง
โพชฌงค์ 7 เห็นไม่ได้ โพชฌงค์ 7 กระทบไม่ได้
โพชฌงค์ 7 ไม่เป็นรูป โพชฌงค์ 7 เป็นโลกุตตระ
โพชฌงค์ 7 จิตบางดวงรู้ได้ โพชฌงค์ 7 จิตบางดวงรู้ไม่ได้


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :368 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [10.โพชฌังควิภังค์] 3.ปัญหาปุจฉกะ 2.ทุกมาติกาวิสัชนา
3. อาสวโคจฉกวิสัชนา
โพชฌงค์ 7 ไม่เป็นอาสวะ โพชฌงค์ 7 ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
โพชฌงค์ 7 วิปปยุตจากอาสวะ โพชฌงค์ 7 กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะ
และเป็นอารมณ์ของอาสวะ หรือเป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ
โพชฌงค์ 7 กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะ หรือสัมปยุต
ด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ
โพชฌงค์ 7 วิปปยุตจากอาสวะ โพชฌงค์ 7 ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ

4-9. สัญโญชนโคจฉกาทิวิสัชนา
โพชฌงค์ 7 ไม่เป็นสังโยชน์ ฯลฯ ไม่เป็นคันถะ ฯลฯ ไม่เป็นโอฆะ ฯลฯ
ไม่เป็นโยคะ ฯลฯ ไม่เป็นนิวรณ์ ฯลฯ ไม่เป็นปรามาส ฯลฯ

10-12. มหันตรทุกาทิวิสัชนา
โพชฌงค์ 7 รับรู้อารมณ์ได้ โพชฌงค์ 7 ไม่เป็นจิต
โพชฌงค์ 7 เป็นเจตสิก โพชฌงค์ 7 สัมปยุตด้วยจิต
โพชฌงค์ 7 ระคนกับจิต โพชฌงค์ 7 มีจิตเป็นสมุฏฐาน
โพชฌงค์ 7 เกิดพร้อมกับจิต โพชฌงค์ 7 เป็นไปตามจิต
โพชฌงค์ 7 ระคนกับจิตและมีจิตเป็นสมุฏฐาน โพชฌงค์ 7 ระคนกับจิตมี
จิตเป็นสมุฏฐานและเกิดพร้อมกับจิต
โพชฌงค์ 7 ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเป็นไปตามจิต โพชฌงค์ 7
เป็นภายนอก
โพชฌงค์ 7 ไม่เป็นอุปาทายรูป โพชฌงค์ 7 กรรมอันประกอบด้วยตัณหา
และทิฏฐิไม่ยึดถือ
โพชฌงค์ 7 ไม่เป็นอุปาทาน ฯลฯ ไม่เป็นกิเลส ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :369 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [10.โพชฌังควิภังค์] 3.ปัญหาปุจฉกะ 2.ทุกมาติกาวิสัชนา
13. ปิฏฐิทุกวิสัชนา
โพชฌงค์ 7 ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค โพชฌงค์ 7 ไม่ต้อง
ประหาณด้วยมรรคเบื้องบน 3
โพชฌงค์ 7 ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค โพชฌงค์ 7 ไม่มี
เหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน 3
โพชฌงค์ 7 ที่มีวิตกก็มี ที่ไม่มีวิตกก็มี โพชฌงค์ 7 ที่มีวิจารก็มี ที่ไม่มี
วิจารก็มี
ปีติสัมโพชฌงค์ไม่มีปีติ โพชฌงค์ 6 ที่มีปีติก็มี ที่ไม่มีปีติก็มี
ปีติสัมโพชฌงค์ไม่สหรคตด้วยปีติ โพชฌงค์ 6 ที่สหรคตด้วยปีติก็มี ที่ไม่
สหรคตด้วยปีติก็มี
ปีติสัมโพชฌงค์สหรคตด้วยสุข โพชฌงค์ 6 ที่สหรคตด้วยสุขก็มี ที่ไม่
สหรคตด้วยสุขก็มี
ปีติสัมโพชฌงค์ไม่สหรคตด้วยอุเบกขา โพชฌงค์ 6 ที่สหรคตด้วยอุเบกขา
ก็มี ที่ไม่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี
โพชฌงค์ 7 ไม่เป็นกามาวจร โพชฌงค์ 7 ไม่เป็นรูปาวจร
โพชฌงค์ 7 ไม่เป็นอรูปาวจร โพชฌงค์ 7 ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์
โพชฌงค์ 7 ที่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ก็มี ที่ไม่เป็นเหตุนำออกจาก
วัฏฏทุกข์ก็มี โพชฌงค์ 7 ที่ให้ผลแน่นอนก็มี ที่ให้ผลไม่แน่นอนก็มี
โพชฌงค์ 7 ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า โพชฌงค์ 7 ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้

ปัญหาปุจฉกะ จบ

โพชฌังควิภังค์ จบบริบูรณ์

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :370 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [11. มัคควิภังค์] 1. สุตตันตภาชนีย์
11. มัคควิภังค์
1. สุตตันตภาชนีย์
อริยมรรคมีองค์ 8 นัยที่ 1
[486] อริยมรรคมีองค์ 8 คือ

1. สัมมาทิฏฐิ (เห็นชอบ) 2. สัมมาสังกัปปะ (ดำริชอบ)
3. สัมมาวาจา (เจรจาชอบ) 4. สัมมากัมมันตะ (กระทำชอบ)
5. สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ) 6. สัมมาวายามะ (เพียรชอบ)
7. สัมมาสติ (ระลึกชอบ) 8. สัมมาสมาธิ (ตั้งจิตมั่นชอบ)

[487] บรรดาอริยมรรคมีองค์ 8 เหล่านั้น สัมมาทิฏฐิ เป็นไฉน
ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในทุกขสมุทัย ความรู้ในทุกขนิโรธ ความรู้ในทุกข-
นิโรธคามินีปฏิปทา นี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ (1)
สัมมาสังกัปปะ เป็นไฉน
ความดำริในการออกจากกาม ความดำริในการไม่พยาบาท ความดำริใน
การไม่เบียดเบียน นี้เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ (2)
สัมมาวาจา เป็นไฉน
เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการพูดเท็จ เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการพูดส่อเสียด
เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการพูดคำหยาบ เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
นี้เรียกว่า สัมมาวาจา (3)
สัมมากัมมันตะ เป็นไฉน
เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการลักทรัพย์
เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม นี้เรียกว่า สัมมากัมมันตะ (4)
สัมมาอาชีวะ เป็นไฉน
พระอริยสาวกในธรรมวินัยนี้ละมิจฉาอาชีวะแล้ว เลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยสัมมาอาชีวะ
นี้เรียกว่า สัมมาอาชีวะ (5)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :371 }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [11. มัคควิภังค์] 1. สุตตันตภาชนีย์
สัมมาวายามะ เป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้สร้างฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต
มุ่งมั่นเพื่อป้องกันบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น
... เพื่อละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
... เพื่อทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
... เพื่อความดำรงอยู่ ไม่เลือนหาย ภิยโยภาพ ไพบูลย์ เจริญเต็มที่แห่ง
กุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว นี้เรียกว่า สัมมาวายามะ (6)
สัมมาสติ เป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
1. พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้
2. พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้
3. พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้
4. พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้
นี้เรียกว่า สัมมาสติ (7)
สัมมาสมาธิ เป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย บรรลุปฐมฌานที่มี
วิตก มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดจากวิเวกอยู่ เพราะวิตกวิจารสงบระงับไปแล้ว บรรลุ
ทุติยฌานที่มีความผ่องใสในภายใน มีภาวะที่จิตเป็นหนึ่งผุดขึ้น ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร มี
แต่ปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิอยู่ เพราะปีติจางคลายไป มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ
เสวยสุขด้วยนามกาย บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายกล่าวสรรเสริญว่า ผู้มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 35 หน้า :372 }