พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต [2.ทุติยปัณณาสก์] 2.ภูมิจาลวรรค 5.อภิภายตนสูตร
5. อภิภายตนสูตร
ว่าด้วยอภิภายตนะ
[65] ภิกษุทั้งหลาย อภิภายตนะ1 8 ประการนี้
อภิภายตนะ 8 ประการ อะไรบ้าง คือ
1. บุคคลหนึ่งมีรูปสัญญาภายใน2 เห็นรูปภายนอกขนาดเล็ก มีสีสันดี
หรือไม่ดี ครอบงำรูปเหล่านั้นได้ มีสัญญาอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น
นี้เป็นอภิภายตนะที่ 1
2. บุคคลหนึ่งมีรูปสัญญาภายใน เห็นรูปภายนอกขนาดใหญ่ มีสีสันดี
หรือไม่ดี ครอบงำรูปเหล่านั้นได้ มีสัญญาอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น
นี้เป็นอภิภายตนะที่ 2
3. บุคคลหนึ่งมีอรูปสัญญาภายใน3 เห็นรูปภายนอกขนาดเล็ก มีสีสันดี
หรือไม่ดี ครอบงำรูปเหล่านั้นได้ มีสัญญาอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น
นี้เป็นอภิภายตนะที่ 3
4. บุคคลหนึ่งมีอรูปสัญญาภายใน เห็นรูปภายนอกขนาดใหญ่ มีสีสันดี
หรือไม่ดี ครอบงำรูปเหล่านั้นได้ มีสัญญาอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น
นี้เป็นอภิภายตนะที่ 4
5. บุคคลหนึ่งมีอรูปสัญญาภายใน เห็นรูปภายนอกที่เขียว มีสีเขียว
เปรียบด้วยของเขียว มีสีเขียวเข้ม ครอบงำรูปเหล่านั้นได้ มีสัญญา
อย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น นี้เป็นอภิภายตนะที่ 5
เชิงอรรถ :
1 อภิภายตนะ หมายถึงเหตุครอบงำ เหตุที่มีอิทธิพล ได้แก่ ญาณหรือฌานที่เป็นเหตุครอบงำปัจจนีกธรรม
คือนิวรณ์ 5 และอารมณ์ทั้งหลาย คำนี้มาจาก อภิภู + อายตนะ ที่ชื่อว่า อภิภู เพราะครอบงำอารมณ์
และชื่อว่า อายตนะ เพราะเป็นที่เกิดความสุขอันวิเศษแก่พระโยคีทั้งหลาย และเพราะเป็นมนายตนะและ
ธัมมายตนะ (องฺ.อฏฺฐก.อ. 3/65/270, องฺ.อฏฺฐก. ฏีกา 3/61-65/302, ที.ม.อ. 2/173/164) และดู
ที.ม. 10/173/98, ที.ปา. 11/338/229-230, ม.ม. 13/249/224, องฺ.ทสก. (แปล) 24/29/71
2 มีรูปสัญญาภายใน หมายถึงจำได้หมายรู้รูปภายในโดยการบริกรรมรูปภายใน ยังไม่ถึงอัปปนา (องฺ.อฏฺฐก.
อ. 3/65/270)
3 มีอรูปสัญญาภายใน หมายถึงปราศจากบริกรรมอรูปภายใน เพราะไม่ให้รูปสัญญาเกิดขึ้น (องฺ.อฏฺฐก.อ.
3/65/271)
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต [2.ทุติยปัณณาสก์] 2.ภูมิจาลวรรค 6.วิโมกขสูตร
6. บุคคลหนึ่งมีอรูปสัญญาภายใน เห็นรูปภายนอกที่เหลือง มีสีเหลือง
เปรียบด้วยของเหลือง มีสีเหลืองเข้ม ครอบงำรูปเหล่านั้นได้ มีสัญญา
อย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น นี้เป็นอภิภายตนะที่ 6
7. บุคคลหนึ่งมีอรูปสัญญาภายใน เห็นรูปภายนอกที่แดง มีสีแดง
เปรียบด้วยของแดง มีสีแดงเข้ม ครอบงำรูปเหล่านั้นได้ มีสัญญา
อย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น นี้เป็นอภิภายตนะที่ 7
8. บุคคลหนึ่งมีอรูปสัญญาภายใน เห็นรูปภายนอกที่ขาว มีสีขาว
เปรียบด้วยของขาว มีสีขาวเข้ม ครอบงำรูปเหล่านั้นได้ มีสัญญา
อย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น นี้เป็นอภิภายตนะที่ 8
ภิกษุทั้งหลาย อภิภายตนะ 8 ประการนี้แล
อภิภายตนสูตรที่ 5 จบ
6. วิโมกขสูตร
ว่าด้วยวิโมกข์
[66] ภิกษุทั้งหลาย วิโมกข์1 8 ประการนี้
วิโมกข์ 8 ประการ อะไรบ้าง คือ
1. บุคคลผู้มีรูป2 เห็นรูปทั้งหลาย นี้เป็นวิโมกข์ที่ 1
2. บุคคลผู้มีอรูปสัญญาภายใน เห็นรูปทั้งหลายภายนอก นี้เป็นวิโมกข์
ที่ 2
เชิงอรรถ :
1 วิโมกข์(ความหลุดพ้น) หมายถึงภาวะที่จิตหลุดพ้นจากสิ่งรบกวนและน้อมดิ่งไปในอารมณ์นั้นๆ (องฺ.อฏฺฐก.
อ. 3/66/272) ดู ที.ม. 10/129/63, 174/100, ที.ปา 11/339/231, 358/271-272, ม.ม. 13/
248/223-224, อภิ.วิ. (แปล) 35/828/530-531
2 มีรูป ในที่นี้หมายถึงได้รูปฌานที่เกิดจากอาการทำบริกรรมในรูปภายในตน เช่น ทำบริกรรมผม เหงื่อ เนื้อ
เลือด กระดูก ฟัน เล็บ โดยวิธีการบริกรรมเป็นสีต่าง ๆ มีสีเขียว เหลือง แดง เป็นต้น (องฺ.อฏฺฐก.อ. 3/65/
270,66/272)
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต [2.ทุติยปัณณาสก์] 2.ภูมิจาลวรรค 7.อนริยโวหารสูตร
3. บุคคลเป็นผู้น้อมใจไปว่า งาม เท่านั้น นี้เป็นวิโมกข์ที่ 3
4. บุคคลบรรลุอากาสานัญจายตนฌาน โดยกำหนดว่า อากาศหา
ที่สุดมิได้ อยู่ เพราะล่วงรูปสัญญา ดับปฏิฆสัญญา ไม่กำหนด
นานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ที่ 4
5. บุคคลล่วงอากาสานัญจายตนฌาน โดยประการทั้งปวง บรรลุ
วิญญาณัญจายตนฌาน โดยกำหนดว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ อยู่
นี้เป็นวิโมกข์ที่ 5
6. บุคคลล่วงวิญญาณัญจายตนฌาน โดยประการทั้งปวง บรรลุ
อากิญจัญญายตนฌาน โดยกำหนดว่า ไม่มีอะไร อยู่ นี้เป็น
วิโมกข์ที่ 6
7. บุคคลล่วงอากิญจัญญายตนฌาน โดยประการทั้งปวง บรรลุ
เนวสัญญานาสัญญายตนฌานอยู่ นี้เป็นวิโมกข์ที่ 7
8. บุคคลล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน โดยประการทั้งปวง บรรลุ
สัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ นี้เป็นวิโมกข์ที่ 8
ภิกษุทั้งหลาย วิโมกข์ 8 ประการนี้แล
วิโมกขสูตรที่ 6 จบ
7. อนริยโวหารสูตร1
ว่าด้วยอนริยโวหาร
[67] ภิกษุทั้งหลาย อนริยโวหาร2 8 ประการนี้
อนริยโวหาร 8 ประการ อะไรบ้าง คือ
1. การกล่าวสิ่งที่ไม่ได้เห็นว่าได้เห็น
2. การกล่าวสิ่งที่ไม่ได้ฟังว่าได้ฟัง
เชิงอรรถ :
1 ที.ปา. 11/313/206, องฺ.จตุกฺก. (แปล) 21/250/368, 252/369, อภิ.วิ. (แปล) 35/939/590
2 อนริยโวหาร ในที่นี้หมายถึงถ้อยคำของเหล่าชนผู้ไม่ใช่พระอริยะ (องฺ.จตุกฺก.อ. 2/250/446)
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต [2.ทุติยปัณณาสก์] 2.ภูมิจาลวรรค 8.อริยโวหารสูตร
3. การกล่าวสิ่งที่ไม่ได้ทราบว่าได้ทราบ
4. การกล่าวสิ่งที่ไม่ได้รู้ว่าได้รู้
5. การกล่าวสิ่งที่ได้เห็นว่าไม่ได้เห็น
6. การกล่าวสิ่งที่ได้ฟังว่าไม่ได้ฟัง
7. การกล่าวสิ่งที่ได้ทราบว่าไม่ได้ทราบ
8. การกล่าวสิ่งที่ได้รู้ว่าไม่ได้รู้
ภิกษุทั้งหลาย อนริยโวหาร 8 ประการนี้แล
อนริยโวหารสูตรที่ 7 จบ
8. อริยโวหารสูตร1
ว่าด้วยอริยโวหาร
[68] ภิกษุทั้งหลาย อริยโวหาร 8 ประการนี้
อริยโวหาร 8 ประการ อะไรบ้าง คือ
1. การกล่าวสิ่งที่ไม่ได้เห็นว่าไม่ได้เห็น
2. การกล่าวสิ่งที่ไม่ได้ฟังว่าไม่ได้ฟัง
3. การกล่าวสิ่งที่ไม่ได้ทราบว่าไม่ได้ทราบ
4. การกล่าวสิ่งที่ไม่ได้รู้ว่าไม่ได้รู้
5. การกล่าวสิ่งที่ได้เห็นว่าได้เห็น
6. การกล่าวสิ่งที่ได้ฟังว่าได้ฟัง
7. การกล่าวสิ่งที่ได้ทราบว่าได้ทราบ
8. การกล่าวสิ่งที่ได้รู้ว่าได้รู้
ภิกษุทั้งหลาย อริยโวหาร 8 ประการนี้แล
อริยโวหารสูตรที่ 8 จบ
เชิงอรรถ :
1 ที.ปา. 11/313/206, องฺ.จตุกฺก. (แปล) 21/251/368,253/370
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต [2.ทุติยปัณณาสก์] 2.ภูมิจาลวรรค 9.ปริสาสูตร
9. ปริสาสูตร
ว่าด้วยบริษัท1
[69] ภิกษุทั้งหลาย บริษัท 8 จำพวกนี้
บริษัท 8 จำพวกไหนบ้าง คือ
1. ขัตติยบริษัท (ชุมนุมกษัตริย์)
2. พราหมณบริษัท (ชุมนุมพราหมณ์)
3. คหบดีบริษัท (ชุมนุมคหบดี)
4. สมณบริษัท (ชุมนุมสมณะ)
5. จาตุมหาราชบริษัท (ชุมนุมเทพชั้นจาตุมหาราช)
6. ดาวดึงสบริษัท (ชุมนุมเทพชั้นดาวดึงส์)
7. มารบริษัท (ชุมนุมมาร)
8. พรหมบริษัท (ชุมนุมพรหม)
ภิกษุทั้งหลาย เราจำได้ว่า เคยเข้าไปหาขัตติยบริษัทหลายร้อยครั้ง ทั้งเคย
นั่งพูดคุยและสนทนาในขัตติยบริษัทนั้น กษัตริย์เหล่านั้นมีวรรณะเช่นใด เราก็มี
วรรณะเช่นนั้น กษัตริย์เหล่านั้นมีเสียงเช่นใด เราก็มีเสียงเช่นนั้น เราชี้แจงให้กษัตริย์
เหล่านั้นเห็นชัด ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า
ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมีกถา และเมื่อเรากำลังพูดอยู่ ก็ไม่มีใครรู้ว่า
ผู้กำลังพูดอยู่นี้เป็นใคร เป็นเทวดาหรือมนุษย์ ครั้นชี้แจงให้กษัตริย์เหล่านั้นเห็นชัด
ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่น
ร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้วก็หายไป และเมื่อเราหายไปแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่า ผู้ที่หายไป
แล้วนี้เป็นใคร เป็นเทวดาหรือมนุษย์
ภิกษุทั้งหลาย เราจำได้ว่า เคยเข้าไปหาพราหมณบริษัท ฯลฯ คหบดีบริษัท
ฯลฯ สมณบริษัท ฯลฯ จาตุมหาราชบริษัท ฯลฯ ดาวดึงสบริษัท ฯลฯ มารบริษัท ฯลฯ-------------------------------------
-----
1 ดู ที.ม. 10/172/97-98, ม.มู. 12/151/112
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต [2.ทุติยปัณณาสก์] 2.ภูมิจาลวรรค 10.ภูมิจาลสูตร
ภิกษุทั้งหลาย เราจำได้ว่า เคยเข้าไปหาพรหมบริษัทหลายร้อยครั้ง ทั้งเคย
นั่งพูดคุยและสนทนาในพรหมบริษัทนั้น พรหมเหล่านั้นมีวรรณะเช่นใด เราก็มีวรรณะ
เช่นนั้น พรหมเหล่านั้นมีเสียงเช่นใด เราก็มีเสียงเช่นนั้น เราชี้แจงให้พรหมเหล่านั้น
เห็นชัด ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจ
ให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมีกถา และเมื่อเรากำลังพูดอยู่ ก็ไม่มีใครรู้ว่า ผู้กำลังพูด
อยู่นี้เป็นใคร เป็นเทวดาหรือมนุษย์ ครั้นชี้แจงให้พรหมเหล่านั้นเห็นชัด ชวนใจให้
อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริง
ด้วยธรรมีกถาแล้วก็หายไป และเมื่อเราหายไปแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่า ผู้ที่หายไปแล้ว
นี้เป็นใคร เป็นเทวดาหรือมนุษย์
ภิกษุทั้งหลาย บริษัท 8 จำพวกนี้แล
ปริสาสูตรที่ 9 จบ
10. ภูมิจาลสูตร
ว่าด้วยเหตุที่ทำให้แผ่นดินไหวครั้งใหญ่1
[70] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน
เขตกรุงเวสาลี ครั้นในเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก ทรงถือบาตร
และจีวรเสด็จเข้าไปยังกรุงเวสาลีเพื่อบิณฑบาต เสด็จกลับจากบิณฑบาต หลังจาก
เสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว รับสั่งเรียกท่านพระอานนท์มาตรัสว่า อานนท์ เธอจง
ถือนิสีทนะ2 เราจะเข้าไปพักกลางวันที่ปาวาลเจดีย์ ท่านพระอานนท์ทูลรับสนอง
พระดำรัสแล้ว ถือนิสีทนะตามเสด็จพระผู้มีพระภาคไปข้างพระปฤษฎางค์
ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปยังปาวาลเจดีย์ ประทับนั่งบนพุทธอาสน์ที่ปูลาด
ไว้แล้วได้ตรัสกับท่านพระอานนท์ดังนี้ว่า อานนท์ กรุงเวสาลีน่ารื่นรมย์ อุเทนเจดีย์
น่ารื่นรมย์ โคตมกเจดีย์น่ารื่นรมย์ พหุปุตตกเจดีย์น่ารื่นรมย์ สัตตัมพเจดีย์น่า
รื่นรมย์ สารันททเจดีย์น่ารื่นรมย์ ปาวาลเจดีย์น่ารื่นรมย์
เชิงอรรถ :
1 ดู ที.ม. 10/166-169/91-96, สํ.ม. 19/822/226-229, ขุ.อุ. 25/51/179-184
2 นิสีทนะ ในที่นี้หมายถึงแผ่นหนังสัตว์ (องฺ.อฏฺฐก.อ. 3/70/274)
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต [2.ทุติยปัณณาสก์] 2.ภูมิจาลวรรค 10.ภูมิจาลสูตร
อิทธิบาท 4 ผู้ใดผู้หนึ่งเจริญ ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจยานแล้ว ทำให้เป็นที่
ตั้งแล้ว ให้ตั้งมั่นแล้ว สั่งสมแล้ว ปรารภดีแล้ว ผู้นั้นเมื่อมุ่งหวัง พึงดำรงอยู่ได้
1 กัป หรือเกินกว่า 1 กัป
อิทธิบาท 4 ตถาคตเจริญ ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจยานแล้ว ทำให้เป็นที่
ตั้งแล้ว ให้ตั้งมั่นแล้ว สั่งสมแล้ว ปรารภดีแล้ว ตถาคตเมื่อมุ่งหวัง พึงดำรงอยู่ได้
1 กัป หรือเกินกว่า 1 กัป
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทำนิมิตที่ชัดแจ้ง ทรงทำโอกาสที่ชัดเจนแม้อย่างนี้
ท่านพระอานนท์ก็ไม่อาจจะรู้ทัน จึงไม่กราบทูลวิงวอนพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดดำรงพระชนมชีพอยู่ตลอดกัป ขอพระสุคต
โปรดดำรงพระชนมชีพอยู่ตลอดกัปเพื่อเกื้อกูลแก่คนหมู่มาก เพื่อสุขแก่คนหมู่มาก เพื่อ
อนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เพราะท่านถูกมารดลใจ
แม้ครั้งที่ 2 ฯลฯ
แม้ครั้งที่ 3 พระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสกับท่านพระอานนท์ดังนี้ว่า อานนท์
กรุงเวสาลีน่ารื่นรมย์ อุเทนเจดีย์น่ารื่นรมย์ โคตมกเจดีย์น่ารื่นรมย์ พหุปุตตกเจดีย์
น่ารื่นรมย์ สัตตัมพเจดีย์น่ารื่นรมย์ สารันททเจดีย์น่ารื่นรมย์ ปาวาลเจดีย์น่ารื่นรมย์
อิทธิบาท 4 ผู้ใดผู้หนึ่งเจริญ ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจยานแล้ว ทำให้เป็น
ที่ตั้งแล้ว ให้ตั้งมั่นแล้ว สั่งสมแล้ว ปรารภดีแล้ว ผู้นั้นเมื่อมุ่งหวัง พึงดำรงอยู่ได้
1 กัป หรือเกินกว่า 1 กัป
อิทธิบาท 4 ตถาคตเจริญ ฯลฯ ตถาคตเมื่อมุ่งหวัง พึงดำรงอยู่ได้ 1 กัป
หรือเกินกว่า 1 กัป
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทำนิมิตที่ชัดแจ้ง ทรงทำโอกาสที่ชัดเจนแม้อย่างนี้
ท่านพระอานนท์ก็ไม่อาจจะรู้ทัน จึงไม่กราบทูลวิงวอนพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดดำรงพระชนมชีพอยู่ตลอดกัป ขอพระสุคต
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต [2.ทุติยปัณณาสก์] 2.ภูมิจาลวรรค 10.ภูมิจาลสูตร
โปรดดำรงพระชนมชีพอยู่ตลอดกัปเพื่อเกื้อกูลแก่คนหมู่มาก เพื่อสุขแก่คนหมู่มาก
เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อสุขแก่เทวดาและมนุษย์
ทั้งหลาย เพราะท่านถูกมารดลใจ
หลังจากนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับท่านพระอานนท์ดังนี้ว่า อานนท์
ไปเถิด เธอจงกำหนดเวลาที่สมควร ณ บัดนี้เถิด
ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระดำรัสแล้วลุกจากอาสนะ ถวายอภิวาทพระ
ผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วนั่งที่โคนไม้ต้นหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากพระผู้มีพระภาค
ครั้นเมื่อท่านพระอานนท์จากไปไม่นาน มารผู้มีบาปได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค
ดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดปรินิพพานเถิด
ขอพระสุคตโปรดปรินิพพานเถิด เวลานี้ เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระวาจานี้ไว้ว่า มารผู้มีบาป เราจะยังไม่ปรินิพพาน
ตราบเท่าที่เหล่าภิกษุผู้สาวกของเรายังไม่เฉียบแหลม ไม่ได้รับการแนะนำ ไม่แกล้วกล้า
ไม่บรรลุธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรม
สมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบยิ่ง ไม่ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว
แต่ก็ยังบอก แสดง บัญญัติ กำหนด เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายไม่ได้ ยังแสดงธรรม
มีปาฏิหาริย์ปราบปรัปปวาทที่เกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยชอบธรรมไม่ได้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เวลานี้ เหล่าภิกษุผู้เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้
เฉียบแหลม ได้รับการแนะนำ แกล้วกล้า บรรลุธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ
เป็นพหูสูต ทรงธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง ประพฤติ
ตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล้วบอก แสดง บัญญัติ กำหนด เปิดเผย
จำแนกทำให้ง่ายได้ แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ปราบปรัปปวาทที่เกิดขึ้นให้เรียบร้อย
โดยชอบธรรมได้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ขอพระผู้มีพระภาคโปรดปรินิพพานเถิด ขอพระ
สุคตโปรดปรินิพพานเถิด เวลานี้ เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค พระผู้มี
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต [2.ทุติยปัณณาสก์] 2.ภูมิจาลวรรค 10.ภูมิจาลสูตร
พระภาคได้ตรัสพระวาจานี้ไว้ว่า มารผู้มีบาป เราจะยังไม่ปรินิพพาน ตราบเท่าที่
เหล่าภิกษุณีผู้สาวิกาของเรา ฯลฯ ตราบเท่าที่เหล่าอุบาสกผู้สาวกของเรา ฯลฯ
ตราบเท่าที่เหล่าอุบาสิกาผู้สาวิกาของเรายังไม่เฉียบแหลม ไม่ได้รับการแนะนำ
ไม่แกล้วกล้า ไม่บรรลุธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม
ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบยิ่ง ไม่ประพฤติตามธรรม เรียนกับ
อาจารย์ของตนแล้วแต่ก็ยังบอก แสดง บัญญัติ กำหนด เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่าย
ไม่ได้ ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ปราบปรัปปวาทที่เกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยชอบธรรมไม่ได้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เวลานี้ เหล่าอุบาสิกาผู้สาวิกาของพระผู้มีพระภาค
เป็นผู้เฉียบแหลม ได้รับการแนะนำ แกล้วกล้า บรรลุธรรมอันเป็นแดนเกษมจาก
โยคะ เป็นพหูสูต ทรงธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง ประพฤติ
ตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล้วบอก แสดง บัญญัติ กำหนด เปิดเผย
จำแนก ทำให้ง่ายได้ แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ปราบปรัปปวาทที่เกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดย
ชอบธรรมได้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดปรินิพพานเถิด ขอพระ
สุคตโปรดปรินิพพานเถิด เวลานี้ เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค พระผู้มี
พระภาคได้ตรัสพระวาจานี้ไว้ว่า มารผู้มีบาป เราจะยังไม่ปรินิพพานตราบเท่าที่
พรหมจรรย์1นี้ของเรายังไม่เจริญแพร่หลาย กว้างขวาง รู้กันโดยมาก เป็นปึกแผ่น
กระทั่งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายประกาศได้ดีแล้ว
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เวลานี้ พรหมจรรย์ของพระผู้มีพระภาคเจริญแพร่หลาย
กว้างขวาง รู้กันโดยมาก เป็นปึกแผ่น กระทั่งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายประกาศ
ได้ดีแล้ว
บัดนี้ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดปรินิพพานเถิด ขอพระสุคตโปรดปรินิพพานเถิด
เวลานี้ เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคแล้ว
เชิงอรรถ :
1 พรหมจรรย์ ในที่นี้หมายถึงศาสนพรหมจรรย์ คือ คำสั่งสอนในพระพุทธศาสนาทั้งสิ้นที่รวมลงในไตรสิกขา
(องฺ.อฏฺฐก.อ. 3/70/276)
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต [2.ทุติยปัณณาสก์] 2.ภูมิจาลวรรค 10.ภูมิจาลสูตร
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า มารผู้มีบาป ท่านจงขวนขวายน้อย1เถิด
ไม่นานนัก ตถาคตจะปรินิพพาน จากนี้ไปอีก 3 เดือน ตถาคตจะปรินิพพาน
เวลานั้น พระผู้มีพระภาคทรงมีสติสัมปชัญญะ ทรงปลงพระชนมายุสังขารแล้ว
ณ ปาวาลเจดีย์ เมื่อพระองค์ทรงปลงพระชนมายุสังขาร2แล้ว ได้เกิดแผ่นดินไหว
ครั้งใหญ่ น่าสะพรึงกลัว ขนพองสยองเกล้า ทั้งกลองทิพย์ก็ดังกึกก้อง ครั้นพระผู้มี
พระภาคทรงทราบความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งพระอุทานในเวลานั้นดังนี้ว่า
มุนีละกรรมทั้งที่ชั่งได้และชั่งไม่ได้
อันเป็นเหตุก่อกำเนิดเป็นเครื่องปรุงแต่งภพได้แล้ว
ยินดีในภายใน มีใจมั่นคง
ทำลายกิเลสที่เกิดในตนได้
เหมือนนักรบทำลายเกราะได้ ฉะนั้น
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ได้มีความคิดดังนี้ว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้ รุนแรงจริง
แผ่นดินไหวครั้งนี้รุนแรงจริงๆ น่าสะพรึงกลัว ขนพองสยองเกล้า ทั้งกลองทิพย์ก็
ดังกึกก้อง อะไรหนอแลเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง
ต่อมา ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาท
แล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
แผ่นดินไหวครั้งนี้รุนแรงจริง แผ่นดินไหวครั้งนี้รุนแรงจริงๆ น่าสะพรึงกลัว ขนพอง
สยองเกล้า ทั้งกลองทิพย์ก็ดังกึกก้อง อะไรหนอแลเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้แผ่นดินไหว
อย่างรุนแรง
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อานนท์ เหตุปัจจัย 8 ประการนี้ทำให้แผ่นดิน
ไหวอย่างรุนแรง
เชิงอรรถ :
1 ขวนขวายน้อย ในที่นี้หมายถึงไม่ต้องกังวลห่วงใย (องฺ.อฏฺฐก.อ. 3/70/277)
2 ปลงอายุสังขาร หมายถึงสลัดปัจจัยเครื่องปรุงแต่งอายุ ตกลงพระทัยอย่างมีสติมั่นคง และกำหนดรู้ด้วย
พระปัญญาว่าจะปรินิพพาน (ที.ม.อ. 2/177/167, องฺ.อฏฺฐก.อ. 3/70/277)
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต [2.ทุติยปัณณาสก์] 2.ภูมิจาลวรรค 10.ภูมิจาลสูตร
เหตุปัจจัย 8 ประการ อะไรบ้าง คือ
1. มหาปฐพีนี้ตั้งอยู่บนน้ำ น้ำตั้งอยู่บนลม ลมตั้งอยู่บนอากาศ เวลา
ที่ลมพายุพัดแรงย่อมทำให้น้ำกระเพื่อม น้ำที่กระเพื่อมย่อมทำให้
แผ่นดินไหวตาม นี้เป็นเหตุปัจจัยประการที่ 1 ที่ทำให้แผ่นดินไหว
อย่างรุนแรง
2. สมณะหรือพราหมณ์ผู้มีฤทธิ์ เชี่ยวชาญทางจิต หรือเหล่าเทวดาผู้มี
ฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากได้เจริญปฐวีสัญญานิดหน่อย แต่เจริญ
อาโปสัญญาจนหาประมาณมิได้ จึงทำให้แผ่นดินนี้ไหวสั่นสะเทือน
เลื่อนลั่น นี้เป็นเหตุปัจจัยประการที่ 2 ที่ทำให้แผ่นดินไหวอย่าง
รุนแรง
3. คราวที่พระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะจุติจากภพดุสิต เสด็จสู่พระครรภ์
ของพระมารดา แผ่นดินนี้ก็ไหวสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น นี้เป็นเหตุปัจจัย
ประการที่ 3 ที่ทำให้แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง
4. คราวที่พระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะ ประสูติจากพระครรภ์ของ
พระมารดา แผ่นดินนี้ก็ไหวสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น นี้เป็นเหตุปัจจัย
ประการที่ 4 ที่ทำให้แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง
5. คราวที่ตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แผ่นดินนี้ก็ไหวสั่น
สะเทือนเลื่อนลั่น นี้เป็นเหตุปัจจัยประการที่ 5 ที่ทำให้แผ่นดินไหว
อย่างรุนแรง
6. คราวที่ตถาคตประกาศธรรมจักรอันยอดเยี่ยมให้เป็นไป แผ่นดินนี้
ก็ไหวสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น นี้เป็นเหตุปัจจัยประการที่ 6 ที่ทำให้
แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง