พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 169. หัตถิมังสาทิปฏิกเขปกถา
เรื่องทรงห้ามฉันเนื้อมนุษย์
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมสงฆ์เพราะเรื่องนี้เป็นต้นเหตุ ทรงสอบ
ถามพวกภิกษุว่า ภิกษุทั้งหลาย ใครเล่าออกปากขอเนื้อกับอุบาสิกาสุปปิยา
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ภิกษุรูปนั้นจึงกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้า
ได้ออกปากขอเนื้อกับอุบาสิกาสุปปิยา พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า เขานำมาถวายแล้วหรือ
ภิกษุกราบทูลว่า นำมาถวาย พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า เธอฉันแล้วหรือ
ภิกษุกราบทูลว่า ข้าพระองค์ฉันแล้ว พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า เธอพิจารณาแล้วหรือ
ภิกษุกราบทูลว่า ข้าพระองค์ไม่ได้พิจารณา พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงตำหนิว่า โมฆบุรุษ ไฉนเธอยังไม่ได้พิจารณาเลย
จึงฉันเนื้อเล่า เธอฉันเนื้อมนุษย์แล้ว โมฆบุรุษ การกระทำของเธอมิได้ทำคนที่ยัง
ไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใส ฯลฯ ครั้นทรงตำหนิแล้วแสดงธรรมีกถารับสั่งกับภิกษุ
ทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย คนทั้งหลายผู้มีศรัทธาเลื่อมใสมีอยู่ คนแม้เหล่านั้น
ได้สละเนื้อของตนถวาย ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อมนุษย์ รูปใดฉัน ต้องอาบัติ
ถุลลัจจัย อนึ่ง ภิกษุยังไม่ได้พิจารณา ไม่พึงฉันเนื้อ รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ
169. หัตถิมังสาทิปฏิกเขปกถา
ว่าด้วยทรงห้ามฉันเนื้อช้างเป็นต้น
เรื่องทรงห้ามฉันเนื้อช้าง
[281] สมัยนั้น ช้างหลวงล้ม ในคราวข้าวยากหมากแพง คนทั้งหลาย
พากันกินเนื้อช้าง ได้ถวายแก่ภิกษุทั้งหลายผู้เที่ยวบิณฑบาต พวกภิกษุจึงฉันเนื้อช้าง
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 169. หัตถิมังสาทิปฏิกเขปกถา
คนทั้งหลายจึงตำหนิ ประณาม โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสาย
ศากยบุตรจึงฉันเนื้อช้างเล่า ช้างเป็นราชพาหนะ ถ้าพระราชาทรงทราบคงไม่พอ
พระทัยภิกษุทั้งหลายเป็นแน่
ภิกษุทั้งหลายนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อช้าง รูปใดฉัน
ต้องอาบัติทุกกฏ
เรื่องทรงห้ามฉันเนื้อม้า
สมัยนั้น ม้าหลวงตาย ในคราวข้าวยากหมากแพง คนทั้งหลายพากันกิน
เนื้อม้า ได้ถวายแก่ภิกษุทั้งหลายผู้เที่ยวบิณฑบาต พวกภิกษุจึงฉันเนื้อม้า
คนทั้งหลายจึงตำหนิ ประณาม โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสาย
ศากยบุตรจึงฉันเนื้อม้าเล่า ม้าเป็นราชพาหนะ ถ้าพระราชาทรงทราบคงไม่พอ
พระทัยภิกษุทั้งหลายเป็นแน่
ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อม้า รูปใดฉัน
ต้องอาบัติทุกกฏ
เรื่องทรงห้ามฉันเนื้อสุนัข
สมัยนั้น ในคราวข้าวยากหมากแพง คนทั้งหลายพากันกินเนื้อสุนัข ได้
ถวายแก่ภิกษุทั้งหลายผู้เที่ยวบิณฑบาต พวกภิกษุจึงฉันเนื้อสุนัข
คนทั้งหลายจึงตำหนิ ประณาม โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสาย
ศากยบุตรจึงฉันเนื้อสุนัขเล่า สุนัขเป็นสัตว์น่าเกลียดสกปรก
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 169. หัตถิมังสาทิปฏิกเขปกถา
ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อสุนัข รูปใดฉัน
ต้องอาบัติทุกกฏ
เรื่องทรงห้ามฉันเนื้องู
สมัยนั้น ในคราวข้าวยากหมากแพง คนทั้งหลายพากันกินเนื้องู ได้ถวาย
แก่ภิกษุทั้งหลายผู้เที่ยวบิณฑบาต พวกภิกษุจึงฉันเนื้องู
คนทั้งหลายจึงตำหนิ ประณาม โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสาย ศากย-
บุตรจึงฉันเนื้องูเล่า งูเป็นสัตว์น่าเกลียดน่าชัง
ฝ่ายพญานาคสุปัสสะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นถึงแล้วได้
ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้ว ได้ยืน ณ ที่สมควร พญานาคสุปัสสะซึ่งยืน
ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า พระพุทธเจ้าข้า นาคงูที่ไม่ศรัทธา
ไม่เลื่อมใสมีอยู่ นาคเหล่านั้น พึงเบียดเบียนภิกษุแม้ด้วยเหตุเล็กน้อยได้ พระพุทธเจ้าข้า
ขอประทานวโรกาส พระคุณเจ้าทั้งหลายไม่พึงฉันเนื้องูเลย
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้พญานาคสุปัสสะเห็นชัด ชวนให้
อยากรับไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วย
ธรรมีกถา
ลำดับนั้น พญานาคสุปัสสะผู้ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นชัด ชวนให้
อยากรับไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วย
ธรรมีกถาแล้ว ได้ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคทำประทักษิณแล้วจากไป
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมีกถาเพราะเรื่องนี้เป็นต้นเหตุ รับสั่งกับภิกษุ
ทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้องู รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 169. หัตถิมังสาทิปฏิกเขปกถา
เรื่องทรงห้ามฉันเนื้อราชสีห์
สมัยนั้น พวกนายพรานฆ่าราชสีห์กิน ได้ถวายแก่ภิกษุทั้งหลายผู้เที่ยวบิณฑบาต
ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้อราชสีห์แล้วอยู่ในป่า ราชสีห์ไล่ตะครุบภิกษุเพราะได้กลิ่นเนื้อ
ราชสีห์
ภิกษุทั้งหลายนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อราชสีห์ รูปใดฉัน
ต้องอาบัติทุกกฏ
เรื่องทรงห้ามฉันเนื้อเสือโคร่ง
สมัยนั้น พวกนายพรานฆ่าเสือโคร่งแล้วกิน ได้ถวายแก่ภิกษุทั้งหลายผู้เที่ยว
บิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้อเสือโคร่งแล้วอยู่ในป่า เสือโคร่งไล่ตะครุบภิกษุ
เพราะได้กลิ่นเนื้อเสือโคร่ง
ภิกษุทั้งหลายนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อเสือโคร่ง รูปใดฉัน
ต้องอาบัติทุกกฏ
เรื่องทรงห้ามฉันเนื้อเสือเหลือง
สมัยนั้น พวกนายพรานฆ่าเสือเหลืองแล้วกิน ได้ถวายแก่ภิกษุทั้งหลายผู้เที่ยว
บิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้อเสือเหลืองแล้วอยู่ในป่า เสือเหลืองไล่ตะครุบภิกษุ
เพราะได้กลิ่นเนื้อเสือเหลือง
ภิกษุทั้งหลายนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อเสือเหลือง รูปใด
ฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 170. ยาคุมธุโคฬกานุชานนา
เรื่องทรงห้ามฉันเนื้อหมี
สมัยนั้น พวกนายพรานฆ่าหมีแล้วกิน ได้ถวายแก่ภิกษุทั้งหลายผู้เที่ยว
บิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้อหมีแล้วอยู่ในป่า หมีไล่ตะครุบภิกษุเพราะได้กลิ่น
เนื้อหมี
ภิกษุทั้งหลายนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อหมี รูปใดฉัน
ต้องอาบัติทุกกฏ
เรื่องทรงห้ามฉันเนื้อเสือดาว
สมัยนั้น พวกนายพรานฆ่าเสือดาวแล้วกิน ได้ถวายแก่ภิกษุทั้งหลายผู้เที่ยว
บิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้อเสือดาวแล้วอยู่ในป่า เสือดาวไล่ตะครุบภิกษุเพราะ
ได้กลิ่นเนื้อเสือดาว
ภิกษุทั้งหลายนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อเสือดาว รูปใดฉัน
ต้องอาบัติทุกกฏ
สุปปิยภาณวารที่ 2 จบ
170. ยาคุมธุโคฬกานุชานนา
ว่าด้วยทรงอนุญาตข้าวต้มและขนมหวาน
เรื่องพราหมณ์คอยโอกาสถวายภัตตาหาร
[282] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กรุงพาราณสีตามพระ
อัธยาศัยแล้ว เสด็จจาริกไปทางอันธกวินทชนบท พร้อมภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่จำนวน
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 170. ยาคุมธุโคฬกานุชานนา
1,250 รูป สมัยนั้น ชาวชนบทบรรทุกเกลือ น้ำมัน ข้าวสาร ของเคี้ยวเป็นอัน
มากมาในเกวียน เดินตามภิกษุสงฆ์ที่มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธาน ด้วยตั้งใจว่า
เมื่อได้โอกาสพวกเรา จะทำภัตตาหารถวาย มีคนกินเดนอีก 500 คนติดตาม
ไปด้วย ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปตามลำดับ จนถึงถึงอันธวินทชนบท
ครั้งนั้น พราหมณ์คนหนึ่งเมื่อไม่ได้โอกาส ได้มีความคิดดังนี้ว่า เราเดินตาม
ภิกษุสงฆ์ที่มีพระพระพุทธเจ้าเป็นประธานมากว่า 2 เดือนแล้ว ด้วยตั้งใจว่า จะทำ
ภัตตาหารถวายเมื่อได้โอกาส แต่ก็หาโอกาสไม่ได้ เราตัวคนเดียวและยังเสีย
ประโยชน์ทางฆราวาสไปมาก อย่ากระนั้นเลย เราพึงตรวจดูโรงอาหาร สิ่งใดยังไม่
มีในโรงอาหาร จัดเตรียมสิ่งนั้นถวาย แล้วตรวจดูโรงอาหาร ไม่เห็นของ 2 อย่าง
คือ ข้าวต้มและขนมหวาน จึงเข้าไปหาท่านพระอานนท์แล้ว ได้กล่าวกับท่านพระ
อานนท์ดังนี้ว่า ท่านอานนท์ ขอโอกาสเถิด กระผมเมื่อไม่ได้โอกาสจึงได้มีความ
คิดดังนี้ว่า เราเดินตามภิกษุสงฆ์ที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานมากว่า 2 เดือนแล้ว
ด้วยตั้งใจว่า จะทำภัตตาหารถวายเมื่อได้โอกาส แต่ก็หาโอกาสไม่ได้ เราตัวคน
เดียวและยังเสียประโยชน์ทางฆราวาสไปมาก อย่ากระนั้นเลย เราพึงตรวจดูโรง
อาหาร สิ่งใดยังไม่มีในโรงอาหาร จัดเตรียมสิ่งนั้นถวาย ท่านอานนท์ กระผม
นั้นตรวจดูโรงอาหาร ไม่เห็นของ 2 อย่าง คือ ข้าวต้มและขนมหวาน ท่านอานนท์
ถ้ากระผมจัดเตรียมข้าวต้มและขนมหวาน พระโคดมผู้เจริญจะทรงรับหรือ
ท่านพระอานนท์ตอบว่า พราหมณ์ ถ้าเช่นนั้น อาตมาจะกราบทูลถามพระ
ผู้มีพระภาค แล้วนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พราหมณ์จงจัดเตรียมถวายเถิด
ท่านพระอานนท์บอกพราหมณ์ว่า ท่านจัดเตรียมได้
เมื่อผ่านราตรีนั้นไป พราหมณ์จัดเตรียมข้าวต้มและขนมหวานเป็นจำนวน
มากแล้ว น้อมเข้าไปถวายพระผู้มีพระภาคว่า ขอพระโคดมผู้เจริญ โปรดรับข้าว
ต้มและขนมหวานของข้าพระองค์เถิด
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 170. ยาคุมธุโคฬกานุชานนา
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พราหมณ์ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงถวายแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายยำเกรงอยู่ จึงไม่ยอมรับประเคน
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงรับประเคนฉันเถิด
ครั้งนั้น พราหมณ์ได้นำข้าวต้มและขนมหวานจำนวนมากมาประเคนภิกษุสงฆ์
มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานด้วยตนเอง กระทั่งพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จ ทรงห้าม
ภัตแล้ว ล้างพระหัตถ์แล้วละพระหัตถ์จากบาตร จึงได้นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่สมควร
ประโยชน์ของข้าวต้มมี 10 อย่าง
พระผู้มีพระภาคตรัสกับพราหมณ์ผู้นั่ง ณ ที่สมควรว่า พราหมณ์ ข้าวต้ม
มีอานิสงส์ 10 ประการ คือ ผู้ถวายข้าวต้มชื่อว่า (1) ให้อายุ (2) ให้วรรณะ
(3) ให้สุขะ (4) ให้พละ (5) ให้ปฏิภาณ (6) บรรเทาความหิว (7) ระงับความ
กระหาย (8) ให้ลมเดินคล่อง (9) ชำระลำไส้ (10) เผาอาหารที่ยังไม่ย่อยให้ย่อย
พราหมณ์ ข้าวต้มมีอานิสงส์ 10 ประการนี้แล
ครั้นตรัสเวยยากรณภาษิตนี้แล้ว พระสุคตตรัสอนุโมทนาต่อไปว่า
ทายกผู้ตั้งใจถวายข้าวต้มแก่ปฏิคาหกผู้สำรวมแล้ว
ผู้ฉันอาหารที่ผู้อื่นถวายตามกาลสมควร
เขาได้ชื่อว่าตามเพิ่มให้ประโยชน์ 10 ประการแก่ปฏิคาหก
คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ
นอกจากนั้นข้าวต้มย่อมบรรเทาความหิว ความกระหาย
ให้ลมเดินคล่อง ชำระลำไส้ และช่วยย่อยอาหาร
พระสุคตตรัสว่าข้าวต้มเป็นยา
ดังนั้น ผู้ที่ต้องการความสุขอันเป็นของมนุษย์ตลอดกาลนาน
และปรารถนาความสุขอันเป็นทิพย์ หรือปรารถนาความงาม
อันเป็นของมนุษย์ จึงควรถวายข้าวต้ม
เมื่อทรงอนุโมทนาแก่พราหมณ์ด้วยพระคาถาเหล่านี้แล้ว จึงเสด็จลุกจากที่
ประทับกลับ