พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 161. มูลาทิเภสัชชกถา
เรื่องดื่มน้ำสมอดองมูตรโค
สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธเป็นโรคผอมเหลือง1
ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ดื่มยาผลสมอดอง
น้ำมูตร2
เรื่องไล้ทาของหอม
สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธเป็นโรคผิวหนัง
ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ลูบไล้ด้วยของหอม
เรื่องดื่มยาถ่าย
สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธมีผดผื่นขึ้นตามตัว
ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ดื่มยาถ่าย
เรื่องน้ำข้าวใส
ภิกษุนั้นต้องการน้ำข้าวใส ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาค
ให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำข้าวใส
เชิงอรรถ :
1 โรคผอมเหลือง คือ โรคดีซ่าน
2 ดองด้วยมูตรโค (วิ.อ. 3/269/176)
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 162. ปิลินทวัจฉวัตถุ
เรื่องน้ำต้มถั่วเขียวไม่ข้น
ภิกษุนั้นต้องการน้ำต้มถั่วเขียวไม่ข้น ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำต้มถั่วเขียวไม่ข้น
เรื่องน้ำต้มถั่วเขียวข้น
ภิกษุนั้นต้องการน้ำต้มถั่วเขียวข้นเล็กน้อย ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบ
ทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำต้มถั่วเขียวข้นเล็ก
น้อย
เรื่องน้ำต้มเนื้อ
ภิกษุนั้นต้องการน้ำต้มเนื้อ ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มี
พระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำต้มเนื้อ
162. ปิลินทวัจฉวัตถุ
ว่าด้วยพระปิลินทวัจฉะ1
เรื่องพระปิลินทวัจฉะจะทำความสะอาดเงื้อมเขา
และพระเจ้าพิมพิสารพระราชทานคนงานวัด
[270] สมัยนั้น ท่านพระปิลินทวัจฉะประสงค์จะทำที่เร้น จึงให้ภิกษุทั้งหลาย
ทำความสะอาดเงื้อมเขาในกรุงราชคฤห์
เชิงอรรถ :
1 วิ.มหา. (แปล) 2/618-619/139-140)
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 162. ปิลินทวัจฉวัตถุ
ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพมคธรัฐเสด็จเข้าไปหาท่านพระปิลินทวัจฉะ
ถึงที่พัก ครั้นถึงแล้ว ได้ทรงอภิวาทแล้วประทับนั่ง ณ ที่สมควร พระเจ้าพิมพิสาร
จอมทัพมคธรัฐผู้ประทับนั่ง ณ ที่สมควรแล้ว ได้ตรัสกับท่านพระปิลินทวัจฉะดังนี้ว่า
พระคุณเจ้าให้ภิกษุทั้งหลายทำอะไร
ท่านพระปิลินทวัจฉะถวายพระพรว่า ขอถวายพระพร อาตมภาพประสงค์
จะทำที่เร้น จึงให้ภิกษุทั้งหลายทำความสะอาดเงื้อมเขา
พระเจ้าพิมพิสารตรัสถามว่า พระคุณเจ้า ต้องการคนวัด บ้างไหม
ท่านพระปิลินทวัจฉะถวายพระพรว่า ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคไม่ทรง
อนุญาตให้มีคนวัด
พระเจ้าพิมพิสารตรัสถามว่า ถ้าเช่นนั้น พระคุณเจ้าพึงทูลถามพระผู้มีพระภาค
แล้วบอกโยมด้วย
ท่านพระปิลินทวัจฉะทูลสนองพระดำรัสแล้ว ชี้แจงให้ท้าวเธอเห็นชัด ชวนให้
อยากรับไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วย
ธรรมีกถา
ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพมคธรัฐผู้ซึ่งท่านพระปิลินทวัจฉะชี้แจงให้
เห็นชัด ชวนให้อยากรับไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่น
ร่าเริงด้วยธรรมีกถา ได้เสด็จลุกจากราชอาสน์ ทรงอภิวาทพระเถระ ทำประทักษิณ
แล้วเสด็จกลับไป
ต่อมา ท่านพระปิลินทวัจฉะส่งทูตไปยังสำนักพระผู้มีพระภาคให้กราบทูลว่า
พระพุทธเจ้าข้า พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพมคธรัฐมีพระราชประสงค์จะถวายคนวัด
ข้าพระองค์ จะพึงปฏิบัติอย่างไร
ทรงอนุญาตคนงานวัด
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมีกถาเพราะเรื่องนี้เป็นต้นเหตุ รับสั่ง
กับภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้มีคนวัด
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 162. ปิลินทวัจฉวัตถุ
แม้ครั้งที่ 2 พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพมคธรัฐ เสด็จเข้าไปหาท่านพระ
ปิลินทวัจฉะถึงที่พัก ครั้นถึงแล้ว ได้ทรงอภิวาทแล้วประทับนั่ง ณ ที่สมควร ได้
ตรัสกับท่านพระปิลินทวัจฉะดังนี้ว่า พระคุณเจ้า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตคน
วัดแล้วหรือ
ท่านพระปิลินทวัจฉะทูลว่า ขอถวายพระพร ทรงอนุญาตแล้ว
พระเจ้าพิมพิสารตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น โยมจะถวายคนวัดแก่พระคุณเจ้า
ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพมคธรัฐ ทรงรับที่จะถวายคนวัดแก่ท่าน
พระปิลินทวัจฉะแล้ว แต่ทรงลืม เมื่อเวลาผ่านไปนาน ทรงระลึกได้ จึงตรัสถาม
มหาอมาตย์ผู้สนองราชกิจคนหนึ่งว่า เราถวายคนวัดที่ให้สัญญาไว้แก่พระคุณเจ้า
แล้วหรือ
มหาอมาตย์กราบทูลว่า ขอเดชะ ยังไม่ได้ถวายคนวัดแก่พระคุณเจ้าเลย
พระเจ้าพิมพิสารตรัสว่า ผ่านมากี่วันแล้ว
มหาอมาตย์นับราตรีแล้วกราบทูลว่า ขอเดชะ ผ่านมา 500 ราตรี
ท้าวเธอรับสั่งว่า ถ้าอย่างนั้น จงถวายคนวัด 500 คน แก่พระคุณเจ้า
มหาอมาตย์กราบทูลรับสนองพระราชโองการแล้ว จัดคนวัดไปถวายท่านพระ
ปิลินทวัจฉะ จำนวน 500 คน ตั้งหมู่บ้านขึ้นมาต่างหาก มีชื่อเรียกว่า อารามิกคาม
บ้าง ปิลินทวัจฉคามบ้าง
[271] สมัยนั้น ท่านพระปิลินทวัจฉะเป็นพระประจำตระกูลในหมู่บ้านนั้น
เช้าวันหนึ่ง ท่านพระปิลินทวัจฉะครองอันตรวาสก ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาต
ในหมู่บ้านปิลันทวัจฉคาม ครั้งนั้น ในหมู่บ้านนั้นกำลังมีมหรสพ พวกเด็ก ๆ
แต่งกายประดับ ดอกไม้เล่นอยู่ พอดีท่านพระปิลินทวัจฉะเที่ยวบิณฑบาตมาตามลำดับ
ในหมู่บ้านปิลินทวัจฉคาม มาถึงเรือนของคนวัดคนหนึ่งแล้วได้นั่งบนอาสนะที่เขาจัด
ถวาย
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 162. ปิลินทวัจฉวัตถุ
ขณะนั้น ธิดาของสตรีคนวัดเห็นพวกเด็กคนอื่นแต่งกายประดับดอกไม้ จึงร้อง
ไห้ขอว่า พ่อแม่ โปรดให้ดอกไม้ โปรดให้เครื่องประดับแก่หนู
พระเถระถามสตรีนั้นว่า เด็กคนนี้อยากได้อะไร
นางตอบว่า ท่านผู้เจริญ เด็กคนนี้เห็นพวกเด็กอื่นแต่งกายประดับดอกไม้
จึงร้องไห้ขอพวงดอกไม้และเครื่องประดับว่า พ่อแม่โปรดให้ดอกไม้ โปรดให้เครื่อง
ประดับแก่หนู เราคนจนจะได้ดอกไม้และเครื่องประดับจากไหนกัน
ท่านพระปิลินทวัจฉะจึงหยิบเสวียนหญ้า1อันหนึ่งส่งให้พลางกล่าวว่า ท่านจง
สวมเสวียนหญ้าอันนี้ที่ศีรษะเด็กหญิงนั้น
หญิงคนวัดหยิบเสวียนหญ้าสวมที่ศีรษะเด็กหญิง เสวียนหญ้ากลายเป็นพวง
ดอกไม้ทองคำงดงามน่าดูน่าชม พวงดอกไม้ทองคำอย่างนี้แม้ในพระราชฐานก็ยังไม่มี
พวกชาวบ้านกราบทูลพระเจ้าพิมพิสารว่า ขอเดชะ ที่เรือนคนวัดโน้นมีพวง
ดอกไม้ทองคำงดงามน่าดูน่าชม พวงดอกไม้ทองคำอย่างนี้แม้ในพระราชฐานก็ยัง
ไม่มี เขาเป็นคนเข็ญใจจะได้มาจากไหน ชะรอยจะได้มาเพราะทำโจรกรรมเป็นแน่แท้
พระเจ้าพิมพิสารรับสั่งให้จองจำตระกูลคนวัดนั้น
ต่อมาเช้าวันที่ 2 ท่านพระปิลินทวัจฉะครองอันตรวาสก ถือบาตรและจีวร
ไปบิณฑบาตที่ปิลินทวัจฉคามอีก เมื่อเที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับในหมู่บ้าน
ปิลินทวัจฉคาม เดินผ่านไปทางที่อยู่คนวัดคนนั้นถามคนคุ้นเคยว่า ครอบครัวคนวัด
นี้ไปไหน
ชาวบ้านตอบว่า ครอบครัวนี้ถูกจองจำเพราะเรื่องพวงดอกไม้ทองคำ เจ้าข้า
ต่อจากนั้น ท่านพระปิลินทวัจฉะเข้าไปถึงพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าพิมพิสาร
จอมทัพมคธรัฐ ครั้นถึงแล้วได้นั่งบนอาสนะที่เขาจัดถวาย
เชิงอรรถ :
1 เสวียนหญ้า คือของเป็นวงกลมสำหรับรอบก้นหม้อ ทำด้วยหญ้าหรือหวายเป็นต้น ของที่ทำเป็น
วงกลมสำหรับรองหรือรับสิ่งต่าง ๆ (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2525)
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 162. ปิลินทวัจฉวัตถุ
ลำดับนั้น พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพมคธรัฐ เสด็จเข้าไปหาพระเถระจนถึง
อาสนะ ทรงอภิวาทแล้วประทับนั่ง ณ ที่สมควร
ท่านพระปิลินทวัจฉะทูลถามพระเจ้าพิมพิสารจอมทัพมคธรัฐว่า ขอถวายพระพร
ครอบครัวคนวัดถูกจองจำเพราะเรื่องอะไร
พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพมคธรัฐตรัสว่า ที่เรือนเขามีพวงดอกไม้ทองคำ
งดงามน่าดูน่าชม พวงดอกไม้ทองคำอย่างนี้แม้ในวังก็ยังไม่มี เขาเป็นคนเข็ญใจจะ
ได้มาจากไหน ชะรอยจะได้มาเพราะทำโจรกรรมเป็นแน่แท้
ทีนั้น ท่านพระปิลินทวัจฉะได้อธิษฐานให้ปราสาทของพระเจ้าพิมพิสารเป็นทองคำ
ปราสาทกลายเป็นทองคำไปทั้งหลัง แล้วท่านก็ถวายพระพรว่า ทองคำมากมาย
มหาบพิตรได้มาจากไหน
พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพมคธรัฐตรัสว่า โยมทราบแล้ว นี่เป็นฤทธานุภาพ
ของพระคุณเจ้า แล้วรับสั่งให้ปล่อยครอบครัวนั้น
พวกชาวบ้านทราบข่าวว่า พระคุณเจ้าปิลินทวัจฉะแสดงอิทธิปาฏิหาริย์อัน
เป็นอุตตริมนุสสธรรมในท่ามกลางราชบริษัท พากันพอใจเลื่อมใสนำเภสัช 5 คือ
เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อยมาถวาย ตามปกติท่านพระปิลินทวัจฉะ
ก็ได้เภสัช 5 อยู่เสมอ ท่านจึงแบ่งเภสัชให้บริษัทของท่าน แต่บริษัทของท่านมักมาก
บรรจุเภสัชที่ได้มาแล้วไว้ในตุ่มบ้าง ในหม้อน้ำบ้าง จนเต็มแล้วเก็บไว้ บรรจุลงใน
หม้อกรองน้ำบ้าง ในถุงย่ามบ้าง แล้วแขวนไว้ที่หน้าต่าง เภสัชเหล่านั้นซึมไหลเยิ้ม
จึงมีสัตว์จำพวกหนูชุกชุมทั่ววิหาร
พวกชาวบ้านเที่ยวไปตามวิหารพบเข้าจึงพากันตำหนิ ประณาม โพนทะนา
ว่า พวกพระสมณะเชื้อสายศากยบุตรเหล่านี้มีเรือนคลังเก็บของเหมือนพระเจ้า
พิมพิสารจอมทัพมคธรัฐ
ภิกษุทั้งหลายได้ยินชาวบ้านตำหนิ ประณาม โพนทะนา บรรดาภิกษุผู้มักน้อย
ฯลฯ พากันตำหนิ ประณาม โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุทั้งหลายจึงคิดเพื่อความ
มักมากเช่นนี้เล่า ครั้นภิกษุทั้งหลายตำหนิภิกษุเหล่านั้นโดยประการต่าง ๆ แล้ว
จึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 163. คุฬาทิอนุชานนา
เรื่องฉันเภสัชที่เก็บไว้ 7 วัน
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมสงฆ์เพราะเรื่องนี้เป็นต้นเหตุ ทรง
สอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย ทราบว่าพวกภิกษุคิดเพื่อความมักมาก
อย่างนั้นจริงหรือ
ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคครั้นทรงตำหนิแล้วทรงแสดงธรรมีกถารับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรับประเคนเภสัชที่ควรสำหรับภิกษุไข้ คือ เนยใส เนยข้น
น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย แล้วเก็บไว้ฉันได้ 7 วัน เป็นอย่างมาก ให้เกินกำหนด
นั้นไปพึงปรับอาบัติตามธรรม
เภสัชชานุญญาตภาณวาร ที่ 1 จบ
163. คุฬาทิอนุชานนา
ว่าด้วยทรงอนุญาตน้ำอ้อยงบเป็นต้น
เรื่องน้ำอ้อยงบ
[272] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถีตามพระอัธยาศัย
แล้ว เสด็จไปกรุงราชคฤห์ ในระหว่างทาง ท่านพระกังขาเรวตะแวะเข้าโรงทำน้ำ
อ้อยงบ เห็นเขาผสมแป้งบ้าง เถ้าบ้าง ลงในน้ำอ้อยงบ ยำเกรงอยู่ว่า น้ำอ้อย
งบเจืออามิสเป็นของไม่ควรฉันในเวลาวิกาล พร้อมด้วยบริษัทไม่ฉันน้ำอ้อยงบ
แม้ภิกษุทั้งหลายที่เชื่อฟังท่านก็พลอยไม่ฉันน้ำอ้อยงบไปด้วย
ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย ชาวบ้านผสม
แป้งบ้าง เถ้าบ้าง ลงในน้ำอ้อยงบเพื่ออะไร
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 163. คุฬาทิอนุชานนา
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เพื่อให้เนื้อน้ำอ้อยเกาะกันแน่น พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเขาผสมแป้งบ้าง เถ้าบ้างลงในน้ำ
อ้อยงบ เพื่อให้เนื้อน้ำอ้อยเกาะกันแน่น น้ำอ้อยงบนั้นก็ยังคงเป็นน้ำอ้อยงบเหมือนเดิม
เราอนุญาตให้ฉันน้ำอ้อยงบได้ตามสบาย
เรื่องถั่วเขียว
ท่านพระกังขาเรวตะเห็นถั่วเขียวงอกขึ้นในกองอุจจาระระหว่างทาง ยำเกรงอยู่
ว่า ถั่วเขียวเป็นของไม่ควร ถึงต้มแล้วก็ยังงอกได้ พร้อมด้วยบริษัทไม่ฉันถั่วเขียว
แม้พวกภิกษุที่เชื่อฟังท่านก็พลอยไม่ฉันถั่วเขียวไปด้วย
ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย ถ้าถั่วเขียวแม้ที่ต้มสุกแล้วแต่ยังงอกได้
เราอนุญาตให้ฉันได้ตามสบาย
เรื่องยาดองโลณโสวีรกะ1
[273] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธเป็นโรคลมในท้อง จึงดื่มยาดองโลณโสวีรกะ
โรคลมสงบลง
ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุไข้ฉันยาดองโลณ-
โสวีรกะได้ตามสบาย แต่ผู้ไม่เป็นไข้ต้องเจือน้ำฉันอย่างน้ำปานะ
เชิงอรรถ :
1 ยาดองโลณโสวีรกะ ได้แก่ ยาที่ปรุงด้วยส่วนประกอบนานาชนิด เช่น มะขามป้อมสด สมอพิเภก
ธัญชาติทุกชนิด ถั่วเขียว ข้าวสุก ผลกล้วย หน่อหวาย การเกด อินทผลัม หน่อไม้ ปลา เนื้อ น้ำผึ้ง
น้ำอ้อย เกลือ โดยใส่เครื่องยาเหล่านี้ในหม้อ ปิดฝามิดชิด เก็บดองไว้ 1 วัน 2 วัน หรือ 3 วัน เมื่อยา
นี้สุกได้ที่แล้ว จะมีรสและสีเหมือนผลหว้า เป็นยาแก้โรคลม โรคไอ โรคเรื้อน โรคผอมเหลือง (ดีซ่าน)
โรคริดสีดวงเป็นต้น ในกาลภายหลังภัต คือเที่ยงวันไปก็ฉันได้ (วิ.อ. 1/192/518)
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 164. อันโตวุฏฐาทิปฏิกเขปกถา
164. อันโตวุฏฐาทิปฏิกเขปกถา
ว่าด้วยทรงห้ามการหุงต้มภายในเป็นต้น
เรื่องอาหารที่หุงต้มเอง
[274] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปกรุงราชคฤห์ ประทับอยู่ ณ
พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกระแต สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคทรงประชวรโรคลมใน
พระอุทร
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ดำริว่า เมื่อก่อน พระผู้มีพระภาคทรงประชวร
โรคลมในพระอุทร ก็ทรงพระสำราญได้ด้วยข้าวต้มปรุงด้วยของ 3 อย่าง จึงออก
ปากของาบ้าง ข้าวสารบ้าง ถั่วเขียวบ้าง ด้วยตนเองแล้วเก็บไว้ภายใน1 ต้มเองแล้ว
น้อมเข้าไปถวายพระผู้มีพระภาคด้วยกราบทูลว่า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดดื่มข้าวต้ม
ปรุงด้วยของ 3 อย่างเถิด พระพุทธเจ้าข้า
พุทธประเพณี
พระตถาคตเจ้าทั้งหลายทรงทราบเรื่อง ตรัสถามก็มี ไม่ตรัสถามก็มี ทรงทราบ
กาลอันควร ตรัสถามก็มี ไม่ตรัสถามก็มี ตรัสถามเรื่องที่เป็นประโยชน์ ไม่ตรัส
ถามเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ เพราะพระตถาคตเจ้าทั้งหลายทรงขจัดเรื่องที่ไม่เป็น
ประโยชน์เสียด้วยอริยมรรคแล้ว
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายสอบถามภิกษุทั้งหลายด้วยเหตุ 2 ประการ
คือ จะทรงแสดงธรรมอย่างหนึ่ง จะทรงบัญญัติสิกขาบทแก่พระสาวกอย่างหนึ่ง
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งถามว่า เธอได้
ข้าวต้มนี้มาจากไหน อานนท์
เชิงอรรถ :
1 เก็บไว้ภายใน คือเก็บไว้ในอกัปปิยกุฎี (วิ.อ. 3/274/176) ภายหลังพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตกัปปิย
กุฎี (ดูข้อ 295 หน้า 116 ในเล่มนี้) เพื่อให้ภิกษุภิกษุณี พ้นจากการเก็บของไว้ภายในและหุงต้มภายใน
(วิ.อ. 3/295/183)
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 164. อันโตวุฏฐาทิปฏิกเขปกถา
ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลเรื่องนั้นให้พระผู้มีพระภาคทรงทราบ
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงตำหนิว่า อานนท์ การทำอย่างนี้ไม่สมควร
ไม่คล้อยตาม ไม่เหมาะสม ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำเลย ไฉนเธอ
จึงขวนขวายเพื่อความมักมากเช่นนี้เล่า อาหารที่เก็บไว้ภายใน ที่หุงต้มภายใน ที่
หุงต้มเอง จัดเป็นอกัปปิยะ1 การกระทำอย่างนี้มิได้ทำคนที่ยังไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใส
ฯลฯ ทรงแสดงธรรมีกถาแล้วรับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่
พึงฉันอาหารที่เก็บไว้ภายใน ที่หุงต้มภายใน ที่หุงต้มเอง รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเก็บอาหารไว้ภายใน หุงต้มภายใน หุงต้มเอง ถ้าภิกษุฉัน
อาหารนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ 3 ตัว
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเก็บอาหารไว้ภายใน หุงต้มภายใน คนอื่นหุงต้มให้ ถ้า
ภิกษุฉันอาหารนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ 2 ตัว
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเก็บอาหารไว้ภายใน แต่หุงต้มภายนอก หุงต้มเอง ถ้า
ภิกษุฉันอาหารนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ 2 ตัว
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเก็บอาหารไว้ภายนอก แต่หุงต้มภายใน หุงต้มเอง ถ้าภิกษุ
ฉันอาหารนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ 2 ตัว
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเก็บอาหารไว้ภายใน แต่หุงต้มภายนอก คนอื่นหุงต้มให้
ถ้าภิกษุฉันอาหารนั้น ต้องอาบัติทุกกฏตัวเดียว
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเก็บอาหารไว้ภายนอก หุงต้มภายใน คนอื่นหุงต้มให้ ถ้าภิกษุ
ฉันอาหารนั้น ต้องอาบัติทุกกฏตัวเดียว
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเก็บอาหารไว้ภายนอก หุงต้มภายนอก หุงต้มเอง ถ้าภิกษุ
ฉันอาหารนั้น ต้องอาบัติทุกกฏตัวเดียว
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเก็บอาหารไว้ภายนอก หุงต้มภายนอก คนอื่นหุงต้มให้
ถ้าภิกษุฉันอาหารนั้น ไม่ต้องอาบัติ
เชิงอรรถ :
1 อกัปปิยะ คือ ของที่ภิกษุไม่สมควรจะบริโภค
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 164. อันโตวุฏฐาทิปฏิกเขปกถา
เรื่องอุ่นภัตตาหาร
สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายสนทนาว่า พระผู้มีพระภาคทรงห้ามภัตตาหารที่หุง
ต้มเอง จึงยำเกรงโภชนาหารที่อุ่นใหม่
ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้อุ่นภัตตาหารได้
เรื่องให้เก็บอาหารภายในและหุงต้มเองเมื่อคราวจำเป็น
สมัยนั้น กรุงราชคฤห์เกิดข้าวยากหมากแพง คนทั้งหลายนำเกลือบ้าง น้ำมัน
บ้าง ข้าวสารบ้าง ของฉันบ้างมาที่อาราม ภิกษุทั้งหลายให้เก็บของเหล่านั้นไว้ภาย
นอก สัตว์ต่าง ๆ1 คาบไปกินเสียบ้าง พวกโจรลักเอาไปบ้าง
ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต ให้เก็บไว้ภายในได้
พวกกัปปิยการกเก็บอาหารไว้ภายในแล้วหุงต้มภายนอก พวกคนกินเดนพากัน
ห้อมล้อม ภิกษุทั้งหลายฉันไม่สะดวก
ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้หุงต้มภายในได้
ในคราวข้าวยากหมากแพง พวกกัปปิยการก2นำเอาสิ่งของไปเป็นจำนวนมากกว่า
ถวายภิกษุทั้งหลายเพียงเล็กน้อย
ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้หุงต้มเอง ภิกษุ
ทั้งหลาย เราอนุญาตอาหารที่เก็บไว้ภายใน ที่หุงต้มภายใน ที่หุงต้มเอง
เชิงอรรถ :
1 สัตว์ต่าง ๆ แปลมาจากบาลีว่า อุกฺกปิณฺฑกาปิ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า vermin แปลว่า สัตว์ที่
ทำลายพืชพันธุ์ เช่น เสือปลา หนู นก ไส้เดือน (วิ.อ. 3/281/178)
2 กัปปิยการก หมายถึงผู้ทำหน้าที่จัดของที่สมควรแก่ภิกษุบริโภค, ผู้ปฏิบัติภิกษุ, ศิษย์พระ