เมนู

พระวินัยปิฎก มหาวรรค [10. โกสัมพิกขันธกะ] 271. โกสัมพิกวิวาทกถา
ไม่ได้ ต้องนั่งบนอาสนะแยกจากภิกษุรูปนี้ จะนั่งในที่ดื่มข้าวต้มร่วมกับภิกษุรูปนี้ไม่ได้
ต้องนั่งแยกจากภิกษุรูปนี้ จะนั่งในโรงอาหารร่วมกับภิกษุรูปนี้ไม่ได้ ต้องนั่งแยก
จากภิกษุรูปนี้ จะอยู่ในที่มุงบังเดียวกันร่วมกับภิกษุรูปนี้ไม่ได้ ต้องอยู่แยกจาก
ภิกษุรูปนี้ จะกราบไหว้ ต้อนรับ ประนมมือ ทำสามีจิกรรมตามลำดับพรรษาร่วม
กับภิกษุรูปนี้ไม่ได้ ต้องทำแยกจากภิกษุรูปนี้ ความบาดหมาง ความทะเลาะ
ความขัดแย้ง ความวิวาท ความแตกแห่งสงฆ์ ความร้าวรานแห่งสงฆ์ ความแบ่ง
แยกแห่งสงฆ์ การทำสงฆ์ให้เป็นต่าง ๆ กันซึ่งมีเรื่องนั้นเป็นเหตุจะมีแก่สงฆ์’
ภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุผู้หนักในความแตกกัน จึงไม่พึงลงอุกเขปนียกรรมภิกษุ
รูปนั้นเพราะไม่เห็นอาบัติ”

เรื่องพระผู้มีพระภาคทรงแนะนำให้ภิกษุแสดงอาบัติ
[454] ครั้นพระผู้มีพระภาคตรัสเรื่องนั้นแก่พวกภิกษุผู้ลงอุกเขปนียกรรมแล้ว
เสด็จลุกจากอาสนะ เสด็จเข้าไปหาพวกภิกษุผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ถูกลงอุกเขปนีย
กรรมประทับบนพุทธอาสน์ที่ปูไว้แล้ว ได้ตรัสกับพวกภิกษุผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ถูก
ลงอุกเขปนียกรรมดังนี้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอต้องอาบัติแล้วอย่าคิดว่า
‘พวกเราหาได้ต้องอาบัติไม่ พวกเราหาได้ต้องอาบัติไม่’ สำคัญว่าอาบัติไม่ต้องทำคืน
ภิกษุทั้งหลาย ก็ในกรณีที่ภิกษุต้องอาบัติแล้ว มีความเห็นในอาบัตินั้นว่าไม่
เป็นอาบัติ พวกภิกษุอื่นมีความเห็นในอาบัตินั้นว่าเป็นอาบัติ ถ้าภิกษุรูปนั้นรู้จัก
ภิกษุเหล่านั้นอย่างนี้ว่า ‘ท่านเหล่านี้แลเป็นพหูสูต ฯลฯ ใฝ่การศึกษา คงจะไม่
ลำเอียงเพราะความรัก เพราะความชัง เพราะความหลง เพราะความกลัว เพราะ
เราเป็นเหตุ หรือเพราะภิกษุอื่นเป็นเหตุ ถ้าภิกษุเหล่านี้จะลงอุกเขปนียกรรมเรา
เพราะไม่เห็นอาบัติ ภิกษุเหล่านั้นจะทำอุโบสถร่วมกับเราไม่ได้ ต้องทำอุโบสถแยก
จากเรา ความบาดหมาง ความทะเลาะ ความขัดแย้ง ความวิวาท ความแตก
แห่งสงฆ์ ความร้าวรานแห่งสงฆ์ ความแบ่งแยกแห่งสงฆ์ การทำสงฆ์ให้เป็นต่าง ๆ
กันซึ่งมีเรื่องนั้นเป็นเหตุจะมีแก่สงฆ์’ ภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุผู้ตระหนักในความแตกกัน


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :338 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [10. โกสัมพิกขันธกะ] 271. โกสัมพิกวิวาทกถา
จึงไม่พึงลงอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุรูปนั้นเพราะไม่เห็นอาบัติ” ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
ผู้หนักในความแตกกันจึงพึงแสดงอาบัตินั้นแม้เพราะเชื่อผู้อื่น
ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในกรณีที่ภิกษุผู้ต้องอาบัติแล้ว มีความเห็นในอาบัตินั้น
ว่าไม่เป็นอาบัติ พวกภิกษุอื่นมีความเห็นในอาบัตินั้นว่าเป็นอาบัติ ถ้าภิกษุรูปนั้นรู้
จักภิกษุเหล่านั้นอย่างนี้ว่า ‘ท่านเหล่านี้แลเป็นพหูสูต ฯลฯ ใฝ่การศึกษา คงจะ
ไม่ลำเอียงเพราะความชอบ เพราะความชัง เพราะความหลง เพราะความกลัว
เพราะเราเป็นเหตุ หรือเพราะภิกษุอื่นเป็นเหตุ ถ้าภิกษุเหล่านี้จะลงอุกเขปนีย
กรรมเราเพราะไม่เห็นอาบัติ ภิกษุเหล่านั้นจะปวารณาร่วมกับเราไม่ได้ ต้อง
ปวารณาแยกจากเรา จะทำสังฆกรรมร่วมกับเราไม่ได้ ต้องทำสังฆกรรมแยกจากเรา
จะนั่งร่วมบนอาสนะเดียวกับเราไม่ได้ ต้องนั่งบนอาสนะแยกจากเรา จะนั่งในที่ดื่ม
ข้าวต้มร่วมกับเราไม่ได้ ต้องนั่งแยกจากเรา จะนั่งในโรงอาหารร่วมกับเราไม่ได้
ต้องนั่งแยกจากเรา จะอยู่ในที่มุงบังเดียวร่วมกับเราไม่ได้ ต้องอยู่แยกจากเรา จะ
กราบไหว้ ต้อนรับ ประนมมือ ทำสามีจิกรรมตามลำดับพรรษาร่วมกับเราไม่ได้
ต้องทำแยกจากเรา ความบาดหมาง ความทะเลาะ ความขัดแย้ง ความวิวาท
ความแตกแห่งสงฆ์ ความร้าวรานแห่งสงฆ์ ความแบ่งแยกแห่งสงฆ์ การทำสงฆ์ให้
เป็นต่าง ๆ กัน ซึ่งมีเรื่องนั้นเป็นเหตุจะมีแก่สงฆ์’ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้หนักใน
ความแตกกัน จึงพึงแสดงอาบัตินั้นแม้เพราะเชื่อผู้อื่น”
ครั้นพระผู้มีพระภาคตรัสเรื่องนั้น แก่พวกภิกษุผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ถูกลง
อุกเขปนียกรรมแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะแล้วเสด็จหลีกไป

เรื่องพวกภิกษุผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ถูกลงอุกเขปนียกรรม
ทำอุโบสถภายในสีมา
[455] สมัยนั้น พวกภิกษุผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ถูกลงอุกเขปนียกรรม ทำ
อุโบสถ ทำสังฆกรรมภายในสีมานั้นเอง ส่วนพวกภิกษุผู้ลงอุกเขปนียกรรมไปทำ
อุโบสถ ทำสังฆกรรมนอกสีมา


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :339 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [10. โกสัมพิกขันธกะ] 271. โกสัมพิกวิวาทกถา
ต่อมา ภิกษุผู้ลงอุกเขปนียกรรมอีกรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ณ ที่
ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ที่สมควร ภิกษุรูปนั้นผู้นั่งแล้ว ณ ที่สมควร
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “พระพุทธเจ้าข้า พวกภิกษุผู้ประพฤติตาม
ภิกษุผู้ถูกลงอุกเขปนียกรรมนั้น ทำอุโบสถ ทำสังฆกรรมภายในสีมานั้นเอง ส่วน
พวกข้าพระองค์ซึ่งเป็นผู้ลงอุกเขปนียกรรมกลับต้องไปทำอุโบสถทำสังฆกรรมนอกสีมา”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ภิกษุ ถ้าพวกภิกษุผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ถูกลง
อุกเขปนียกรรมนั้นจะทำอุโบสถ ทำสังฆกรรมภายในสีมานั้น กรรมเหล่านั้นของ
ภิกษุเหล่านั้นเป็นกรรมที่ถูกต้อง ไม่เสียหาย ควรแก่ฐานะตามญัตติและอนุสาวนา
ที่เราบัญญัติไว้ ภิกษุ ถ้าภิกษุเหล่านั้นเองซึ่งเป็นผู้ลงอุกเขปนียกรรมจะทำอุโบสถ
สังฆกรรมภายในสีมานั้น กรรมเหล่านั้นแม้ของพวกเธอก็เป็นกรรมที่ถูกต้อง ไม่
เสียหาย ควรแก่ฐานะตามญัตติและอนุสาวนาที่เราบัญญัติไว้ ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร
เพราะภิกษุพวกนั้นเป็นนานาสังวาสจากพวกเธอ และพวกเธอก็เป็นนานาสังวาส
จากภิกษุพวกนั้น

นานาสังวาสกภูมิและสมานสังวาสกภูมิ
ภิกษุ นานาสังวาสกภูมิมี 2 อย่างนี้ คือ
1. ภิกษุทำตนให้เป็นนานาสังวาสด้วยตนเอง
2. สงฆ์พร้อมเพรียงกันลงอุกเขปนียกรรมภิกษุรูปนั้น เพราะไม่เห็นว่า
เป็นอาบัติ เพราะไม่ทำคืนอาบัติ หรือเพราะไม่สละทิฏฐิบาป
ภิกษุ นานาสังวาสกภูมิมี 2 อย่างนี้แล
ภิกษุ สมานสังวาสกภูมิมี 2 อย่างนี้ คือ
1. ภิกษุทำตนให้เป็นสมานสังวาสด้วยตนเอง
2. สงฆ์พร้อมเพรียงกันรับภิกษุผู้ถูกลงอุกเขปนียกรรมเพราะไม่เห็นว่า
เป็นอาบัติ เพราะไม่ทำคืนอาบัติ หรือเพราะไม่สละทิฏฐิบาปเข้าหมู่
ภิกษุ สมานสังวาสกภูมิมี 2 อย่างนี้แล

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :340 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [10. โกสัมพิกขันธกะ] 271. โกสัมพิกวิวาทกถา
[456] สมัยนั้น พวกภิกษุเกิดความบาดหมาง เกิดความทะเลาะวิวาท
แสดงกายกรรมวจีกรรมอันไม่สมควรต่อกันและกัน ฉุดรั้งกันในโรงอาหารในละแวกบ้าน
คนทั้งหลายจึงตำหนิ ประณาม โพนทะนาว่า “ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระ
ศากยบุตรจึงเกิดความบาดหมาง เกิดความทะเลาะวิวาท แสดงกายกรรม วจี
กรรมอันไม่สมควรต่อกันและกัน ฉุดรั้งกันในโรงอาหารในละแวกบ้านเล่า”
พวกภิกษุได้ยินคนเหล่านั้นตำหนิ ประณาม โพนทะนา บรรดาภิกษุผู้มักน้อย
ฯลฯ พากันตำหนิ ประณาม โพนทะนาว่า “ไฉน ภิกษุทั้งหลาย จึงเกิดความ
บาดหมาง ฯลฯ ฉุดรั้งกันในโรงฉันในละแวกบ้านเล่า” แล้วนำเรื่องนั้นไปกราบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาคตรัสถามพวกภิกษุว่า “ฯลฯ ภิกษุทั้งหลาย ทราบว่าพวก
ภิกษุเกิดความบาดหมาง ฯลฯ ถึงกับฉุดรั้งกันในโรงอาหารในละแวกบ้านจริงหรือ”
ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า “จริง พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงตำหนิ ฯลฯ ครั้นทรงตำหนิแล้วทรงแสดง
ธรรมีกถารับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า “ภิกษุทั้งหลาย เมื่อสงฆ์แตกกันแล้ว แต่ยัง
ทำกิจที่ไม่เป็นธรรม เมื่อคำแสลงใจเป็นไปอยู่ ภิกษุเหล่านั้นพึงนั่งบนอาสนะโดย
คิดว่า ‘เพราะเหตุเพียงเท่านี้ พวกเราจะไม่แสดงกายกรรม วจีกรรมอันไม่สมควร
ต่อกันและกัน จะไม่ฉุดรั้งกัน’ เมื่อสงฆ์แตกกันแล้ว ทำกิจที่ไม่เป็นธรรมอยู่ เมื่อ
คำแสลงใจเป็นไปอยู่ พวกเธอพึงนั่งในแถวที่มีอาสนะคั่น”
[457] สมัยนั้น พวกภิกษุเกิดความบาดหมาง เกิดการทะเลาะวิวาท ถึง
กับใช้หอกคือปากทิ่มแทงกันอยู่ในท่ามกลางสงฆ์ ภิกษุเหล่านั้นไม่สามารถระงับ
อธิกรณ์นั้นได้
ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ณ ที่ประทับ ถวายอภิวาท
แล้วยืนอยู่ ณ ที่สมควร ภิกษุรูปนั้นผู้ยืนอยู่ ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :341 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [10. โกสัมพิกขันธกะ] 271.โกสัมพิกวิวาทกถา
พระภาค ดังนี้ว่า “พระพุทธเจ้าข้า ขอประทานวโรกาส พวกภิกษุเกิดความบาดหมาง
เกิดการทะเลาะวิวาท ถึงกับใช้หอกคือปากทิ่มแทงกันอยู่ในท่ามกลางสงฆ์ ภิกษุ
เหล่านั้นไม่สามารถระงับอธิกรณ์นั้นได้ พระพุทธเจ้าข้า ขอประทานวโรกาส ขอ
พระผู้มีพระภาคทรงโปรดอนุเคราะห์เสด็จไปหาพวกภิกษุเหล่านั้นเถิด”
พระผู้มีพระภาครับอาราธนาโดยดุษณีภาพ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปหาพวกภิกษุเหล่านั้นถึงที่อยู่ ประทับ
นั่งบนพุทธอาสน์ที่ปูไว้ได้ตรัสกับภิกษุเหล่านั้นดังนี้ว่า “อย่าเลย ภิกษุทั้งหลาย พวก
เธออย่าบาดหมาง อย่าทะเลาะ อย่าขัดแย้ง อย่าวิวาทกันเลย”
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ภิกษุฝ่ายอธรรมวาทีรูปหนึ่ง1ได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ขอพระผู้มีพระภาคผู้ทรงเป็นธรรมสามีทรงโปรดรอไปก่อน
พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงขวนขวายน้อย ประกอบตามสุขวิหาร
ธรรมในปัจจุบันอยู่เถิด พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระองค์จะปรากฏเพราะความบาดหมาง
ความทะเลาะ ความขัดแย้ง และความวิวาทนั่งเอง”
แม้ครั้งที่ 2 พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับภิกษุเหล่านั้นดังนี้ว่า “อย่าเลย
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าบาดหมาง อย่าทะเลาะ อย่าขัดแย้ง อย่าวิวาทกันเลย”
ภิกษุฝ่ายอธรรมวาทีรูปนั้นได้กราบทูลอีกเป็นครั้งที่ 2 ว่า “ขอพระผู้มีพระภาค
ผู้ทรงเป็นธรรมสามีทรงโปรดรอไปก่อน พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคจงทรง
ขวนขวายน้อย ประกอบตามสุขวิหารธรรมในปัจจุบันอยู่เถิด พระพุทธเจ้าข้า พวก
ข้าพระองค์จะปรากฏเพราะความบาดหมาง ความทะเลาะ ความขัดแย้ง และความ
วิวาทนั่งเอง”

เชิงอรรถ :
1 ภิกษุฝ่ายอธรรมวาทีรูปนี้ เป็นพวกภิกษุผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม (วิ.อ. 3/ 457/
245)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :342 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [10. โกสัมพิกขันธกะ] 272. ทีฆาวุวัตถุ
272. ทีฆาวุวัตถุ
ว่าด้วยทีฆาวุกุมาร
[458] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้รับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า “ภิกษุทั้งหลาย
เรื่องเคยมีมาแล้ว ในกรุงพาราณสี ได้มีพระเจ้ากาสีพระนามว่าพรหมทัต ทรงเป็น
กษัตริย์ผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก มีกำลังพลมาก มีพาหนะมาก มี
อาณาจักรกว้างใหญ่ มีภัณฑาคารห้องเก็บของมีค่าและคลังพืชพันธุ์ธัญญาหารอุดม
สมบูรณ์1
พระเจ้าโกศลทรงพระนามว่าทีฆีติทรงเป็นกษัตริย์ผู้ขัดสน มีทรัพย์น้อย มีโภค
สมบัติน้อย มีกำลังพลน้อย มีพาหนะน้อย มีอาณาจักรไม่กว้างใหญ่ มีภัณฑาคาร
ห้องเก็บของมีค่าและคลังพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่อุดมสมบูรณ์
ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชเสด็จคุมกองทหารประกอบ
ด้วยองค์ 4 ไปโจมตีพระเจ้าทีฆีติโกศลราช
ภิกษุทั้งหลาย พระเจ้าทีฆีติโกศลราชทรงสดับว่า “พระเจ้าพรหมทัตกาสีราช
เสด็จคุมกองทหารประกอบด้วยองค์ 4 มาโจมตีเรา” จึงทรงดำริดังนี้ว่า “พระเจ้า
พรหมทัตกาสีราช ทรงเป็นกษัตริย์ผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก มีกำลัง
พลมาก มีพาหนะมาก มีอาณาจักรกว้างใหญ่ มีภัณฑาคารห้องเก็บของมีค่าและ
คลังพืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ ส่วนเราเองเป็นกษัตริย์ผู้ขัดสน มีทรัพย์น้อย
มีโภคสมบัติน้อย มีกำลังพลน้อย มีพาหนะน้อย มีอาณาจักรไม่กว้างใหญ่ มี
ภัณฑาคารห้องเก็บของมีค่าและคลังพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่อุดมสมบูรณ์ เราไม่
สามารถจะทำสงครามแม้เพียงครั้งเดียวกับพระเจ้าพรหมทัตกาสีราชได้เลย อย่า
กระนั้นเลย เราควรรีบหนีไปจากเมืองเสียก่อน”

เชิงอรรถ :
1 อีกอย่างหนึ่ง มีกองทัพ 4 คือ กองทัพช้าง กองทัพม้า กองทัพรถ พลเดินเท้า และมีคลังสมบัติ
คลังธัญชาติ คลังผ้าบริบูรณ์ (สารตฺถ.ฏีกา 3/463/420)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :343 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [10. โกสัมพิกขันธกะ] 272. ทีฆาวุวัตถุ
ภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น พระเจ้าทีฆีติโกศลราชจึงทรงพาพระมเหสีเสด็จหนี
ไปจากเมืองเสียก่อน
ฝ่ายพระเจ้าพรหมทัตกาสีราชทรงยึดกำลังพล พาหนะ ชนบท คลังอาวุธ-
ยุทโธปกรณ์และคลังพืชพันธุ์ธัญญาหารของพระเจ้าทีฆีติโกศลราชไว้ได้แล้วเสด็จเข้า
ครอบครองแทน
ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พระเจ้าทีฆีติโกศลราช พร้อมด้วยพระมเหสีได้เสด็จ
หนีไปทางกรุงพาราณสี เสด็จจาริกไปตามลำดับ ลุถึงกรุงพาราณสีแล้ว ทราบว่า
ท้าวเธอพร้อมกับพระมเหสีทรงปลอมแปลงพระองค์มิให้คนรู้จัก ทรงนุ่งห่มเยี่ยง
ปริพาชก ประทับอยู่ในบ้านช่างหม้อซึ่งตั้งอยู่ชายแดนแห่งหนึ่งในกรุงพาราณสี
ภิกษุทั้งหลาย ต่อมาไม่นานนัก พระมเหสีของพระเจ้าทีฆีติโกศลราชทรงมี
พระครรภ์ พระนางเกิดอาการแพ้ท้องเช่นนี้ คือ ในยามรุ่งอรุณ พระนางปรารถนา
จะทอดพระเนตรกองทหารประกอบด้วยองค์ 4 ผู้สวมเกราะยืนอยู่ในสมรภูมิ และ
จะทรงเสวยน้ำล้างพระแสงขรรค์
ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พระมเหสีของพระเจ้าทีฆีติโกศลราชจึงได้กราบทูล
ดังนี้ว่า “ขอเดชะ หม่อมฉันมีครรภ์ หม่อมฉันนั้นเกิดอาการแพ้ท้องเช่นนี้ คือ
ยามรุ่งอรุณปรารถนาจะทอดพระเนตรกองทหารประกอบด้วยองค์ 4 ผู้สวมเกราะ
ยืนอยู่ในสมรภูมิ และจะทรงเสวยน้ำล้างพระแสงขรรค์”
พระเจ้าทีฆีติตรัสว่า “แม่เทวี เรากำลังตกยาก จะได้กองทหารประกอบด้วย
องค์ 4 ผู้สวมเกราะยืนอยู่ในสมรภูมิและน้ำล้างพระแสงขรรค์จากที่ไหนเล่า”
พระราชเทวีกราบทูลว่า “ขอเดชะ ถ้าหม่อมฉันไม่ได้คงตายแน่”
[459] ภิกษุทั้งหลาย ก็สมัยนั้น พราหมณ์ปุโรหิตของพระเจ้าพรหมทัต
กาสีราชเป็นพระสหายของพระเจ้าทีฆีติโกศลราช ลำดับนั้น พระเจ้าทีฆีติโกศลราช
เสด็จเข้าไปหาพราหมณ์ปุโรหิตของพระเจ้าพรหมทัตกาสีราช ณ ที่พัก แล้วตรัสกับ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :344 }