เมนู

พระวินัยปิฎก มหาวรรค [9. จัมเปยยขันธกะ] 237. จตุวัคคกรณาทิกถา
เรื่องกรรมที่สงฆ์ปัญจวรรคพึงทำ
[390] ภิกษุทั้งหลาย ถ้ากรรมที่สงฆ์ปัญจวรรคพึงทำ สงฆ์มีภิกษุณีเป็นที่
5 ทำกรรม ไม่จัดเป็นกรรมและไม่ควรทำ
ภิกษุทั้งหลาย ถ้ากรรมที่สงฆ์ปัญจวรรคพึงทำ สงฆ์มีสิกขมานาเป็นที่ 5
ฯลฯ มีสามเณรเป็นที่ 5 ... ... มีสามเณรีเป็นที่ 5 ... ... มีภิกษุผู้บอกลาสิกขา
เป็นที่ 5 ... ... มีภิกษุผู้ต้องอันติมวัตถุเป็นที่ 5 ... ... มีภิกษุผู้ถูกสงฆ์ลงอุกเขปนีย
กรรมเพราะไม่เห็นว่าเป็นอาบัติเป็นที่ 5 ... ... มีภิกษุผู้ถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม
เพราะไม่ทำคืนอาบัติเป็นที่ 5 ... ... มีภิกษุผู้ถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรมเพราะไม่
สละทิฏฐิบาปเป็นที่ 5 ... ... มีบัณเฑาะก์เป็นที่ 5 ... ... มีคนลักเพศ เป็นที่ 5
... ... มีภิกษุผู้เข้ารีตเดียรถีย์เป็นที่ 5 ... ... มีสัตว์ดิรัจฉานเป็นที่ 5 ... ... มีคน
ผู้ฆ่ามารดาเป็นที่ 5 ... ... มีคนผู้ฆ่าบิดาเป็นที่ 5 ... ... มีคนผู้ฆ่าพระอรหันต์
เป็นที่ 5 ... ... มีคนผู้ประทุษร้ายภิกษุณีเป็นที่ 5 ... ... มีภิกษุผู้ทำลายสงฆ์เป็น
ที่ 5 ... ... มีภิกษุผู้ทำร้ายพระศาสดาจนถึงห้อพระโลหิตเป็นที่ 5 ... ... มี
อุภโตพยัญชนกเป็นที่ 5 ... ... มีภิกษุผู้เป็นนานาสังวาสเป็นที่ 5 ... ... มีภิกษุผู้อยู่
ในนานาสีมาเป็นที่ 5 ... ... มีภิกษุผู้อยู่ในอากาศด้วยฤทธิ์เป็นที่ 5 ... สงฆ์ทำ
กรรมแก่ภิกษุใด มีภิกษุนั้นเป็นที่ 5 ทำกรรม ไม่จัดเป็นกรรมและไม่ควรทำ
เรื่องกรรมที่สงฆ์ปัญจวรรคพึงทำ จบ

เรื่องกรรมที่สงฆ์ทสวรรคพึงทำ
[391] ภิกษุทั้งหลาย ถ้ากรรมที่สงฆ์ทสวรรคพึงทำ สงฆ์มีภิกษุณีเป็นที่
10 ทำกรรม ไม่จัดเป็นกรรมและไม่ควรทำ
ภิกษุทั้งหลาย ถ้ากรรมที่สงฆ์ทสวรรคพึงทำ สงฆ์มีสิกขมานาเป็นที่ 10 ฯลฯ
มีสามเณรเป็นที่ 10 ... ... มีสามเณรีเป็นที่ 10 ... ... มีภิกษุผู้บอกลาสิกขาเป็นที่


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :278 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [9. จัมเปยยขันธกะ] 237. จตุวัคคกรณาทิกถา
10 ... ... มีภิกษุผู้ต้องอันติมวัตถุเป็นที่ 10 ... ... มีภิกษุผู้ถูกสงฆ์ลงอุกเขปนีย
กรรมเพราะไม่เห็นว่าเป็นอาบัติเป็นที่ 10 ... ... มีภิกษุผู้ถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม
เพราะไม่ทำคืนอาบัติเป็นที่ 10 ... ... มีภิกษุผู้ถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรมเพราะ
ไม่สละทิฏฐิบาปเป็นที่ 10 ... ... มีบัณเฑาะก์เป็นที่ 10 ... ... มีคน ลักเพศเป็นที่
10 ... ... มีภิกษุผู้เข้ารีตเดียรถีย์เป็นที่ 10 ... ... มีสัตว์ดิรัจฉาน เป็นที่ 10 ...
... มีคนผู้ฆ่ามารดาเป็นที่ 10 ... ... มีคนผู้ฆ่าบิดาเป็นที่ 10 ... ... มีคนผู้ฆ่า
พระอรหันต์เป็นที่ 10 ... ... มีคนผู้ประทุษร้ายภิกษุณีเป็นที่ 10 ... ... มีภิกษุ
ผู้ทำลายสงฆ์เป็นที่ 10 ... ... มีภิกษุผู้ทำร้ายพระศาสดาจนถึงห้อพระโลหิตเป็นที่
10 ... ... มีอุภโตพยัญชนกเป็นที่ 10 ... ... มีภิกษุผู้เป็นนานาสังวาสเป็นที่ 10
... ... มีภิกษุผู้อยู่ในนานาสีมาเป็นที่ 10 ... ... มีภิกษุผู้อยู่ในอากาศด้วยฤทธิ์เป็นที่
10 ... สงฆ์ทำกรรมแก่ภิกษุใด มีภิกษุนั้นเป็นที่ 10 ทำกรรม ไม่จัดเป็นกรรม
และไม่ควรทำ
เรื่องกรรมที่สงฆ์ทสวรรคพึงทำ จบ

เรื่องกรรมที่สงฆ์วีสติวรรคพึงทำ
[392] ภิกษุทั้งหลาย ถ้ากรรมที่สงฆ์วีสติวรรคพึงทำ สงฆ์มีภิกษุณีเป็นที่
20 ทำกรรม ไม่จัดเป็นกรรมและไม่ควรทำ
ภิกษุทั้งหลาย ถ้ากรรมที่สงฆ์วีสติวรรคพึงทำ สงฆ์มีสิกขมานาเป็นที่ 20
... มีสามเณรเป็นที่ 20 ... ... มีสามเณรีเป็นที่ 20 ... ... มีภิกษุผู้บอกลาสิกขา
เป็นที่ 20 ... ... มีภิกษุผู้ต้องอันติมวัตถุเป็นที่ 20 ... ... มีภิกษุผู้ถูกสงฆ์ลง
อุกเขปนียกรรมเพราะไม่เห็นว่าเป็นอาบัติเป็นที่ 20 ... ... มีภิกษุผู้ถูกสงฆ์ลง
อุกเขปนียกรรมเพราะไม่ทำคืนอาบัติเป็นที่ 20 ... ... มีภิกษุผู้ถูกสงฆ์ลงอุกเขปนีย
กรรมเพราะไม่สละทิฏฐิบาปเป็นที่ 20 ... ... มีบัณเฑาะก์เป็นที่ 20 ... ... มีคน
ลักเพศเป็นที่ 20 ... ... มีภิกษุผู้เข้ารีตเดียรถีย์เป็นที่ 20 ... ... มีสัตว์ดิรัจฉาน

 


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :279 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [9. จัมเปยยขันธกะ] 238. ปาริวาสิกาทิกถา
เป็นที่ 20 ... ... มีคนผู้ฆ่ามารดาเป็นที่ 20 ... ... มีคนผู้ฆ่าบิดาเป็นที่ 20 ...
... มีคนผู้ฆ่าพระอรหันต์เป็นที่ 20 ... ... มีคนผู้ประทุษร้ายภิกษุณีเป็นที่ 20 ...
... มีภิกษุผู้ทำลายสงฆ์เป็นที่ 20 ... ... มีภิกษุผู้ทำร้ายพระศาสดาจนถึงห้อพระ
โลหิตเป็นที่ 20 ... ... มีอุภโตพยัญชนกเป็นที่ 20 ... ... มีภิกษุผู้เป็นนานา
สังวาสเป็นที่ 20 ... ... มีภิกษุผู้อยู่ในนานาสีมาเป็นที่ 20 .. ... มีภิกษุผู้อยู่ใน
อากาศด้วยฤทธิ์เป็นที่ 20 ... สงฆ์ทำกรรมแก่ภิกษุใด มีภิกษุนั้นเป็นที่ 20 ทำ
กรรม ไม่จัดเป็นกรรมและไม่ควรทำ
เรื่องกรรมที่สงฆ์วีสติวรรคพึงทำ จบ

238. ปาริวาสิกาทิกถา
ว่าด้วยภิกษุผู้อยู่ปริวาสเป็นต้น

เรื่องสงฆ์มีภิกษุผู้อยู่ปริวาสเป็นที่ 4 ทำสังฆกรรมไม่ได้
และสงฆ์มีภิกษุผู้อยู่ปริวาสนั้นเป็นที่ 20 อัพภานไม่ได้
[393] ภิกษุทั้งหลาย ถ้าสงฆ์มีภิกษุผู้อยู่ปริวาสเป็นที่ 4 พึงให้ปริวาส ชัก
เข้าหาอาบัติเดิม ให้มานัต สงฆ์มีภิกษุผู้อยู่ปริวาสนั้นเป็นที่ 20 อัพภาน ไม่จัด
เป็นกรรมและไม่ควรทำ
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าสงฆ์มีภิกษุผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิมเป็นที่ 4 พึงให้ปริวาส
ชักเข้าหาอาบัติเดิม ให้มานัต สงฆ์มีภิกษุผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิมนั้นเป็นที่ 20
อัพภาน ไม่จัดเป็นกรรมและไม่ควรทำ
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าสงฆ์มีภิกษุผู้ควรมานัตเป็นที่ 4 พึงให้ปริวาส ชักเข้าหา
อาบัติเดิม ให้มานัต สงฆ์มีภิกษุผู้ควรมานัตนั้นเป็นที่ 20 อัพภาน ไม่จัดเป็นกรรม
และไม่ควรทำ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :280 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [9. จัมเปยยขันธกะ] 238. ปาริวาสิกาทิกถา
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าสงฆ์มีภิกษุผู้ประพฤติมานัตเป็นที่ 4 พึงให้ปริวาส ชักเข้า
หาอาบัติเดิม ให้มานัต สงฆ์มีภิกษุผู้ประพฤติมานัตนั้นเป็นที่ 20 อัพภาน ไม่จัด
เป็นกรรมและไม่ควรทำ
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าสงฆ์มีภิกษุผู้ควรอัพภานเป็นที่ 4 พึงให้ปริวาส ชักเข้าหา
อาบัติเดิม ให้มานัต สงฆ์มีภิกษุผู้ควรอัพภานนั้นเป็นที่ 20 อัพภาน ไม่จัดเป็น
กรรมและไม่ควรทำ

ปฏิโกสนา(การกล่าวคัดค้าน) 2 อย่าง
เรื่องคำคัดค้านของคน 27 จำพวกฟังไม่ขึ้น
[394] ภิกษุทั้งหลาย คำคัดค้านในท่ามกลางสงฆ์ของบางคน ฟังขึ้น ของ
บางคนฟังไม่ขึ้น
ภิกษุทั้งหลาย คำคัดค้านในท่ามกลางสงฆ์ของใครเล่า ฟังไม่ขึ้น
ภิกษุทั้งหลาย คำคัดค้านในท่ามกลางสงฆ์ของภิกษุณี ฟังไม่ขึ้น ... ของสิกขมานา
... ... ของสามเณร ... ... ของสามเณรี ... ... ของภิกษุผู้บอกลาสิกขา ... ... ของ
ภิกษุผู้ต้องอันติมวัตถุ ... ... ของภิกษุผู้วิกลจริต ... ... ของภิกษุผู้มีจิตฟุ้งซ่าน ...
... ของภิกษุผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนา ... ... ของภิกษุผู้ถูกสงฆ์ลงอุกเขปนีย
กรรมเพราะไม่เห็นว่าเป็นอาบัติ ... ... ของภิกษุผู้ถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรมเพราะไม่
ทำคืนอาบัติ ... ... ของภิกษุผู้ถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรมเพราะไม่สละทิฏฐิบาป ... ...
ของบัณเฑาะก์ ... ... ของคนลักเพศ ... ... ของภิกษุผู้เข้ารีตเดียรถีย์ ... .. ของ
สัตว์ดิรัจฉาน ... ... ของคนผู้ฆ่ามารดา ... ... ของคนผู้ฆ่าบิดา ... ... ของคนผู้ฆ่า
พระอรหันต์ ... ... ของคนผู้ประทุษร้ายภิกษุณี ... ... ของภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ... ...
ของภิกษุผู้ทำร้ายพระศาสดาจนถึงห้อพระโลหิต ... ... ของอุภโตพยัญชนก ... ... ของ
ภิกษุผู้เป็นนานาสังวาส ... ... ของภิกษุผู้อยู่ในนานาสีมา ... ... ของภิกษุผู้อยู่ใน
อากาศด้วยฤทธิ์ ... ภิกษุทั้งหลาย สงฆ์ทำกรรมแก่ผู้ใด คำคัดค้านในท่ามกลางสงฆ์
ของผู้นั้น ฟังไม่ขึ้น


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :281 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [9. จัมเปยยขันธกะ] 239. เทฺวนิสสารณาทิกถา
ภิกษุทั้งหลาย คำคัดค้านในท่ามกลางสงฆ์ของบุคคลเหล่านี้แล ฟังไม่ขึ้น
ภิกษุทั้งหลาย คำคัดค้านในท่ามกลางสงฆ์ของใครเล่า ฟังขึ้น

เรื่องคำคัดค้านของภิกษุที่ฟังขึ้น
ภิกษุทั้งหลาย คำคัดค้านในท่ามกลางของปกตัตตภิกษุ1 ภิกษุผู้มีสังวาส
เสมอกัน ภิกษุผู้อยู่ในสมานสังวาสสีมา โดยที่สุดแม้ภิกษุผู้นั่งอยู่บนอาสนะติดกัน
บอกให้กันรู้ ฟังขึ้น
ภิกษุทั้งหลาย คำคัดค้านในท่ามกลางสงฆ์ของบุคคลเหล่านี้แล ฟังขึ้น

239. เทฺวนิสสารณาทิกถา
ว่าด้วยนิสสารณา 2 อย่างเป็นต้น

เรื่องบุคคลที่ถูกขับออกไปดีและบุคคลที่ถูกขับออกไปไม่ดี
[395] ภิกษุทั้งหลาย นิสสารณา(การขับออกจากหมู่) มี 2 อย่างนี้ คือ
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่ยังไม่ถูกขับออก ถ้าสงฆ์ขับบุคคลนั้นออกไป บางคนเป็น
อันถูกขับออกดีแล้วก็มี บางคนเป็นอันถูกขับออกไม่ดีก็มี
1. ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่ยังไม่ถูกขับออก ถ้าสงฆ์ขับบุคคลนั้นออก
เป็นอันขับออกไม่ดี เป็นอย่างไร คือ
ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีนี้ ภิกษุเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีอาบัติ ถ้าสงฆ์ขับบุคคล
นั้นออก เป็นอันขับออกไม่ดี บุคคลประเภทนี้ เรียกว่ายังไม่ถูกขับออก ถ้าสงฆ์
ขับบุคคลนั้นออก เป็นอันขับออกไม่ดี

เชิงอรรถ :
1 ปกตัตตภิกษุ คือ ภิกษุผู้มีศีลไม่วิบัติ ไม่ต้องอาบัติปาราชิก (วิ.อ. 3/394/240)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :282 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [9. จัมเปยยขันธกะ] 239. เทฺวนิสสารณาทิกถา
2. ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่ยังไม่ถูกขับออก ถ้าสงฆ์ขับบุคคลนั้นออก
เป็นอันขับออกดีแล้ว เป็นอย่างไร คือ
ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีนี้ ภิกษุเป็นคนโง่เขลา ไม่ฉลาด มีอาบัติมาก ต้อง
อาบัติกำหนดไม่ได้ อยู่คลุกคลีกับคฤหัสถ์ด้วยการคลุกคลีอันไม่ควร ถ้าสงฆ์ขับบุคคล
นั้นออก เป็นอันขับออกดีแล้ว บุคคลประเภทนี้ เรียกว่ายังไม่ถูกขับออก แต่ถ้าสงฆ์
ขับบุคคลนั้นออก เป็นอันขับออกดีแล้ว

โอสารณา 2 อย่าง
[396] ภิกษุทั้งหลาย โอสารณา(การเรียกเข้าหมู่) มี 2 อย่างนี้ คือ ภิกษุ
ทั้งหลาย บุคคลที่ยังไม่ได้ถูกรับเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์รับบุคคลนั้นเข้าหมู่ บางคนเป็น
อันรับเข้าดีก็มี บางคนเป็นอันรับเข้าไม่ดีก็มี

เรื่องบุคคลที่ไม่ควรรับเข้าหมู่ 11 จำพวก
1. ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่ยังไม่ถูกรับเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์รับบุคคลนั้น
เข้าหมู่ เป็นอันรับเข้าไม่ดี เป็นอย่างไร
ภิกษุทั้งหลาย บัณเฑาะก์ที่ยังไม่ถูกรับเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์รับบัณเฑาะว์นั้นเข้าหมู่
เป็นอันรับเข้าไม่ดี ... ... คนลักเพศ ... ... คนเข้ารีตเดียรถีย์ ... ... สัตว์ดิรัจฉาน ...
... คนผู้ฆ่ามารดา ... ... คนผู้ฆ่าบิดา ... ... คนผู้ฆ่าพระอรหันต์ ... ... คนผู้ประทุษร้าย
ภิกษุณี ... ... คนผู้ทำลายสงฆ์ ... ... คนผู้ทำร้ายพระศาสดาจนถึงห้อพระโลหิต
... ภิกษุทั้งหลาย อุภโตพยัญชนกที่ยังไม่ถูกรับเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์รับอุภโตพยัญชนนั้น
เข้าหมู่ เป็นอันรับเข้าไม่ดี
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลประเภทนี้ เรียกว่าที่ยังไม่ถูกรับเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์รับบุคคล
ประเภทนี้เข้าหมู่เป็นอันรับเข้าไม่ดี
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลเหล่านี้ เรียกว่าที่ยังไม่ถูกเรียกเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์รับพวก
เธอเข้าหมู่ เป็นอันรับเข้าไม่ดี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :283 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [9. จัมเปยยขันธกะ] 239. เทฺวนิสสารณาทิกถา
เรื่องบุคคลที่ควรรับเข้าหมู่ 32 จำพวก
2. ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่ยังไม่ถูกรับเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์รับบุคคลนั้น
เข้าหมู่ เป็นอันรับเข้าดีแล้ว เป็นอย่างไร
ภิกษุทั้งหลาย คนมือด้วนที่ยังไม่ถูกรับเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์รับเธอเข้าหมู่ เป็นอันรับ
เข้าดี ... คนเท้าด้วน ... ... คนทั้งมือทั้งเท้าด้วน ... ... คนหูวิ่น ... ... คนจมูกแหว่ง
... ... คนทั้งหูวิ่นทั้งจมูกแหว่ง ... ... คนนิ้วมือนิ้วเท้าขาด ... ... คนง่ามมือง่ามเท้า
ขาด ... ... คนเอ็นขาด ... ... คนมือเป็นแผ่น ... ... คนค่อม ... ... คนเตี้ย ...
... คนคอพอก ... ... คนถูกสักหมายโทษ ... ... คนมีรอยเฆี่ยนด้วยหวาย ... ... คนมี
หมายจับ ... ... คนเท้าปุก ... ... คนมีโรคเรื้อรัง ... ... คนมีรูปร่างไม่สมประกอบ ...
... คนตาบอดข้างเดียว ... ... คนง่อย ... ... คนกระจอก ... ... คนเป็นโรคอัมพาต
... ... คนเคลื่อนไหวเองไม่ได้ ... ... คนชราทุพพลภาพ ... ... คนตาบอดสองข้าง ...
... คนใบ้ ... ... คนหูหนวก ... ... คนทั้งบอดทั้งใบ้ ... ... คนทั้งบอดทั้งหนวก
... ... คนทั้งใบ้ทั้งหนวก ... ภิกษุทั้งหลาย คนทั้งบอดทั้งใบ้ ทั้งหนวกที่ยังไม่ได้ถูก
รับเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์รับเธอเข้าหมู่ เป็นอันรับเข้าดีแล้ว
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลประเภทนี้ เรียกว่าที่ยังไม่ถูกรับเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์รับ
บุคคลประเภทนี้เข้าหมู่ เป็นอันรับเข้าดีแล้ว
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลเหล่านี้ เรียกว่าที่ยังไม่ถูกเรียกเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์รับ
บุคคลเหล่านี้เข้าหมู่ เป็นอันรับเข้าดีแล้ว
วาสภคามภาณวารที่ 1 จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :284 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [9. จัมเปยยขันธกะ] 240. อธัมมกัมมาทิกถา
240. อธัมมกัมมาทิกถา
ว่าด้วยกรรมที่ไม่ชอบธรรมเป็นต้น

เรื่องการลงอุกเขปนียกรรมที่ไม่ชอบธรรม 7 กรณี
[397] ภิกษุทั้งหลาย ก็ในกรณีนี้ ภิกษุไม่มีอาบัติที่พึงเห็น สงฆ์ ภิกษุ
หลายรูป หรือรูปเดียวโจทภิกษุนั้นว่า “ท่าน ท่านต้องอาบัติแล้ว เห็นอาบัตินั้นไหม”
ภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลาย ผมไม่มีอาบัติที่พึงเห็น” สงฆ์จึงลงอุกเขปนีย
กรรมภิกษุนั้นเพราะไม่เห็นว่าเป็นอาบัติ ชื่อว่ากรรมไม่ชอบธรรม
ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในกรณีนี้ ภิกษุไม่มีอาบัติที่พึงทำคืน สงฆ์ ภิกษุหลายรูป
หรือรูปเดียวโจทภิกษุนั้นว่า “ท่าน ท่านต้องอาบัติแล้ว จงทำคืนอาบัตินั้น”
ภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลาย ผมไม่มีอาบัติที่พึงทำคืน” สงฆ์จึงลง
อุกเขปนียกรรมภิกษุนั้นเพราะไม่ทำคืนอาบัติ ชื่อว่ากรรมไม่ชอบธรรม
ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในกรณีนี้ ภิกษุไม่มีทิฏฐิบาปที่พึงสละ สงฆ์ ภิกษุ
หลายรูป หรือรูปเดียวโจทภิกษุนั้นว่า “ท่าน ท่านมีทิฏฐิบาป จงสละทิฏฐิบาปนั้น”
ภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลาย ผมไม่มีทิฏฐิบาปที่พึงสละ” สงฆ์จึงลง
อุกเขปนียกรรมภิกษุนั้นเพราะไม่สละทิฏฐิบาป ชื่อว่ากรรมไม่ชอบธรรม
ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในกรณีนี้ ภิกษุไม่มีอาบัติที่พึงเห็น ไม่มีอาบัติที่พึง
ทำคืน สงฆ์ ภิกษุหลายรูป หรือรูปเดียวโจทภิกษุนั้นว่า “ท่าน ท่านต้องอาบัติแล้ว
เห็นอาบัตินั้นไหม จงทำคืนอาบัตินั้น” ภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลาย
ผมไม่มีอาบัติที่พึงเห็น ผมไม่มีอาบัติที่พึงทำคืน” สงฆ์จึงลงอุกเขปนียกรรมภิกษุนั้น
เพราะไม่เห็นว่าเป็นอาบัติ หรือเพราะไม่ทำคืนอาบัติ ชื่อว่ากรรมไม่ชอบธรรม
ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในกรณีนี้ ภิกษุไม่มีอาบัติที่พึงเห็น ไม่มีทิฏฐิบาปที่
พึงสละ สงฆ์ ภิกษุหลายรูปหรือ รูปเดียวโจทภิกษุนั้นว่า “ท่าน ท่านต้องอาบัติแล้ว

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :285 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [9. จัมเปยยขันธกะ] 240. อธัมมกัมมาทิกถา
เห็นอาบัตินั้นไหม ท่านมีทิฏฐิบาป จงสละทิฏฐิบาปนั้น” ภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า
“ท่านทั้งหลาย ผมไม่มีอาบัติที่พึงเห็น ผมไม่มีทิฏฐิบาปที่พึงสละ” สงฆ์จึงลงอุกเขปนีย
กรรมภิกษุนั้นเพราะไม่เห็นว่าเป็นอาบัติ หรือเพราะไม่สละทิฏฐิบาป ชื่อว่ากรรมไม่
ชอบธรรม
ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในกรณีนี้ ภิกษุไม่มีอาบัติที่พึงทำคืน ไม่มีทิฏฐิบาป
ที่พึงสละ สงฆ์ ภิกษุหลายรูปหรือรูปเดียวโจทภิกษุนั้นว่า “ท่าน ท่านต้องอาบัติแล้ว
จงทำคืนอาบัตินั้น ท่านมีทิฏฐิบาป จงสละทิฏฐิบาปนั้น” ภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า
“ท่านทั้งหลาย ผมไม่มีอาบัติที่พึงทำคืน ผมไม่มีทิฏฐิบาปที่พึงสละ” สงฆ์ลงอุกเขปนีย
กรรมภิกษุนั้นเพราะไม่ทำคืนอาบัติ หรือเพราะไม่สละทิฏฐิบาป ชื่อว่ากรรมไม่ชอบ
ธรรม
ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในกรณีนี้ ภิกษุไม่มีอาบัติที่พึงเห็น ไม่มีอาบัติที่พึงทำคืน
ไม่มีทิฏฐิบาปที่พึงสละ สงฆ์ ภิกษุหลายรูป หรือรูปเดียวโจทภิกษุนั้นว่า “ท่าน
ท่านต้องอาบัติแล้ว เห็นอาบัตินั้นไหม จงทำคืนอาบัตินั้น ท่านมีทิฏฐิบาป จงสละ
ทิฏฐิบาปนั้น” ภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลาย ผมไม่มีอาบัติที่พึงเห็น
ผมไม่มีอาบัติที่พึงทำคืน ผมไม่มีทิฏฐิบาปที่พึงสละ” สงฆ์จึงลงอุกเขปนียกรรมภิกษุ
นั้นเพราะไม่เห็นว่าเป็นอาบัติ เพราะไม่ทำคืนอาบัติ หรือเพราะไม่สละทิฏฐิบาป ชื่อว่า
กรรมไม่ชอบธรรม

เรื่องการลงอุกเขปนียกรรมที่ไม่ชอบธรรมอีก 7 กรณี
[398] ภิกษุทั้งหลาย ก็ในกรณีนี้ ภิกษุมีอาบัติที่พึงเห็น สงฆ์ ภิกษุหลายรูป
หรือรูปเดียวโจทภิกษุนั้นว่า “ท่าน ท่านต้องอาบัติแล้ว เห็นอาบัตินั้นไหม” ภิกษุนั้น
กล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลาย ขอรับ ผมเห็น” สงฆ์ยังขืนลงอุกเขปนียกรรม
ภิกษุนั้นเพราะไม่เห็นว่าเป็นอาบัติ ชื่อว่ากรรมไม่ชอบธรรม


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :286 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [9. จัมเปยยขันธกะ] 240. อธัมมกัมมาทิกถา
ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในกรณีนี้ ภิกษุมีอาบัติที่พึงทำคืน สงฆ์ ภิกษุหลายรูป
หรือรูปเดียวโจทภิกษุนั้นว่า “ท่าน ท่านต้องอาบัติแล้ว จงทำคืนอาบัตินั้น” ภิกษุนั้น
กล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลาย ขอรับ ผมจะทำคืน” สงฆ์ยังขืนลงอุกเขปนียกรรม
ภิกษุนั้นเพราะไม่ทำคืนอาบัติ ชื่อว่ากรรมไม่ชอบธรรม
ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในกรณีนี้ ภิกษุมีทิฏฐิบาปที่พึงสละ สงฆ์ ภิกษุหลายรูป
หรือรูปเดียวโจทภิกษุนั้นว่า “ท่าน ท่านมีทิฏฐิบาป จงสละทิฏฐิบาปนั้น” ภิกษุนั้น
กล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลาย ขอรับ ผมจะสละ” สงฆ์ยังขืนลงอุกเขปนียกรรม
ภิกษุนั้นเพราะไม่สละทิฏฐิบาป ชื่อว่ากรรมไม่ชอบธรรม
ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในกรณีนี้ ภิกษุมีอาบัติที่พึงเห็น มีอาบัติที่พึงทำคืน
... ... มีอาบัติที่พึงเห็น มีทิฏฐิบาปที่พึงสละ ... ... มีอาบัติที่พึงทำคืน มีทิฏฐิบาป
ที่พึงสละ ... ... มีอาบัติที่พึงเห็น มีอาบัติที่พึงทำคืน มีทิฏฐิบาปที่พึงสละ สงฆ์
ภิกษุหลายรูป หรือรูปเดียวโจทภิกษุนั้นว่า “ท่าน ท่านต้องอาบัติแล้ว เห็นอาบัติ
นั้นไหม จงทำคืนอาบัตินั้น ท่านมีทิฏฐิบาป จงสละทิฏฐิบาปนั้น” ภิกษุนั้นกล่าว
อย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลาย ขอรับ ผมเห็น ผมจะทำคืน ผมจะสละทิฏฐิบาป”
สงฆ์ยังขืนลงอุกเขปนียกรรมภิกษุนั้นเพราะไม่เห็นว่าเป็นอาบัติ เพราะไม่ทำคืนอาบัติ
หรือ เพราะไม่สละทิฏฐิบาป ชื่อว่ากรรมไม่ชอบธรรม

เรื่องการลงอุกเขปนียกรรมที่ชอบธรรม 7 กรณี
[399] ภิกษุทั้งหลาย ก็ในกรณีนี้ ภิกษุมีอาบัติที่พึงเห็น สงฆ์ ภิกษุหลายรูป
หรือรูปเดียวโจทภิกษุนั้นว่า “ท่าน ท่านต้องอาบัติแล้ว เห็นอาบัตินั้นไหม” ภิกษุนั้น
กล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลาย ผมไม่มีอาบัติที่พึงเห็น” สงฆ์จึงลงอุกเขปนียกรรม
ภิกษุนั้นเพราะไม่เห็นว่าเป็นอาบัติ ชื่อว่ากรรมชอบธรรม
ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในกรณีนี้ ภิกษุมีอาบัติที่พึงทำคืน สงฆ์ ภิกษุหลายรูป
หรือรูปเดียวโจทภิกษุนั้นว่า “ท่าน ท่านต้องอาบัติแล้ว จงทำคืนอาบัตินั้น” ภิกษุนั้น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :287 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [9. จัมเปยยขันธกะ] 241. อุปาลิปุจฉากถา
กล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลาย ผมไม่มีอาบัติที่พึงทำคืน” สงฆ์จึงลงอุกเขปนียกรรม
ภิกษุนั้นเพราะไม่ทำคืนอาบัติ ชื่อว่ากรรมชอบธรรม
ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในกรณีนี้ ภิกษุมีทิฏฐิบาปที่พึงสละ สงฆ์ ภิกษุหลายรูป
หรือรูปเดียวโจทภิกษุนั้นว่า “ท่าน ท่านมีทิฏฐิบาป จงสละทิฏฐิบาปนั้น” ภิกษุนั้น
กล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลาย ผมไม่มีทิฏฐิบาปที่พึงสละ” สงฆ์จึงลงอุกเขปนียกรรม
ภิกษุนั้นเพราะไม่สละทิฏฐิบาป ชื่อว่ากรรมชอบธรรม
ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในกรณีนี้ ภิกษุมีอาบัติที่พึงเห็น มีอาบัติที่พึงทำคืน
... ... มีอาบัติที่พึงเห็น มีทิฏฐิบาปที่พึงสละ ... ... มีอาบัติที่พึงทำคืน มีทิฏฐิบาป
ที่พึงสละ ... ... มีอาบัติที่พึงเห็น มีอาบัติที่พึงทำคืน มีทิฏฐิบาปที่พึงสละ สงฆ์
ภิกษุหลายรูป หรือรูปเดียวโจทภิกษุนั้นว่า “ท่าน ท่านต้องอาบัติแล้ว เห็นอาบัติ
นั้นไหม จงทำคืนอาบัตินั้น ท่านมีทิฏฐิบาป จงสละทิฏฐิบาปนั้น” ภิกษุนั้นกล่าว
อย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลาย ผมไม่มีอาบัติที่พึงเห็น ผมไม่มีอาบัติที่พึงทำคืน ผม
ไม่มีทิฏฐิบาปที่พึงสละ” สงฆ์จึงลงอุกเขปนียกรรมภิกษุนั้นเพราะไม่เห็นว่าเป็นอาบัติ
เพราะไม่ทำคืนอาบัติ หรือเพราะไม่สละทิฏฐิบาป ชื่อว่ากรรมชอบธรรม

241. อุปาลิปุจฉากถา
ว่าด้วยพระอุบาลีกราบทูลถามปัญหา

เรื่องกรรมไม่ชอบด้วยธรรมไม่ชอบด้วยวินัย
หมวดที่ 1 รวม 16 กรณี
[400] ครั้งนั้น ท่านพระอุบาลีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้น
ถึงแล้วได้ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วนั่งอยู่ ณ ที่สมควร ท่านพระอุบาลีผู้
นั่งแล้ว ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “กรรมที่ควรทำต่อหน้า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :288 }