พระวินัยปิฎก มหาวรรค [8. จีวรขันธกะ] 207. ปัชโชตราชวัตถุ
วันต่อมา ชีวกโกมารภัจจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าปัชโชตถึงที่ประทับ ครั้นถึงแล้ว
ได้กราบทูลดังนี้ว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์เป็นหมอ จะเก็บรากไม้ จะรวบรวมยา
โดยกาลชั่วครู่หนึ่ง ในขณะนั้น ๆ1 ขอประทานวโรกาสเถิด พระองค์โปรดรับสั่ง
เจ้าพนักงานในโรงราชพาหนะและที่เฝ้าประตูว่า หมอชีวกจงเดินทางด้วยยานที่
ต้องการได้ จงออกไปทางประตูที่ต้องการได้ จงเข้าออกได้ในเวลาที่ต้องการ
พระเจ้าปัชโชตมีรับสั่งเจ้าพนักงานในโรงพาหนะและที่เฝ้าประตูว่า หมอชีวก
จงเดินทางด้วยยานที่ต้องการได้ จงออกไปทางประตูที่ต้องการได้ จงเข้าออกได้ใน
เวลาที่ต้องการ
ก็สมัยนั้น พระเจ้าปัชโชตมีช้างพังชื่อภัททวดี เดินทางได้วันละ 50 โยชน์
ชีวกโกมารภัจทูลถวายเนยใสแด่พระเจ้าปัชโชตนั้นกราบทูลว่า พระองค์โปรด
เสวยน้ำฝาด เมื่อให้ท้าวเธอเสวยเนยใสแล้วก็ไปที่โรงช้าง ขึ้นช้างภัททวดีหนีออกไป
ครั้งนั้น เนยใสที่ท้าวเธอเสวยกำลังย่อยจึงทำให้ทรงเรอขึ้น ทันใดนั้นพระเจ้า
ปัชโชตจึงรับสั่งคนทั้งหลายว่า เราถูกหมอชีวกชาติชั่วลวงให้ดื่มเนยใส พวกเจ้าจง
ค้นหามันมาให้ได้
คนทั้งหลายกราบทูลว่า หมอชีวกขึ้นช้างภัททวดีหนีออกไปจากกรุงแล้ว
พระพุทธเจ้าข้า
สมัยนั้น พระเจ้าปัชโชตมีทาสชื่อกากะซึ่งอาศัยเกิดกับอมนุษย์ เดินทางได้วัน
ละ 60 โยชน์ จึงรับสั่งว่า นายกากะ เจ้าจงไปตามหมอชีวกกลับมา โดยบอกว่า
พระราชารับสั่งให้เชิญท่านกลับ ธรรมดาพวกหมอมีเล่ห์เหลี่ยมมาก เจ้าอย่าไปรับ
สิ่งไรของเขานะ
ครั้นทาสกากะเดินไปทันชีวกโกมารภัจผู้กำลังรับประทานอาหารเช้าในระหว่างทาง
กรุงโกสัมพี จึงบอกว่า ท่านอาจารย์ พระราชารับสั่งให้เชิญท่านกลับ
เชิงอรรถ :
1 แปลมาจากคำว่า ตาทิเสน มุหุตฺเตน
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [8. จีวรขันธกะ] 207. ปัชโชตราชวัตถุ
ชีวกโกมารภัจกล่าวว่า กากะ ท่านโปรดรออยู่ชั่วเวลาที่เรารับประทานอาหาร
เชิญท่านมาร่วมรับประทานอาหารด้วยกันเถิด
ทาสกากะตอบว่า อย่าเลย ท่านอาจารย์ พระราชารับสั่งว่า ธรรมดาพวก
หมอมีเล่ห์เหลี่ยมมาก อย่าไปรับสิ่งไร ๆ ของเขา
ขณะนั้น ชีวกโกมารภัจได้แทรกยาทาเล็บ พลางเคี้ยวมะขามป้อมและดื่มน้ำ
แล้วร้องเชิญทาสกากะว่า เชิญท่านกากะมาเคี้ยวมะขามป้อมและดื่มน้ำด้วยกันเถิด
ทาสกากะคิดว่า แพทย์คนนี้กำลังเคี้ยวมะขามป้อมและดื่มน้ำ คงไม่มีโทษ
อะไร จึงเคี้ยวมะขามป้อมและดื่มน้ำ มะขามป้อมครึ่งผลที่เขาเคี้ยวนั้นได้ระบายท้อง
ให้ถ่ายอุจจาระออกมาในที่นั้นทีเดียว
ต่อมาทาสกากะถามชีวกโกมารภัจว่า ท่านอาจารย์ ผมจะยังมีชีวิตอยู่หรือ
ชีวกโกมารภัจตอบว่า อย่ากลัวไปเลย ท่านไม่มีอันตราย แต่พระราชาทรง
พิโรธก็จะรับสั่งให้ฆ่าเราได้ ดังนั้นเราไม่กลับละ แล้วมอบช้างภัททวดีให้ทาสกากะ
เดินทางรอนแรมไปจนถึงกรุงราชคฤห์ ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารจอมทัพมคธรัฐ
แล้วกราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบทุกประการ
พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพมคธรัฐตรัสว่า เจ้าไม่กลับไปก็เป็นการกระทำที่ดี
เพราะพระราชาพระองค์นั้นเหี้ยมโหดพึงสั่งให้ฆ่าเจ้าก็ได้
เมื่อพระเจ้าปัชโชตทรงหายประชวรจึงทรงส่งราชทูตไปถึงชีวกโกมารภัจว่า เชิญ
หมอชีวกมา เราจะให้พร
ชีวกโกมารภัจกราบทูลตอบไปว่า อย่าเลย พระพุทธเจ้าข้า ขอพระองค์ทรง
ระลึกว่าเป็นหน้าที่ของข้าพระองค์
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [8. จีวรขันธกะ] 209. สมติงสวิเรจนกถา
208. สิเวยยกทุสสยุคกถา
ว่าด้วยการพระราชทานผ้าสิไวยกะ 1 คู่1
[335] สมัยนั้น พระเจ้าปัชโชตได้รับผ้าสิไวยกะ 1 คู่ เป็นผ้าเนื้อดีเลิศ
ประเสริฐสุดซึ่งมีชื่อเด่นเยี่ยมกว่าผ้าเป็นอันมาก คู่ผ้าหลายคู่ คู่ผ้าหลายร้อย คู่ผ้า
หลายพัน คู่ผ้าหลายแสน ต่อมาพระเจ้าปัชโชตจึงทรงส่งผ้าสิไวยกะนั้น 1 คู่ไป
พระราชทานแก่ชีวกโกมารภัจ
ครั้งนั้น ชีวกโกมารภัจคิดว่า พระเจ้าปัชโชตทรงส่งผ้าสิไวยกะ 1 คู่นี้อันเป็น
ผ้าเนื้อดีเลิศซึ่งมีชื่อเด่นเยี่ยมกว่าผ้าเป็นอันมาก คู่ผ้าหลายคู่ คู่ผ้าตั้งหลายร้อย
คู่ผ้าหลายพัน คู่ผ้าหลายแสน นอกจากพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
หรือพระเจ้าพิมพิสารจอมทัพมคธรัฐแล้ว ไม่มีใครอื่นเหมาะที่จะใช้คู่ผ้านี้เลย
209. สมติงสวิเรจนกถา
ว่าด้วยพระผู้มีพระภาคเสวยพระโอสถถ่าย 30 ครั้ง
เรื่องสรงพระกายพระผู้มีพระภาค
[336] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคมีพระวรกายหมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษ
พระองค์ได้ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า อานนท์ ตถาคตมีกายหมักหมม
ด้วยสิ่งอันเป็นโทษ ตถาคตประสงค์จะฉันยาถ่าย
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ได้เข้าไปหาชีวกโกมารภัจถึงที่พัก ครั้นถึงแล้วได้
กล่าวกับชีวกโกมารภัจดังนี้ว่า ท่านชีวก พระตถาคตมีพระวรกายหมักหมมด้วย
สิ่งอันเป็นโทษ พระตถาคตประสงค์จะฉันพระโอสถถ่าย
เชิงอรรถ :
1 ผ้าสิไวยกะ เป็นผ้าที่ชาวแคว้นอุตตรกุรุใช้ห่อศพไปทิ้งไว้ในป่าช้า พวกนกหัสดีลิงค์คาบซากศพพร้อมทั้ง
ผ้านั้นไปที่ยอดเขาหิมาลัย ดึงผ้าออกแล้วกินซากศพ พวกนายพรานเห็นผ้านั้น จึงนำมาถวายพระเจ้า
ปัชโชต (วิ.อ. 3/335/206)
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [8. จีวรขันธกะ] 209. สมติงสวิเรจนกถา
ชีวกโกมารภัจกล่าวว่า ท่านพระอานนท์ผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น ท่านโปรดทำ
พระวรกายของพระผู้มีพระภาคให้ชุ่มชื้นสัก 2-3 วัน
ครั้นท่านพระอานนท์ทำพระวรกายของพระผู้มีพระภาคให้ชุ่มชื้น 2-3 วันแล้ว
จึงเข้าไปหาชีวกโกมารภัจถึงที่พัก ครั้นถึงแล้วได้กล่าวกับชีวกโกมารภัจดังนี้ว่า ท่าน
ชีวก พระวรกายของพระผู้มีพระภาคชุ่มชื้นดี เวลานี้ท่านจงรู้เวลาที่ควร
เรื่องหมอชีวกทูลถวายพระโอสถถ่าย 30 ครั้ง
ครั้งนั้น ชีวกโกมารภัจได้มีความคิดดังนี้ว่า การที่เราจะทูลถวายพระโอสถ
ถ่ายชนิดหยาบแด่พระผู้มีพระภาคนั้นไม่สมควรเลย อย่ากระนั้นเลย เราพึงอบก้าน
อุบล 3 ก้านด้วยยาต่าง ๆ แล้วน้อมเข้าไปถวายพระตถาคต แล้วได้อบก้าน
อุบล 3 ก้านด้วยยาต่าง ๆ แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นถึงแล้ว
ได้น้อมถวายก้านอุบลก้านหนึ่งแด่พระผู้มีพระภาค กราบทูลว่า พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงสูดดมก้านอุบลก้านที่ 1 นี้ วิธีนี้จะทำให้พระผู้มีพระภาค
ทรงถ่ายถึง 10 ครั้ง แล้วได้ทูลถวายก้านอุบลก้านที่ 2 แด่พระผู้มีพระภาค
กราบทูลว่า พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคจงทรงสูดดมก้านอุบลก้านที่ 2 นี้
วิธีนี้จะทำให้พระผู้มีพระภาคทรงถ่ายถึง 10 ครั้ง แล้วได้ทูลถวายก้านอุบลก้านที่
3 แด่พระผู้มีพระภาค กราบทูลว่า พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคจงทรงสูดดม
ก้านอุบลก้านที่ 3 นี้ วิธีนี้จะทำให้พระผู้มีพระภาคทรงถ่ายถึง 10 ครั้ง
ครั้นชีวกโกมารภัจทูลถวายพระโอสถถ่ายแด่พระผู้มีพระภาคเพื่อให้ถ่ายครบ
30 ครั้งแล้วได้ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคทำประทักษิณกลับไป
เมื่อชีวกโกมารภัจออกไปนอกซุ้มประตู ได้เกิดความคิดดังนี้ว่า เราทูลถวาย
พระโอสถถ่ายแด่พระผู้มีพระภาคเพื่อให้ถ่ายครบ 30 ครั้ง พระตถาคตมีพระวร
กายหมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษ จะไม่ทำพระผู้มีพระภาคให้ถ่ายครบ 30 ครั้ง (แต่)
ทำพระผู้มีพระภาคให้ถ่ายเพียง 29 ครั้ง อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาค
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [8. จีวรขันธกะ] 209. สมติงสวิเรจนกถา
ทรงถ่ายแล้วจะทรงสรงสนานแล้วจึงจะถ่ายอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเป็นดังนั้น พระผู้มีพระ
ภาคจักทรงถ่ายครบ 30 ครั้งพอดี
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบความคิดของชีวกโกมารภัจด้วยพระทัย
จึงรับสั่งกับท่านพระอานนท์ว่า อานนท์ เวลานี้ ชีวกโกมารภัจออกไปนอกซุ้ม
ประตูได้มีความคิดดังนี้ว่า เราทูลถวายพระโอสถถ่ายแด่พระผู้มีพระภาคเพื่อให้ถ่าย
ครบ 30 ครั้ง พระตถาคตมีพระวรกายหมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษ จะไม่ทำพระผู้มี
พระภาคให้ถ่ายครบ 30 ครั้ง (แต่) จะทำพระผู้มีพระภาคให้ถ่ายเพียง 29 ครั้ง
อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงถ่ายแล้วจะทรงสรงสนาน จักทำพระผู้มี
พระภาคซึ่งทรงสรงสนานแล้วให้ถ่ายอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเป็นดังนั้น พระผู้มีพระภาค
จักทรงถ่ายครบ 30 ครั้งพอดี อานนท์ ถ้าอย่างนั้นเธอจงเตรียมน้ำร้อนไว้
ท่านพระอานนท์กราบทูลรับสนองพระพุทธดำรัสแล้วจัดเตรียมน้ำร้อนไว้ถวาย
ต่อมา ชีวกโกมารภัจเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ได้ถวายอภิวาทแล้วนั่งอยู่
ณ ที่สมควร ได้กราบทูลว่า พระผู้มีพระภาคทรงถ่ายแล้วหรือ พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ชีวก เราถ่ายแล้ว
ชีวกโกมารภัจกราบทูลว่า เมื่อข้าพระองค์ออกไปนอกซุ้มประตูคิดว่า เราทูล
ถวายพระโอสถถ่ายแด่พระผู้มีพระภาคเพื่อให้ถ่ายครบ 30 ครั้ง พระตถาคตมี
พระวรกายหมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษ จะทำพระผู้มีพระภาคให้ไม่ถ่ายครบ 30
ครั้ง (แต่)จะทำพระผู้มีพระภาคให้ถ่ายเพียง 29 ครั้ง พระผู้มีพระภาคทรงถ่าย
แล้วจะทรงสรงสนาน จักทำพระผู้มีพระภาคซึ่งทรงสรงสนานแล้วให้ถ่ายอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อเป็นดังนี้ พระผู้มีพระภาคจักทรงถ่ายครบ 30 ครั้งพอดี พระผู้มีพระภาค
โปรดทรงสรงสนานเถิด พระพุทธเจ้าข้า พระสุคตโปรดสรงสนานเถิด
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงสรงน้ำอุ่น วิธีนี้ทำพระผู้มีพระภาคซึ่งทรงสรง
สนานแล้วให้ถ่ายอีกครั้งหนึ่งจึงครบ 30 ครั้งพอดี
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [8. จีวรขันธกะ] 210. วรยาจนากถา
ครั้งนั้น ชีวกโกมารภัจกราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคไม่
ควรเสวยพระกระยาหารที่ปรุงด้วยน้ำต้มผักต่าง ๆ จนกว่าพระวรกายจะเป็นปกติ
210. วรยาจนากถา
ว่าด้วยหมอชีวกโกมารภัจกราบทูลขอพร
[337] ต่อมาไม่นานนัก พระผู้มีพระภาคทรงมีพระวรกายเป็นปกติ ครั้งนั้น
ชีวกโกมารภัจจึงถือผ้าสิไวยกะคู่ 1 นั้นไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายอภิวาทแล้ว
นั่ง ณ ที่สมควรได้กราบทูลดังนี้ว่า ข้าพระองค์ ทูลขอพรอย่างหนึ่งกับพระผู้มีพระภาค
พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ตถาคตทั้งหลายเลิกให้พรเสียแล้ว ชีวก
ชีวกโกมารภัจกราบทูลว่า ข้าพระองค์ทูลขอพรที่เหมาะสมและไม่มีโทษ พระ
พุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า จงพูดมาเถิด ชีวก
เรื่องทรงรับคู่ผ้าสิไวยกะ
ชีวกโกมารภัจกราบทูลว่า พระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ถือผ้าบังสุกุลอยู่เป็น
วัตร ผ้าสิไวยกะคู่นี้เป็นผ้าเนื้อดีเลิศ ประเสริฐสุด มีชื่อเด่นเยี่ยมกว่าคู่ผ้าเป็น
อันมาก หลายร้อย หลายพัน หลายแสนคู่ พระเจ้าปัชโชตทรงส่งมาพระราชทาน
พระองค์โปรดรับผ้าสิไวยกะคู่ 1 ของข้าพระองค์เถิดพระพุทธเจ้าข้า และโปรด
ทรงอนุญาตคหบดีจีวรแก่ภิกษุสงฆ์
พระผู้มีพระภาคทรงรับผ้าสิไวยกะแล้ว
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้ชีวกโกมารภัจเห็นชัด ชวนให้อยากรับ
ไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมีกถา
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [8. จีวรขันธกะ] 210. วรยาจนากถา
ลำดับนั้น ชีวกโกมารภัจ ผู้ซึ่งพระผู้มีพระภาค ทรงชี้แจงให้เห็นชัด ชวนให้
อยากรับไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วย
ธรรมีกถาแล้ว ลุกจากอาสนะ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคกระทำประทักษิณ
แล้วจากไป
เรื่องทรงอนุญาตคหบดีจีวร
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมีกถาเพราะเรื่องนี้เป็นต้นเหตุ แล้ว
รับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตคหบดีจีวร รูปใดปรารถนา
จะถือผ้าบังสุกุลก็ได้ รูปใดปรารถนาจะรับคหบดีจีวรก็ได้ แต่เราสรรเสริญการยินดี
ปัจจัยตามที่ได้
เรื่องจีวรเกิดขึ้นมากในกรุงราชคฤห์
คนทั้งหลายในกรุงราชคฤห์ทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตคหบดีจีวร
แก่ภิกษุทั้งหลาย คนทั้งหลายเหล่านั้นต่างรื่นเริงบันเทิงใจว่า บัดนี้พวกเราจะ
ถวายทาน จะบำเพ็ญบุญ เพราะพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตคหบดีจีวรแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย ชั่วเพียงวันเดียว จีวรหลายพันผืนได้เกิดขึ้นในกรุงราชคฤห์
ชาวชนบททราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตคหบดีจีวรแก่ภิกษุทั้งหลาย
คนทั้งหลายเหล่านั้นต่างรื่นเริงบันเทิงใจว่า บัดนี้พวกเราจะถวายทาน จะบำเพ็ญ
บุญเพราะพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตคหบดีจีวรแก่ภิกษุทั้งหลาย ชั่วเพียงวันเดียว
จีวรหลายพันผืนได้เกิดขึ้นในชนบท
เรื่องทรงอนุญาตผ้าปาวาร ผ้าไหม และผ้าโกเชาว์
สมัยนั้น ผ้าปาวาร1ได้เกิดขึ้นแก่สงฆ์ ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
เชิงอรรถ :
1 ผ้าปาวาร คือ ผ้าห่มใหญ่ อาจเป็นผ้าฝ้ายมีขน หรือผ้าชนิดอื่นก็ได้ (วิ.อ. 3/337/208)