พระวินัยปิฎก มหาวรรค [7. กฐินขันธกะ] 199. ผาสุวิหารปัญจกะ
ภิกษุกรานกฐินแล้วต้องการจะไปสู่ทิศจึงหลีกไป ฯลฯ มีความคิดอย่างนี้ว่า
เราจะไม่ให้ทำจีวรนี้ จะไม่กลับ การเดาะกฐินของภิกษุนั้น ชื่อว่ากำหนดด้วย
ตกลงใจ (8)
ภิกษุกรานกฐินแล้วต้องการจะไปสู่ทิศ ฯลฯ มีความคิดอย่างนี้ว่า เราจะ
ให้ทำจีวรนี้นอกสีมานี่แหละ จะไม่กลับ ให้ทำจีวรนั้น จีวรที่ภิกษุนั้นให้ทำอยู่นั้น
เกิดเสียหาย การเดาะกฐินของภิกษุนั้น ชื่อว่ากำหนดด้วยผ้าเสียหาย (9)
อปวิลายนนวกะ จบ
199. ผาสุวิหารปัญจกะ
ว่าด้วยการเดาะกฐินเพราะหวังอยู่ผาสุก 5 กรณี
[324] ภิกษุกรานกฐินแล้วต้องการจะอยู่ผาสุก จึงถือจีวรหลีกไป คิดว่า
เราจะไปยังอาวาสโน้น ถ้าในอาวาสนั้นเราอยู่ผาสุกก็จะอยู่ ถ้าไม่ผาสุกก็จะไปยัง
อาวาสโน้น ถ้าในอาวาสนั้นเราอยู่ผาสุกก็จะอยู่ ถ้าไม่ผาสุกก็จะไปยังอาวาสโน้น
ถ้าในอาวาสนั้นเราอยู่ผาสุกก็จะอยู่ ถ้าไม่ผาสุกก็จะกลับ อยู่นอกสีมามีความคิด
อย่างนี้ว่า จะให้ทำจีวรนี้นอกสีมานี่แหละ จะไม่กลับ เธอให้ทำจีวรนั้น การเดาะ
กฐินของภิกษุนั้น ชื่อว่ากำหนดด้วยทำจีวรเสร็จ (1)
ภิกษุกรานกฐินแล้วต้องการจะอยู่ผาสุก จึงถือจีวรหลีกไป คิดว่า เราจะไป
ยังอาวาสโน้น ถ้าในอาวาสนั้นเราอยู่ผาสุกก็จะอยู่ ถ้าไม่ผาสุกก็จะไปยังอาวาสโน้น
ถ้าในอาวาสนั้นเราอยู่ผาสุกก็จะอยู่ ถ้าไม่ผาสุกก็จะไปยังอาวาสโน้น ถ้าในอาวาส
นั้น เราอยู่ผาสุกก็จะอยู่ ถ้าไม่ผาสุกก็จะกลับ อยู่นอกสีมา มีคความคิดอย่างนี้ว่า
จะไม่ให้ทำจีวรนี้ จะไม่กลับ การเดาะกฐินของภิกษุนั้น ชื่อว่ากำหนดด้วย
ตกลงใจ (2)
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [7. กฐินขันธกะ] 199. ผาสุวิหารปัญจกะ
ภิกษุกรานกฐินแล้วต้องการจะอยู่ผาสุก จึงถือจีวรหลีกไปคิดว่า เราจะไปยัง
อาวาสโน้น ถ้าในอาวาสนั้นเราอยู่ผาสุกก็จะอยู่ ถ้าไม่ผาสุกก็จะไปยังอาวาสโน้น
ถ้าในอาวาสนั้นเราอยู่ผาสุกก็จะอยู่ ถ้าไม่ผาสุกก็จะไปยังอาวาสโน้น ถ้าในอาวาส
นั้นเราอยู่ผาสุกก็จะอยู่ ถ้าไม่ผาสุกก็จะกลับ อยู่นอกสีมา มีความคิดอย่างนี้ว่า
จะให้ทำจีวรนี้นอกสีมานี่แหละ จะไม่กลับ ให้ทำจีวรนั้น จีวรที่ภิกษุนั้นให้ทำอยู่
นั้นเกิดเสียหาย การเดาะกฐินของภิกษุนั้น ชื่อว่ากำหนดด้วยผ้าเสียหาย (3)
ภิกษุกรานกฐินแล้วต้องการจะอยู่อย่างผาสุก จึงถือจีวรหลีกไปคิดว่า เราจะไปยัง
อาวาสโน้น ถ้าในอาวาสนั้นเราอยู่ผาสุกก็จะอยู่ ถ้าไม่ผาสุกก็จะไปยังอาวาสโน้น
ถ้าในอาวาสนั้นเราอยู่ผาสุกก็จะอยู่ ถ้าไม่ผาสุกก็จะไปยังอาวาสโน้น ถ้าในอาวาส
นั้นเราอยู่ผาสุกก็จะอยู่ ถ้าไม่ผาสุกก็จะกลับ อยู่นอกสีมา ให้ทำจีวรนั้น ทำจีวร
เสร็จแล้วคิดว่า จะกลับ จะกลับ จนล่วงคราวกฐินเดาะนอกสีมา การเดาะกฐิน
ของภิกษุนั้น ชื่อว่ากำหนดด้วยล่วงเขต (4)
ภิกษุกรานกฐินแล้วต้องการจะอยู่ผาสุก จึงถือจีวรหลีกไปคิดว่า เราจะไปยัง
อาวาสโน้น ถ้าในอาวาสนั้นเราอยู่ผาสุกก็จะอยู่ ถ้าไม่ผาสุกก็จะไปยังอาวาสโน้น
ถ้าในอาวาสนั้นเราอยู่ผาสุกก็จะอยู่ ถ้าไม่ผาสุกก็จะไปยังอาวาสโน้น ถ้าในอาวาส
นั้นเราอยู่ผาสุกก็จะอยู่ ถ้าไม่ผาสุกก็จะกลับ อยู่นอกสีมาให้ทำจีวรนั้น ทำจีวร
เสร็จแล้วคิดว่า จะกลับ กลับมาทันกฐินเดาะ การเดาะกฐินของภิกษุนั้น ชื่อว่า
เดาะพร้อมกันกับภิกษุทั้งหลาย (5)
ผาสุวิหารปัญจกะ จบ
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [7. กฐินขันธกะ] 200. ปลิโพธาปลิโพธกถา
200. ปลิโพธาปลิโพธกถา
ว่าด้วยปลิโพธและอปลิโพธ
ปลิโพธ 2 อย่าง1
[325] ภิกษุทั้งหลาย กฐินมีปลิโพธ 2 อย่าง มีอปลิโพธ 2 อย่าง
ภิกษุทั้งหลาย ปลิโพธ 2 อย่าง คือ
1. อาวาสปลิโพธ (ความกังวลในอาวาสเพราะคิดจะกลับมา)
2. จีวรปลิโพธ (ความกังวลในจีวรเพราะยังไม่ได้ทำจีวรหรือทำยังไม่เสร็จ)
ภิกษุทั้งหลาย อาวาสปลิโพธ คือ ในกรณีนี้ ภิกษุยังอยู่ในอาวาสนั้น หรือ
หลีกไปแต่ผูกใจว่า จะกลับ อย่างนี้ชื่อว่าอาวาสปลิโพธ
ภิกษุทั้งหลาย จีวรปลิโพธ คือ ในกรณีนี้ ภิกษุยังไม่ได้ทำจีวรหรือทำ
จีวรค้างไว้ หรือความหวังว่าจะได้จีวรยังไม่สิ้นสุดลง อย่างนี้ชื่อว่าจีวรปลิโพธ
ภิกษุทั้งหลาย กฐินมีปลิโพธ 2 อย่างนี้แหละ
ภิกษุทั้งหลาย กฐินมีอปลิโพธ 2 อย่าง คือ
1. อาวาสอปลิโพธ (ไม่มีความกังวลในอาวาส)
2. จีวรอปลิโพธ (ไม่มีความกังวลในจีวร)
ภิกษุทั้งหลาย อาวาสอปลิโพธ คือ ในกรณีนี้ ภิกษุหลีกไปจากอาวาส
นั้น สละ คาย ปล่อยวาง ไม่ผูกใจ คิดว่า จะไม่กลับมา อย่างนี้ชื่อว่าอาวาส
อปลิโพธ
เชิงอรรถ :
1 ปลิโพธ ในทางพระวินัย หมายถึงความกังวลที่เป็นเหตุให้กฐินยังไม่เดาะ คือยังรักษาอานิสงส์กฐินและ
เขตแห่งจีวรกาล ตามกำหนดไว้ได้ ถ้าภิกษุหลีกไปโดยคิดว่า จะไม่กลับมาอีก จีวรปลิโพธขาดก่อน
ในขณะที่อยู่ภายในสีมานั่นเอง อาวาสปลิโพธขาดในขณะเมื่อก้าวล่วงสีมาไปแล้ว (วิ.อ. 3/311/198)
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [7. กฐินขันธกะ] 201. รวมเรื่องที่มีในกฐินขันธกะ
ภิกษุทั้งหลาย จีวรอปลิโพธ คือ ในกรณีนี้ ภิกษุทำจีวรเสร็จแล้ว จีวร
เสียหาย สูญหาย หรือถูกไฟไหม้ หรือความหวังว่าจะได้จีวรสิ้นสุดลง อย่างนี้ชื่อ
ว่าจีวรอปลิโพธ
ภิกษุทั้งหลาย กฐินอปลิโพธ 2 อย่างนี้แล
ปลิโพธาปลิโพธกถา จบ
กฐินขันธกะที่ 7 จบ
เรื่องในขันธกะนี้มี 12 เรื่อง และเปยยาลมุข 118 เรื่อง
201. รวมเรื่องที่มีในกฐินขันธกะ
เรื่องภิกษุชาวเมืองปาเฐยยะ 30 รูป เข้าจำพรรษา ณ
เมืองสาเกต ออกพรรษาแล้วเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคด้วยทั้ง
จีวรชุ่มชื้นด้วยน้ำ
เรื่องอานิสงส์กฐิน 5 อย่าง คือ
1. เที่ยวไปไม่ต้องบอกลา
2. ไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับ
3. ฉันคณโภชนะได้
4. ทรงอติเรกจีวรไว้ได้ตามต้องการ
5. พวกเธอจะได้จีวรที่เกิดขึ้นในที่นั้น
เรื่องวิธีกรานกฐินและญัตติทุติยกรรมวาจาสำหรับกรานกฐิน
เรื่องกฐินไม่เป็นอันกราน คือ
1. กฐินไม่เป็นอันกรานด้วยอาการเพียงมีรอยขีด
2. กฐินไม่เป็นอันกรานด้วยอาการเพียงซักผ้า
3. กฐินไม่เป็นอันกรานด้วยอาการเพียงกะผ้า
4. กฐินไม่เป็นอันกรานด้วยอาการเพียงตัดผ้า
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [7. กฐินขันธกะ] 201. รวมเรื่องที่มีในกฐินขันธกะ
5. กฐินไม่เป็นอันกรานด้วยอาการเพียงเนาผ้า
6. กฐินไม่เป็นอันกรานด้วยอาการเพียงเย็บผ้า
7. กฐินไม่เป็นอันกรานด้วยอาการเพียงทำลูกดุม
8. กฐินไม่เป็นอันกรานด้วยอาการเพียงทำรังดุม
9. กฐินไม่เป็นอันกรานด้วยอาการเพียงติดผ้าอนุวาต
10. กฐินไม่เป็นอันกรานด้วยอาการเพียงติดผ้าอนุวาตด้านหน้า
11. กฐินไม่เป็นอันกรานด้วยอาการเพียงดามผ้า
12. กฐินไม่เป็นอันกรานด้วยอาการเพียงย้อมผ้าเป็นสีหม่น
13. กฐินไม่เป็นอันกรานด้วยผ้าที่ทำนิมิตได้มา
14. กฐินไม่เป็นอันกรานด้วยผ้าที่พูดเลียบเคียงได้มา
15. กฐินไม่เป็นอันกรานด้วยผ้าที่ยืมเขามา
16. กฐินไม่เป็นอันกรานด้วยผ้าที่เก็บไว้ค้างคืน
17. กฐินไม่เป็นอันกรานด้วยผ้าที่เป็นนิสสัคคีย์
18. กฐินไม่เป็นอันกรานด้ายผ้าที่ไม่ทำพินทุ
19. กฐินไม่เป็นอันกรานเว้นจากสังฆาฏิ
20. กฐินไม่เป็นอันกรานเว้นจากอุตตราสงค์
21. กฐินไม่เป็นอันกรานเว้นจากอันตรวาสก
22. กฐินไม่เป็นอันกรานเว้นจากจีวรมีขันธ์ 5 หรือ
เกิน 5 ซึ่งตัดดีแล้วทำให้มีมณฑลเสร็จในวันนั้น
23. กฐินไม่เป็นอันกรานเว้นจากบุคคลกราน
24. กฐินไม่เป็นอันกรานโดยชอบ ถ้าภิกษุผู้อยู่นอกสีมาอนุโมทนากฐินนั้น
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่าย่อมไม่เป็นอันกราน
เรื่องกฐินเป็นอันกราน คือ
1. กฐินเป็นอันกรานด้วยผ้าใหม่
2. กฐินเป็นอันกรานด้วยผ้าเทียมใหม่
3. กฐินเป็นอันกรานด้วยผ้าเก่า
4. กฐินเป็นอันกรานด้วยผ้าบังสุกุล
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [7. กฐินขันธกะ] 201. รวมเรื่องที่มีในกฐินขันธกะ
5. กฐินเป็นอันกรานด้วยผ้าที่ตกตามร้าน
6. กฐินเป็นอันกรานด้วยผ้าที่ไม่ได้ทำนิมิตได้มา
7. กฐินเป็นอันกรานด้วยผ้าที่ไม่ได้พูดเลียบเคียงได้มา
8. กฐินเป็นอันกรานด้วยผ้าที่ไม่ได้ยืมเขามา
9. กฐินเป็นอันกรานด้วยผ้าที่ไม่ได้เก็บไว้ค้างคืน
10. กฐินเป็นอันกรานด้วยผ้าที่ไม่เป็นนิสสัคคีย์
11. กฐินเป็นอันกรานด้วยผ้าที่ทำพินทุ
12. กฐินเป็นอันกรานด้วยสังฆาฏิ
13. กฐินเป็นอันกรานด้วยอุตตราสงค์
14. กฐินเป็นอันกรานด้วยอันตรวาสก
15. กฐินเป็นอันกรานด้วยจีวรมีขันธ์ 5 หรือเกิน 5 ที่ตัดดีแล้ว
ทำให้มีมณฑลเสร็จในวันนั้น
16. กฐินเป็นอันกรานเพราะมีบุคคลกราน
17. กฐินเป็นอันกรานโดยชอบ ถ้าภิกษุผู้อยู่ในสีมาอนุโมทนากฐินนั้น
อย่างนี้ชื่อกฐินเป็นอันกราน
เรื่องกฐินเดาะด้วยมาติกา 8 ข้อ คือ
1. กำหนดด้วยหลีกไป
2. กำหนดด้วยทำจีวรเสร็จ
3. กำหนดด้วยตกลงใจ
4. กำหนดด้วยผ้าเสียหาย
5. กำหนดด้วยได้ทราบข่าว
6. กำหนดด้วยสิ้นหวัง
7. กำหนดด้วยล่วงเขต
8. กำหนดด้วยเดาะพร้อมกัน
อาทายสัตตกะ ว่าด้วยการเดาะกฐินด้วยการถือจีวรหลีกไป
7. กรณี คือ
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [7. กฐินขันธกะ] 201. รวมเรื่องที่มีในกฐินขันธกะ
1. ถือจีวรที่ทำเสร็จแล้วหลีกไป คิดว่าจะไม่กลับ
การเดาะกฐินของภิกษุนั้นชื่อว่ากำหนดด้วยการหลีกไป
2. ถือจีวรหลีกไปอยู่นอกสีมา คิดว่าจะทำ ณ ที่นี้ จะไม่กลับ
การเดาะกฐินของภิกษุนั้นชื่อว่ากำหนดด้วยทำจีวรเสร็จ
3. ถือจีวรหลีกไปอยู่นอกสีมา คิดว่าจะไม่ให้ทำ จะไม่กลับ
การเดาะกฐินของภิกษุนั้นชื่อว่ากำหนดด้วยตกลงใจ
4. ถือจีวรหลีกไปอยู่นอกสีมา คิดว่าจะให้ทำจีวร ณ ที่นี้
จะไม่กลับ กำลังทำจีวรเสียหาย การเดาะกฐิน
ของภิกษุนั้น ชื่อว่ากำหนดด้วยผ้าเสียหาย
5. ถือจีวรไป คิดว่าจะกลับ ให้ทำจีวรนอกสีมา ครั้นทำ
จีวรเสร็จแล้ว ได้ทราบข่าวว่า ในอาวาสนั้น กฐินเดาะแล้ว
การเดาะกฐินของภิกษุนั้นชื่อว่ากำหนดด้วยได้ทราบข่าว
6. ถือจีวรไป คิดว่าจะกลับ ให้ทำจีวรนอกสีมา ครั้นทำ
จีวรเสร็จแล้วโอ้เอ้อยู่นอกสีมาจนกฐินเดาะ การเดาะกฐิน
ของภิกษุนั้นชื่อว่ากำหนดด้วยล่วงเขต
7. ถือจีวรไป คิดว่าจะกลับ ให้ทำจีวร ณ ภายนอกสีมา ครั้นทำ
จีวรเสร็จแล้ว คิดว่าจะกลับ จะกลับ กลับทันกฐินเดาะ
การเดาะกฐินของภิกษุนั้นชื่อว่าพร้อมกันกับภิกษุทั้งหลาย
สมาทายสัตตกะ ว่าด้วยการเดาะกฐินด้วยการนำ
จีวรติดตัวหลีกไป 7 กรณี
อาทายฉักกะและสมาทายฉักกะ ว่าด้วยการ
เดาะกฐินด้วยการถือจีวรที่ทำค้างไว้หลีกไป 6 กรณี
และการเดาะกฐินด้วยการนำจีวรที่ทำค้างไว้หลีกไป
6 กรณี คือ ถือจีวรที่ทำค้างไว้อย่างละ 6 กรณี
ไม่มีการเดาะกำหนดด้วยหลีกไป
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [7. กฐินขันธกะ] 201. รวมเรื่องที่มีในกฐินขันธกะ
อาทายภาณวาร ว่าด้วยการเดาะกฐินด้วยกรณีถือจีวรหลีกไป
15 กรณี เป็นต้น กล่าวถึงภิกษุถือจีวรไปนอกสีมา คิดว่า
จะให้ทำจีวร มี 3 มาติกา คือ
1. กำหนดด้วยทำจีวรเสร็จ
2. กำหนดด้วยตกลงใจ
3. กำหนดด้วยผ้าเสียหาย กล่าวถึงภิกษุถือผ้า คิดว่า
จะไม่กลับไปนอกสีมา แล้วคิดว่าจะทำ มี 3 มาติกา คือ
1. กำหนดด้วยทำจีวรเสร็จ
2. กำหนดด้วยตกลงใจ
3. กำหนดด้วยผ้าเสียหาย กล่าวถึงภิกษุถือจีวรหลีกไป
ด้วยไม่ได้ตั้งใจ ภายหลังคิดว่า จะไม่กลับ มี 3 นัย
กล่าวถึงภิกษุถือจีวรไป คิดว่า จะกลับ อยู่นอกสีมา คิดว่า
จะทำจีวร จะไม่กลับ ให้ทำจีวรเสร็จ การเดาะกฐินของ
ภิกษุนั้นชื่อว่ากำหนดด้วยทำจีวรเสร็จ ด้วยตกลงใจ
ด้วยผ้าเสียหาย ด้วยได้ทราบข่าว ด้วยล่วงเขต ด้วยเดาะ
พร้อมกับภิกษุทั้งหลาย รวมเป็น 15 ภิกษุนำจีวรหลีกไป
และนำจีวรที่ทำค้างไว้หลีกไปอีก 4 วาระก็เหมือนกัน
รวมทั้งหมด 15 วิธี หลีกไปด้วยสิ้นหวัง ด้วยหวังว่าจะได้
หลีกไปด้วยกรณียะบางอย่าง ทั้ง 3 อย่างนั้น
นักปราชญ์พึงทราบโดยนัยอย่างละ 12 วิธี
ผาสุวิหารปัญจกะ ว่าด้วยการเดาะกฐินเพราะหวังอยู่
สบาย 5 กรณี
ปลิโพธาปลิโพธกถา ว่าด้วยปลิโพธและอปลิโพธ
พระวินัยธรพึงแต่งหัวข้อตามเค้าความเทอญ
กฐินขันธกะ จบ
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [8. จีวรขันธกะ] 202. ชีวกวัตถุ
8. จีวรขันธกะ
202. ชีวกวัตถุ
ว่าด้วยหมอชีวกโกมารภัจ
เรื่องคณะกุฎุมพีชาวกรุงราชคฤห์พบหญิงงามเมืองชื่ออัมพปาลี
[326] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน
สถานที่ให้เหยื่อกระแต เขตกรุงราชคฤห์ ครั้งนั้น กรุงเวสาลีเป็นถิ่นอุดมสมบูรณ์
มีอาณาเขตกว้างขวาง พลเมืองมาก มีคนคับคั่ง หาข้าวปลาอาหารง่าย มีปราสาท
7,707 เรือนยอด 7,707 สวนดอกไม้ 7,707 สระโบกขรณี 7,707 และ
มีหญิงงามเมืองชื่ออัมพปาลี รูปงาม น่าดู น่าชม มีผิวพรรณผุดผ่องอย่างยิ่ง
เธอชำนาญการฟ้อนรำ ขับร้อง และประโคมดนตรี คนทั้งหลายที่ต้องการจะพา
เธอไปร่วมอภิรมย์ด้วยต้องจ่ายค่าตัวถึงคืนละ 50 กหาปณะ ก็เพราะนางอัมพปาลี
นี่แหละที่ทำให้กรุงเวสาลีมีเสน่ห์และมีความงดงามเป็นพิเศษ
ครั้งนั้น คณะกุฎุมพีชาวกรุงราชคฤห์ เดินทางไปกรุงเวสาลีด้วยธุระจำเป็น
บางอย่าง ได้พบเห็นกรุงเวสาลีที่อุดมสมบูรณ์ มีอาณาเขตกว้างขวาง พลเมืองมาก
มีคนคับคั่ง หาข้าวปลาอาหารง่าย มีปราสาท 7,707 เรือนยอด 7,707
สวนดอกไม้ 7,707 สระโบกขรณี 7,707 และมีหญิงงามเมืองชื่ออัมพปาลี
มีรูปงาม น่าดู น่าชม มีผิวพรรณผุดผ่องอย่างยิ่ง เธอชำนาญการฟ้อนรำ ขับร้อง
และประโคมดนตรี คนทั้งหลายที่ต้องการจะพาเธอไปร่วมอภิรมย์ด้วย ต้องจ่ายค่า
ตัวถึงคืนละ 50 กหาปณะ ก็เพราะนางอัมพปาลีนี่แหละที่ทำให้กรุงเวสาลีมีเสน่ห์
และมีความงดงามเป็นพิเศษ
[327] ครั้นคณะกุฎุมพีชาวกรุงราชคฤห์เสร็จธุระที่จำเป็นในกรุงเวสาลีแล้ว
เดินทางกลับมายังกรุงราชคฤห์ เข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารจอมทัพมคธรัฐได้กราบทูล
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [8. จีวรขันธกะ] 202. ชีวกวัตถุ
ว่า ขอเดชะ กรุงเวสาลีเป็นถิ่นที่อุดมสมบูรณ์ มีอาณาเขตกว้างขวาง พลเมืองมาก
มีคนคับคั่ง หาข้าวปลาอาหารง่าย มีปราสาท 7,707 เรือนยอด 7,707
สวนดอกไม้ 7,707 สระโบกขรณี 7,707 และมีหญิงงามเมืองชื่ออัมพปาลี
มีรูปงาม น่าดู น่าชม มีผิวพรรณผุดผ่องอย่างยิ่ง เธอชำนาญการฟ้อนรำ ขับร้อง
และประโคมดนตรี คนทั้งหลายที่ต้องการจะพาเธอไปร่วมอภิรมย์ด้วย ต้องจ่ายค่า
ตัวถึงคืนละ 50 กหาปณะ ก็เพราะนางอัมพปาลีนี่แหละที่ทำให้กรุงเวสาลีมีเสน่ห์
และมีความงดงามเป็นพิเศษ ขอเดชะ แม้ชาวเราตั้งตำแหน่งหญิงงามเมืองขึ้นบ้าง
ก็จะเป็นการดี
พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพมคธรัฐรับสั่งว่า พนาย ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงหา
เด็กสาวผู้มีความงามอย่างนั้นที่ควรคัดเลือกให้เป็นหญิงงามเมือง
เรื่องบุตรของหญิงงามเมืองชื่อสาลวดี
ก็สมัยนั้น ในกรุงราชคฤห์ มีเด็กสาวชื่อสาลวดีมีรูปงาม น่าดู น่าชม มีผิว
พรรณผุดผ่องอย่างยิ่ง คณะกุฎุมพีชาวกรุงราชคฤห์จึงคัดเลือกเธอให้เป็นหญิงงามเมือง
เมื่อเธอได้รับเลือกไม่นานนักก็เป็นผู้ชำนาญในการฟ้อนรำ ขับร้อง และประโคมดนตรี
คนทั้งหลายที่ต้องการจะพาเธอไปร่วมอภิรมย์ด้วย ต้องจ่ายค่าตัวถึงคืนละ 100
กหาปณะ ต่อมาเธอมีครรภ์จึงคิดว่า ธรรมดาสตรีมีครรภ์ไม่เป็นที่ชอบใจของบุรุษ
ถ้าใครทราบว่าเรามีครรภ์ ลาภผลของเราจะเสื่อมหมด อย่ากระนั้นเลย เราควรแจ้ง
ว่าเราป่วย แล้วได้สั่งคนเฝ้าประตูไว้ว่า นายประตู ท่านอย่าอนุญาตให้ชายใดเข้ามา
ถ้ามีคนถามหาดิฉัน ก็จงตอบให้เขาทราบว่าดิฉันเป็นไข้
คนเฝ้าประตูนั้นรับคำของหญิงงามเมืองชื่อสาลวดีว่าจะปฏิบัติตามคำสั่งนั้น
ต่อมา เมื่อนางมีครรภ์ครบกำหนดคลอดจึงได้คลอดบุตรชาย ได้กำชับหญิงรับใช้
ว่า แม่สาวใช้ เธอจงวางทารกคนนี้ในกระด้งเก่า ๆ แล้วนำออกไปทิ้งที่กองขยะ
หญิงรับใช้รับคำแล้ววางทารกลงในกระด้งเก่า ๆ นำออกไปทิ้งที่กองขยะ
พระวินัยปิฎก มหาวรรค [8. จีวรขันธกะ] 202. ชีวกวัตถุ
[328] ก็เวลานั้นเป็นเวลาเช้า เจ้าชายอภัยกำลังเสด็จเข้าสู่พระราชวัง ได้ทอด
พระเนตรเห็นทารกนั้นถูกฝูงกาแวดล้อม จึงตรัสถามคนทั้งหลายว่า พนาย ฝูงกา
รุมล้อมอะไร
คนเหล่านั้นกราบทูลว่า ทารกพระเจ้าข้า
เจ้าชายอภัยตรัสถามว่า เขายังมีชีวิตอยู่หรือ
คนเหล่านั้นกราบทูลว่า ยังมีชีวิตอยู่ พระเจ้าข้า
เจ้าชายอภัยตรัสถามว่า ถ้าเช่นนั้น จงนำทารกไปในพระราชวังของเรามอบให้
แม่นมดูแล
คนเหล่านั้นรับสนองพระบัญชาแล้ว นำทารกนั้นไปวังเจ้าชายมอบให้แม่นมว่า
โปรดเลี้ยงไว้ด้วย แล้วตั้งชื่อทารกนั้นว่า ชีวก เพราะบ่งถึงคำว่า ยังมีชีวิตอยู่
ตั้งชื่อว่า โกมารภัจ เพราะเป็นผู้ที่เจ้าชายรับสั่งให้เลี้ยงไว้
ไม่นานนัก ชีวกโกมารภัจ เจริญวัยรู้เดียงสา เขาเข้าเฝ้าเจ้าชายอภัยกราบ
ทูลถามว่า ใครคือบิดามารดาของเกล้ากระหม่อม พระเจ้าข้า
เจ้าชายอภัยรับสั่งว่า พ่อชีวก แม้ตัวเราก็ไม่รู้จักมารดาของเจ้า แต่เราคือ
บิดาของเจ้า เพราะเราให้เลี้ยงเจ้าไว้
ชีวกโกมารภัจคิดว่า คนที่ไม่มีศิลปะจะเข้าพึ่งราชสกุลนี้ได้ยาก อย่ากระนั้น
เลย เราควรเรียนศิลปวิทยาไว้
เรื่องชีวกเดินทางไปกรุงตักกสิลา
[329] สมัยนั้น นายแพทย์ทิศาปาโมกข์1ตั้งสำนักอยู่ ณ กรุงตักกสิลา
ชีวกโกมารภัจไม่กราบทูลลาเจ้าชายอภัย ลอบเดินทางรอนแรมไปจนถึงกรุงตักกสิลา
เข้าไปหานายแพทย์ผู้นั้นแล้วบอกว่า ท่านอาจารย์ ผมใคร่จะศึกษาศิลปวิทยา
เชิงอรรถ :
1 ทิศาปาโมกข์ หมายถึง มีชื่อเสียง ปรากฏเป็นที่รู้จัก หรือเป็นหัวหน้าอยู่ในทิศทั้งปวง (วิ.อ. 3/329/
202)