เมนู

พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 174. สุนีธวัสสการวัตถุ
ครั้นทรงแสดงธรรมีกถาชี้แจงให้อุบาสกอุบาสิกาชาวปาฏลิคามเห็นชัด ชวนให้
อยากรับไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วย
ธรรมีกถาจนดึกดื่นแล้ว ทรงส่งกลับด้วยรับสั่งว่า ราตรีใกล้จะสว่าง บัดนี้พวกท่าน
จงรู้เวลาที่จะกลับเถิด
พวกเขากราบทูลรับสนองพระพุทธดำรัสแล้วลุกจากอาสนะ ถวายอภิวาท
พระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วกลับไป เมื่อพวกเขากลับไปได้ไม่นาน พระผู้มี
พระภาคได้เสด็จเข้าสุญญาคาร

174. สุนีธวัสสการวัตถุ1
ว่าด้วยมหาอมาตย์สุนีธะและวัสสการะ

เรื่องพุทธทำนายเกี่ยวกับนครปาฏลีบุตร
[286] สมัยนั้น สุนีธะและวัสสการะผู้เป็นมหาอมาตย์แห่งมคธรัฐ กำลังสร้าง
เมืองที่ปาฏลิคามเพื่อป้องกันพวกวัชชี
พระผู้มีพระภาคทรงตื่นบรรทมเวลาใกล้รุ่ง ทรงเล็งจักษุทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือ
มนุษย์ ได้ทอดพระเนตรเห็นทวยเทพเป็นจำนวนมากกำลังยึดครองที่ดินในปาฏลิคาม
คือ ทวยเทพมีศักดิ์ใหญ่ยึดครองที่ดินในประเทศใด จิตของพวกพระราชาและราช
มหาอมาตย์ผู้สูงศักดิ์ต่างน้อมเพื่อสร้างนิเวศน์ในประเทศนั้น2
ทวยเทพที่มีศักดิ์ชั้นกลางยึดครองที่ดินในประเทศใด จิตของพวกพระราชา
และราชมหาอมาตย์ที่มีศักดิ์ชั้นกลางต่างน้อมเพื่อสร้างนิเวศน์ในประเทศนั้น
ทวยเทพที่มีศักดิ์ชั้นต่ำยึดครองที่ดินในประเทศใด จิตของพวกพระราชาและ
ราชมหาอมาตย์ชั้นต่ำต่างน้อมเพื่อสร้างนิเวศน์ในประเทศนั้น

เชิงอรรถ :
1 ที.ม. 10/152/79
2 ทราบว่า เทวดาทั้งหลายเข้าสิงในร่างของคนผู้เชี่ยวชาญวิชาดูพื้นที่แล้วให้ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นบอกว่าควรจะ
สร้างบ้านเมืองที่นั้นที่นี้เพราะเทวดาเหล่านั้นประสงค์จะให้พระราชาและมหาอมาตย์ผู้มีศักดิ์ใหญ่ มีศักดิ์
ปานกลาง มีศักดิ์ชั้นต่ำอยู่ใกล้ชิดกับตน และทำสักการะสมควรแก่ตน (วิ.อ. 3/286/179)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :100 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 174. สุนีธวัสสการวัตถุ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสเรียกท่านพระอานนท์มาถามว่า “อานนท์
คนที่สร้างเมืองที่ปาฏลิคามนั้นเป็นพวกไหน”
ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า ๊สุนีธะและวัสสการะผู้เป็นมหาอมาตย์แห่งมคธ
รัฐ กำลังสร้างเมืองที่ปาฏลิคาม เพื่อป้องกันพวกวัชชี พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “อานนท์ สุนีธะและวัสสการะผู้เป็นมหาอมาตย์แห่ง
มคธรัฐ กำลังสร้างเมืองที่ปาฏลิคามเพื่อป้องกันพวกวัชชี เหมือนได้ปรึกษากับ
ทวยเทพชั้นดาวดึงส์ อานนท์ เมื่อตอนเช้ามืดคืนนี้ เราลุกขึ้นเล็งจักษุทิพย์อัน
บริสุทธิ์เหนือมนุษย์ เห็นทวยเทพเป็นจำนวนมากกำลังยึดครองที่ดินในปาฏลิคาม คือ
ทวยเทพมีศักดิ์ใหญ่ยึดครองที่ดินในประเทศใด จิตของพวกพระราชาและราช
มหาอมาตย์ผู้สูงศักดิ์ต่างน้อมเพื่อสร้างนิเวศน์ในประเทศนั้น
ทวยเทพที่มีศักดิ์ชั้นกลางยึดครองที่ดินในประเทศใด จิตของพวกพระราชา
และราชมหาอมาตย์ที่มีศักดิ์ชั้นกลางต่างน้อมเพื่อสร้างนิเวศน์ในประเทศนั้น
ทวยเทพที่มีศักดิ์ชั้นต่ำยึดครองที่ดินในประเทศใด จิตของพวกพระราชาและ
ราชมหาอมาตย์ชั้นต่ำต่างน้อมเพื่อสร้างนิเวศน์ในประเทศนั้น

นครปาฏลีบุตรจะแตกด้วยภัย 3 อย่าง
อานนท์ ตลอดพื้นที่อันเป็นย่านชุมชนแห่งอารยชนและเป็นทางค้าขาย นครนี้
จะเป็นนครชั้นเอก เป็นทำเลค้าขาย ชื่อปาฏลีบุตร และนครปาฏลีบุตรจะเกิด
อันตราย 3 อย่าง คือ อัคคีภัย อุทกภัย หรือการแตกความสามัคคีภายในกลุ่ม”
ครั้งนั้น สุนีธะและวัสสการะผู้เป็นมหาอมาตย์แห่งมคธรัฐ พากันไปเฝ้าพระผู้มี
พระภาคถึงที่ประทับ ครั้นถึงแล้วได้กราบทูลสนทนาปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค
พอเป็นที่บันเทิงใจ พอให้ระลึกถึงกันและกันแล้วได้ยืน ณ ที่สมควร สุนีธะและ
วัสสการะมหาอมาตย์แห่งมคธรัฐ ผู้ยืน ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค
ดังนี้ว่า “ขอพระโคดมผู้เจริญพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์โปรดรับภัตตาหารของพวกข้าพระ
องค์เพื่อเจริญกุศลในวันนี้เถิด”
พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์โดยดุษณีภาพ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :101 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 174. สุนีธวัสสการวัตถุ
ครั้งนั้น สุนีธะและวัสสการะผู้เป็นมหาอมาตย์แห่งมคธรัฐทราบว่าพระผู้มี
พระภาคทรงรับนิมนต์แล้ว ลุกจากอาสนะแล้วกลับไป ลำดับนั้น สุนีธะและ
วัสสการะผู้เป็นมหาอมาตย์แห่งมคธรัฐให้จัดเตรียมของเคี้ยวของฉันอันประณีตแล้ว
ให้เจ้าหน้าที่ไปกราบทูลภัตกาลพระผู้มีพระภาคว่า “ถึงเวลาแล้ว พระพุทธเจ้าข้า
ภัตตาหารเสร็จแล้ว”
ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร
เสด็จไปที่จัดเลี้ยงของสุนีธะและวัสสการะผู้เป็นมหาอมาตย์แห่งมคธรัฐ ประทับนั่ง
บนอาสนะที่จัดถวาย พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ลำดับนั้น สุนีธะและวัสสการะผู้เป็น
มหาอมาตย์แห่งมคธรัฐ ได้นำของเคี้ยวของฉันอันประณีตประเคนภิกษุสงฆ์มี
พระพุทธเจ้าเป็นประธาน กระทั่งพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จ ห้ามภัตตาหารแล้ว
ทรงละพระหัตถ์จากบาตร ได้นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่สมควร พระผู้มีพระภาคทรงอนุโมทนา
แก่มหาอมาตย์ทั้งสองด้วยพระคาถาเหล่านี้ว่า
“บัณฑิตอยู่ในที่ใด ครั้นเลี้ยงดูท่านผู้มีศีล ผู้สำรวม
ประพฤติพรหมจรรย์ในที่ที่ตนอยู่นั้นพึงอุทิศทักษิณา1
แก่เหล่าทวยเทพผู้สถิตอยู่ในที่นั้น
ทวยเทพเหล่านั้นอันเขาบูชาแล้วย่อมบูชาตอบ
อันเขานับถือแล้วย่อมนับถือตอบ
จากนั้นย่อมอนุเคราะห์บัณฑิตนั้นเป็นการตอบแทน
ดุจมารดาอนุเคราะห์บุตรผู้เกิดแต่อก
ดังนั้น ผู้ที่ทวยเทพอนุเคราะห์แล้ว
ย่อมพบเห็นแต่สิ่งที่เจริญทุกเมื่อ”2
ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงอนุโมทนาสุนีธะและวัสสการะผู้เป็นมหาอมาตย์แห่ง
มคธรัฐด้วยพระคาถาเหล่านี้แล้ว ได้เสด็จลุกจากอาสนะแล้วเสด็จกลับ

เชิงอรรถ :
1 พึงอุทิศทักษิณา หมายถึงพึงให้ส่วนบุญ (ที.ม.อ. 2/153/143)
2 ที.ม. 10/153/80-81

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :102 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 175. โกฏิคามสัจจกถา
เรื่องประตูโคดมและท่าโคดมที่แม่น้ำคงคา
สมัยนั้น สุนีธะและวัสสการะผู้เป็นมหาอมาตย์แห่งมคธรัฐ ตามส่งเสด็จพระ
ผู้มีพระภาคไปทางพระปฤษฎางค์ ด้วยดำริว่า “วันนี้ ประตูที่พระสมณโคดมเสด็จ
ออกจะได้ชื่อว่าประตูโคดม ท่าที่เสด็จข้ามแม่น้ำคงคาจะได้ชื่อว่าท่าโคดม” ต่อมา
ประตูที่พระผู้มีพระภาคเสด็จผ่านไปนั้น ได้ปรากฏนามว่าประตูโคดม
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จไปทางแม่น้ำคงคา เวลานั้น แม่น้ำคงคามีน้ำ
เต็มเสมอตลิ่ง นกกาพอดื่มกินได้ คนทั้งหลายประสงค์จะไปจากฝั่งนี้สู่ฝั่งโน้น ต่างก็
หาเรือแพหรือผูกแพลูกบวบ พระผู้มีพระภาคทอดพระเนตรเห็นคนเหล่านั้นกำลัง
หาเรือแพและผูกแพลูกบวบจะข้ามฟาก ได้ทรงหายไปจากฝั่งแม่น้ำคงคาไปปรากฏ
ที่ฝั่งฟากโน้น พร้อมกับภิกษุสงฆ์ เหมือนคนมีกำลังเหยียดแขนออกหรือคู้แขนเข้า
ครั้นพระองค์ทรงทราบความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานว่า
“คนพวกหนึ่งกำลังสร้างสะพานข้ามสระใหญ่
โดยมิให้แปดเปื้อนด้วยเลนตม
ขณะที่คนอีกพวกหนึ่งกำลังผูกทุ่นอยู่
ชนผู้ฉลาดได้ข้ามพ้นไปแล้ว”1

175. โกฏิคามสัจจกถา
ว่าด้วยทรงแสดงอริยสัจที่โกฏิคาม
[287] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จไปทางโกฏิคาม ทราบว่า พระผู้มี
พระภาคประทับอยู่ที่โกฏิคามนั้น พระผู้มีพระภาคได้รับสั่งกับภิกษุทั้งหลายในโกฏิคาม
นั้นว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราและพวกเธอเร่ร่อนไปตลอดเวลานานถึงเพียงนี้ เพราะ

เชิงอรรถ :
1 ที.ม. 10/154/81

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :103 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 176. อัมพปาลีวัตถุ
ไม่ตรัสรู้และไม่แทงตลอดอริยสัจ 4 ได้แก่ เราและพวกเธอเร่ร่อนไปตลอดเวลา
นานถึงเพียงนี้ เพราะไม่ตรัสรู้และไม่แทงตลอดทุกขอริยสัจ ฯลฯ ทุกขสมุทยอริยสัจ
ฯลฯ ทุกขนิโรธอริยสัจ ฯลฯ เราและพวกเธอเร่ร่อนไปตลอดเวลานานถึงเพียงนี้
เพราะไม่ตรัสรู้และไม่แทงตลอดทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ภิกษุทั้งหลาย แต่บัดนี้
ทุกขอริยสัจ อันเราและพวกเธอได้ตรัสรู้และแทงตลอดแล้ว ทุกขสมุทยอริยสัจ อันเรา
และพวกเธอได้ตรัสรู้และแทงตลอดแล้ว ทุกขนิโรธอริยสัจ อันเราและพวกเธอได้ตรัสรู้
และแทงตลอดแล้ว ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ อันเราและพวกเธอได้ตรัสรู้และ
แทงตลอดแล้ว เราและพวกเธอตัดตัณหาในภพได้เด็ดขาด ตัณหาที่จะนำไปเกิดสิ้นแล้ว
บัดนี้จึงไม่มีการเกิดอีกต่อไป

นิคมคาถา
เพราะไม่เห็นอริยสัจ 4 ตามเป็นจริง
เราและพวกเธอจึงต้องท่องเที่ยวไปในชาตินั้น ๆ ตลอดเวลานาน
แต่เพราะได้เห็นอริยสัจ 4
เราและพวกเธอจึงถอนตัณหาที่จะนำไปเกิดได้
ตัดรากแห่งทุกข์ได้เด็ดขาด บัดนี้จึงไม่มีการเกิดอีกต่อไป

176. อัมพปาลีวัตถุ
ว่าด้วยหญิงงามเมืองชื่ออัมพปาลี
[288] หญิงงามเมืองชื่ออัมพปาลีได้ทราบข่าวว่า “พระผู้มีพระภาคเสด็จถึง
โกฏิคามแล้ว” จึงให้จัดยานพาหนะคันงาม ขึ้นยานพาหนะคันงาม มียานพาหนะ
คันงามหลายคันเดินทางออกจากกรุงเวสาลี เพื่อเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค เดินทาง
ไปด้วยยานพาหนะตลอดพื้นที่ที่ยานพาหนะจะไปได้ แล้วลงเดินเข้าไปเฝ้าพระผู้มี
พระภาคถึงที่ประทับ ครั้นถึงแล้วได้ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วได้นั่งเฝ้าอยู่ ณ
ที่สมควร

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :104 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 177. ลิจฉวีวัตถุ
พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้หญิงงามเมืองชื่ออัมพปาลีผู้นั่ง ณ ที่สมควรเห็น
ชัด ชวนให้อยากรับไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่น
ร่าเริงด้วยธรรมีกถา
ลำดับนั้น หญิงงามเมืองชื่ออัมพปาลีผู้ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นชัด
ชวนให้อยากรับไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริง
ด้วยธรรมีกถา ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ขอพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วย
ภิกษุสงฆ์โปรดรับภัตตาหารของดิฉันเพื่อเจริญกุศลในวันพรุ่งนี้เถิด พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์โดยดุษณีภาพ
ครั้งนั้น หญิงงามเมืองชื่ออัมพปาลีทราบการที่พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์
แล้ว จึงลุกจากอาสนะถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วกลับไป

177. ลิจฉวีวัตถุ
ว่าด้วยเจ้าลิจฉวี
[289] พวกเจ้าลิจฉวีชาวกรุงเวสาลีได้ทรงสดับข่าวว่า “พระผู้มีพระภาค
เสด็จมาถึงโกฏิคามแล้ว” จึงให้จัดยานพาหนะคันงาม ขึ้นยานพาหนะคันงาม
มียานพาหนะคันงามหลายคัน เสด็จออกจากกรุงเวสาลี เพื่อเข้าเฝ้าพระผู้มี
พระภาค เจ้าลิจฉวีบางพวกเขียว คือ ทรงมีสีเขียว ทรงพัสตร์สีเขียว ทรงเครื่อง
ประดับเขียว เจ้าลิจฉวีบางพวกเหลือง คือ ทรงมีสีเหลือง ทรงพัสตร์เหลือง
ทรงเครื่องประดับเหลือง เจ้าลิจฉวีบางพวกแดง คือ ทรงมีสีแดง ทรงพัสตร์แดง
ทรงเครื่องประดับแดง เจ้าลิจฉวีบางพวกขาว คือ ทรงมีสีขาว ทรงพัสตร์ขาว
ทรงเครื่องประดับขาว
ครั้งนั้น หญิงงามเมืองชื่ออัมพปาลีทำให้งอนรถกระทบงอนรถ แอกกระทบ
แอก ล้อกระทบล้อ เพลากระทบเพลา ของเจ้าลิจฉวีหนุ่ม ๆ ลำดับนั้น พวกเจ้า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :105 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 177. ลิจฉวีวัตถุ
ลิจฉวีเหล่านั้นจึงได้ตรัสกับหญิงงามเมืองชื่ออัมพปาลีดังนี้ว่า “แม่อัมพปาลี เหตุ
ไฉนเธอจึงทำให้งอนรถกระทบงอนรถ แอกกระทบแอก ล้อกระทบล้อ เพลากระทบ
เพลา ของเจ้าลิจฉวีหนุ่ม ๆ เล่า”
นางตอบว่า “พระลูกเจ้าทั้งหลาย หม่อมฉันได้นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้า
เป็นประธานเพื่อเจริญกุศลในวันพรุ่งนี้แล้ว”
เจ้าลิจฉวีทั้งหลายตรัสว่า “แม่อัมพปาลี เธอจงให้พวกฉันถวายภัตตาหาร
มื้อนี้ด้วยทรัพย์ 100,000 กหาปณะเถิด”
นางตอบว่า “พระลูกเจ้าทั้งหลาย ถ้าแม้พวกท่านจะประทานกรุงเวสาลีพร้อม
กับชนบท หม่อมฉันก็ให้พวกท่านถวายภัตตาหารมื้อนี้ไม่ได้”
เจ้าลิจฉวีทั้งหลายทรงดีดองคุลีตรัสว่า “ผู้เจริญทั้งหลาย พวกเราแพ้นางอัมพ
ปาลีเสียแล้ว ผู้เจริญทั้งหลาย พวกเราแพ้นางอัมพปาลีเสียแล้ว” จึงพากันไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ
พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นเจ้าลิจฉวีเหล่านั้นกำลังเสด็จมาแต่ไกล
จึงรับสั่งภิกษุทั้งหลายมาว่า “ภิกษุทั้งหลาย เหล่าภิกษุที่ไม่เคยเห็นพวกเทวดาชั้น
ดาวดึงส์ก็จงดูบริษัทเจ้าลิจฉวี จงพิจารณาดูบริษัทเจ้าลิจฉวี จงเทียบเคียงดูบริษัท
เจ้าลิจฉวีกับพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์”
ครั้งนั้น พวกเจ้าลิจฉวีเสด็จขึ้นยานพาหนะไปตลอดพื้นที่ที่ยานพาหนะจะไปได้
แล้วเสด็จลงจากยานพาหนะ ดำเนินไปด้วยพระบาทเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ณ
ที่ประทับ ครั้นถึงแล้วได้ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วประทับนั่ง ณ ที่สมควร
พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้พวกเจ้าลิจฉวีผู้ประทับนั่ง ณ ที่สมควรเห็นชัด
ชวนให้อยากรับไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่น
ร่าเริงด้วยธรรมีกถา
ลำดับนั้น พวกเจ้าลิจฉวีผู้ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นชัด ชวนให้อยาก
รับไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :106 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 177. ลิจฉวีวัตถุ
ธรรมีกถาแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ขอพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วย
ภิกษุสงฆ์โปรดรับโภชนาหารของพวกข้าพระองค์เพื่อเจริญกุศลในวันพรุ่งนี้เถิด พระ
พุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “อาตมารับนิมนต์ฉันภัตตาหารของหญิงงามเมืองชื่อ
อัมพปาลีไว้เพื่อเจริญกุศลในวันพรุ่งนี้แล้ว”
ลำดับนั้น พวกเจ้าลิจฉวีทรงดีดองคุลีตรัสว่า “ผู้เจริญทั้งหลาย พวกเราแพ้
หญิงงามเมืองชื่ออัมพปาลีเสียแล้ว ผู้เจริญทั้งหลาย พวกเราแพ้หญิงงามเมืองชื่อ
อัมพปาลีเสียแล้ว” ทรงชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาค เสด็จลุกจากอาสนะ
ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วเสด็จกลับ
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โกฏิคามตามอัธยาศัยแล้ว เสด็จ
จาริกไปทางนาทิกคาม ทราบว่า พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระตำหนักตึกใน
นาทิกคามนั้น
คืนนั้นหญิงงามเมืองชื่ออัมพปาลีสั่งให้จัดเตรียมโภชนาหารอันประณีตในสวน
ของตนแล้วให้คนไปกราบทูลภัตกาลพระผู้มีพระภาคว่า “ถึงเวลาแล้ว พระพุทธเจ้าข้า
ภัตตาหารเสร็จแล้ว”
ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร
เสด็จไปที่จัดเลี้ยงของหญิงงามเมืองชื่ออัมพปาลี ประทับนั่งบนอาสนะที่จัดถวาย พร้อม
ด้วยภิกษุสงฆ์ นางได้นำของเคี้ยวของฉันอันประณีตประเคนภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้า
เป็นประธานด้วยตนเอง กระทั่งพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จแล้ว ทรงห้ามภัตตาหาร
แล้วละพระหัตถ์จากบาตร จึงได้นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่สมควร หญิงงามเมืองชื่ออัมพปาลี
ผู้นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “พระพุทธเจ้าข้า
หม่อมฉันขอถวายสวนมะม่วงนี้แก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน”
พระผู้มีพระภาคทรงรับอารามแล้ว ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้
หญิงงามเมืองชื่ออัมพปาลีเห็นชัด ชวนให้อยากรับไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญ แกล้วกล้า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :107 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 178. สีหเสนาปติวัตถุ
ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว ทรงลุกจากอาสนะเสด็จ ไปทาง
ป่ามหาวัน ทราบว่าพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน ใน
กรุงเวสาลีนั้น
ลิจฉวีภาณวารที่ 3 จบ

178. สีหเสนาปติวัตถุ
ว่าด้วยสีหเสนาบดีสาวกของนิครนถ์นาฏบุตร
[290] สมัยนั้น เจ้าลิจฉวีผู้มีชื่อเสียงนั่งประชุมกันในสันถาคาร1กล่าวสรรเสริญ
พระพุทธ กล่าวสรรเสริญพระธรรม กล่าวสรรเสริญพระสงฆ์โดยประการต่าง ๆ
สมัยนั้น สีหเสนาบดีสาวกของนิครนถ์ นั่งอยู่ในที่ประชุมนั้นด้วย ลำดับนั้น
สีหเสนาบดีได้มีความคิดดังนี้ว่า “พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ต้องเป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าแน่ เพราะเจ้าลิจฉวีผู้มีชื่อเสียงเหล่านี้นั่งประชุมกันในสันถาคาร
ต่างก็กล่าวสรรเสริญพระพุทธ กล่าวสรรเสริญพระธรรม กล่าวสรรเสริญพระสงฆ์
โดยประการต่าง ๆ อย่ากระนั้นเลย เราควรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา
สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น” ต่อมา เขาเข้าไปหานิครนถ์นาฏบุตรถึงที่อยู่ ไหว้แล้วนั่งอยู่
ณ ที่สมควร ได้กล่าวกับนิครนถ์นาฏบุตรดังนี้ว่า “ข้าพเจ้าปรารถนาจะไปเฝ้าพระ
สมณโคดม เจ้าข้า”
นิครนถ์นาฏบุตรกล่าวว่า “สีหะ ท่านเป็นผู้สอนให้ทำ ไฉนจึงจะไปเฝ้าพระ
สมณโคดมผู้สอนไม่ให้ทำเล่า สีหะ เพราะพระสมณโคดมเป็นผู้สอนไม่ให้ทำ ย่อม
แสดงธรรมเพื่อการไม่ทำ ทั้งแนะนำพวกสาวกตามแนวนั้น”
ครั้งนั้นแล สีหเสนาบดีจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค

เชิงอรรถ :
1 สันถาคาร มีความหมาย 2 นัยคือ หมายถึงอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักผ่อนสำหรับมหาชน ถูกสร้าง
ขึ้นที่ใจกลางเมือง คนที่อยู่รอบ ๆ ทั้ง 4 ทิศสามารถมองเห็นได้ คนที่มาจากทิศทั้ง 4 จะพักผ่อนที่อาคาร
นี้ก่อนที่จะไปพักในที่สบายสำหรับตน นัยที่ 2 หมายถึงอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อประชุมพิจารณาราชกิจสำหรับ
ราชตระกูล ในที่นี้หมายถึงนัยที่ 2 (องฺ.อฏฺฐก.อ. 3/12/229-230 ดู องฺ.อฏฺฐก. 23/12/149 ด้วย)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :108 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 178. สีหเสนาปติวัตถุ
แม้ครั้งที่ 2 ฯลฯ
แม้ครั้งที่ 3 เจ้าลิจฉวีผู้มีชื่อเสียงนั่งประชุมอยู่ในสันถาคาร กล่าวสรรเสริญ
พระพุทธ กล่าวสรรเสริญพระธรรม กล่าวสรรเสริญพระสงฆ์ โดยประการต่าง ๆ
แม้ครั้งที่ 3 สีหเสนาบดีก็มีความคิดดังนี้ว่า “พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ต้องเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่ เพราะเจ้าลิจฉวีผู้มีชื่อเสียงเหล่านี้นั่ง
ประชุมกันในสันถาคาร ต่างก็กล่าวสรรเสริญพระพุทธ กล่าวสรรเสริญพระธรรม กล่าว
สรรเสริญพระสงฆ์ โดยประการต่าง ๆ ก็พวกนิครนถ์เหล่านี้ เราจะบอกหรือไม่ก็ไม่
มีประโยชน์อะไร อย่ากระนั้นเลย เราจะไม่บอกพวกนิครนถ์แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มี
พระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น”
ครั้งนั้น สีหเสนาบดีเดินทางออกจากกรุงเวสาลีแต่หัววัน พร้อมด้วยรถ 500
คัน เดินทางไปด้วยยานพาหนะตลอดพื้นที่ที่ยานพาหนะจะไปได้แล้วลงเดินเข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นถึงแล้วได้ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วนั่งอยู่ ณ
ที่สมควร สีหเสนาบดีผู้นั่งอยู่ ณ ที่สมควรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “พระ
องค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ฟังมาดังนี้ว่า ‘พระสมณโคดมเป็นผู้สอนไม่ให้ทำ ทรงแสดง
ธรรมเพื่อการไม่ให้ทำ ทั้งแนะนำพวกสาวกตามแนวนั้น’ พระพุทธเจ้าข้า คนเหล่า
ใดกล่าวอย่างนี้ว่า ‘พระสมณโคดมเป็นผู้สอนไม่ให้ทำ แสดงธรรมเพื่อการไม่ให้ทำ ทั้งแนะ
นำพวกสาวกตามแนวนั้น’ พระพุทธเจ้าข้า คนเหล่านั้นจะชื่อว่ากล่าวตรงตามที่พระ
ผู้มีพระภาคตรัสไว้ ไม่ชื่อว่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยคำเท็จหรือ ชื่อว่ากล่าวแก้
อย่างสมเหตุสมผลหรือ ไม่มีบ้างหรือที่คำกล่าวเช่นนั้นและคำกล่าวต่อ ๆ กันมา จะ
เป็นเหตุให้ถูกตำหนิได้ เพราะข้าพระองค์ไม่ประสงค์จะกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเลย”

ข้อกล่าวหาของคนทั่วไป 8 ประการ
[291] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
1. สีหะ ข้อที่เขากล่าวหาเราว่า ‘พระสมณโคดมเป็นผู้สอนไม่ให้ทำ
ทรงแสดงธรรมเพื่อการไม่ให้ทำ ทั้งแนะนำพวกสาวกตามแนวนั้น’ นั้น
มีมูลอยู่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :109 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [6. เภสัชชขันธกะ] 178. สีหเสนาปติวัตถุ
2. สีหะ ข้อที่เขากล่าวหาเราว่า ‘พระสมณโคดมเป็นผู้สอนให้ทำ แสดง
ธรรมเพื่อการให้ทำ ทั้งแนะนำพวกสาวกตามแนวนั้น’ นั้นมีมูลอยู่
3. สีหะ ข้อที่เขากล่าวหาเราว่า ‘พระสมณโคดมเป็นผู้สอนให้ทำลาย
แสดงธรรมเพื่อความทำลาย ทั้งแนะนำพวกสาวกตามแนวนั้น’ นั้น
มีมูลอยู่
4. สีหะ ข้อที่เขากล่าวหาเราว่า ‘พระสมณโคดมเป็นคนช่างรังเกียจ
แสดงธรรมเพื่อความรังเกียจ ทั้งแนะนำพวกสาวกตามแนวนั้น’ นั้น
มีมูลอยู่
5. สีหะ ข้อที่เขากล่าวหาเราว่า ‘พระสมณโคดมเป็นคนช่างกำจัด แสดง
ธรรมเพื่อความกำจัด ทั้งแนะนำพวกสาวกตามแนวนั้น’ นั้นมี
มูลอยู่
6. สีหะ ข้อที่เขากล่าวหาเราว่า ‘พระสมณโคดมเป็นคนช่างเผาผลาญ
แสดงธรรมเพื่อความเผาผลาญ ทั้งแนะนำพวกสาวกตามแนวนั้น’
นั้นมีมูลอยู่
7. สีหะ ข้อที่เขากล่าวหาเราว่า ‘พระสมณโคดมเป็นคนไม่ผุดไม่เกิด
แสดงธรรมเพื่อไม่ผุดไม่เกิด ทั้งแนะนำพวกสาวกตามแนวนั้น’ นั้น
มีมูลอยู่
8. สีหะ ข้อที่เขากล่าวหาเราว่า ‘พระสมณโคดมเป็นผู้เบาใจ แสดงธรรม
เพื่อความเบาใจ ทั้งแนะนำพวกสาวกตามแนวนั้น’ นั้นมีมูลอยู่

พระดำรัสแก้ข้อกล่าวหา 8 ประการ
[292] สีหะ ข้อที่เขากล่าวหาเราว่า ‘พระสมณโคดมเป็นผู้สอนไม่ให้ทำทรง
แสดงธรรมเพื่อการไม่ให้ทำ ทั้งแนะนำพวกสาวกตามแนวนั้น’ นั้นชื่อว่ามีมูลอยู่
เป็นอย่างไร

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :110 }