พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ [6.ปาฏิเทสนียกัณฑ์] 3.ตติยปาฏิเสนียสิกขาบท อนาปัตติวาร
ตระกูลที่ได้รับสมมติเป็นเสขะ ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่ตระกูลที่ได้รับสมมติเป็น
เสขะ ไม่ได้รับนิมนต์ ไม่เป็นไข้ รับของเคี้ยวหรือของฉันด้วยมือตนเองแล้วเคี้ยวหรือ
ฉัน ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ
ทุกกฏ
ภิกษุรับของที่เป็นยามกาลิก สัตตาหกาลิก ยาวชีวิก เพื่อเป็นอาหาร ต้อง
อาบัติทุกกฏ ฉัน ต้องอาบัติทุกกฏทุก ๆ คำกลืน
ไม่ใช่ตระกูลที่ได้รับสมมติเป็นเสขะ ภิกษุสำคัญว่าเป็นตระกูลที่ได้รับสมมติ
เป็นเสขะ ต้องอาบัติทุกกฏ
ไม่ใช่ตระกูลที่ได้รับสมมติเป็นเสขะ ภิกษุไม่แน่ใจ ต้องอาบัติทุกกฏ
ไม่ใช่ตระกูลที่ได้รับสมมติเป็นเสขะ ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่ตระกูลที่ได้รับสมมติ
เป็นเสขะ ไม่ต้องอาบัติ
อนาปัตติวาร
ภิกษุต่อไปนี้ไม่ต้องอาบัติ คือ
[569] 1. ภิกษุรับนิมนต์ไว้
2. ภิกษุผู้เป็นไข้
3. ภิกษุฉันของเป็นเดนของภิกษุผู้รับนิมนต์ไว้หรือของภิกษุผู้เป็นไข้
4. ภิกษุฉันอาหารที่เขาจัดไว้เพื่อภิกษุอื่น ๆ
5. ภิกษุฉันอาหารที่เขานำจากเรือนไปถวาย
6. ภิกษุฉันนิตยภัต
7. ภิกษุฉันสลากภัต
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ [6.ปาฏิเทสนียกัณฑ์] 3.ตติยปาฏิเสนียสิกขาบท อนาปัตติวาร
8. ภิกษุฉันปักขิกภัต1
9. ภิกษุฉันอุโบสถิกภัต2
10. ภิกษุฉันปาฏิปทิกภัต3
11. ภิกษุฉันยามกาลิก สัตตาหกาลิก หรือยาวชีวิก ที่เขาถวายบอก
ว่าเมื่อมีเหตุจำเป็นก็นิมนต์ฉันเถิด
12. ภิกษุวิกลจริต
13. ภิกษุต้นบัญญัติ
ปาฏิเทสนียสิกขาบทที่ 3 จบ
เชิงอรรถ :
1 ปักขิกภัต คืออาหารที่เขาถวาย 15 วันครั้งหนึ่ง
2 อุโบสถิกภัต คืออาหารที่เขาถวายในวันอุโบสถ คือวันพระนั้นเอง
3 ปาฏิปทิกภัต คืออาหารที่เขาถวายในวันขึ้น-แรม 1 ค่ำ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ [6.ปาฏิเทสนียกัณฑ์] 4.จตุตถปาฏิเทสนียสิกขาบท นิทานวัตถุ
4. จตุตถปาฏิเทสนียสิกขาบท
ว่าด้วยการรับของเคี้ยวของฉันจากทายกที่ไม่ได้แจ้งไว้ก่อน
เรื่องคนรับใช้ของเจ้าศากยะ
[570] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ นิโครธาราม เขต
กรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ครั้งนั้น พวกทาสของเจ้าศากยะก่อการร้าย พวก
เจ้าหญิงศากยะปรารถนาจะจัดภัตตาหารไว้ถวายภิกษุผู้อยู่ในเสนาสนะป่า พวกทาส
ของเจ้าศากยะได้ฟังข่าวว่า พวกเจ้าหญิงศากยะปรารถนาจะจัดภัตตาหารไว้ถวาย
ภิกษุผู้อยู่ในเสนาสนะป่า จึงไปดักซุ่มที่หนทาง พวกเจ้าหญิงศากยะนำของเคี้ยวของ
ฉันอันประณีตไปยังเสนาสนะป่า พวกทาสของเจ้าศากยะจึงออกมาปล้นและทำร้าย
เจ้าหญิงศากยะ
พวกเจ้าศากยะออกไปจับพวกโจรได้พร้อมของกลางแล้วตำหนิ ประณาม
โพนทะนาว่า ไฉนพระคุณเจ้าทั้งหลายจึงไม่บอกว่ามีพวกโจรอยู่ในอารามเล่า
ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกเจ้าศากยะตำหนิ ประณาม โพนทะนา ครั้นแล้วจึงนำ
เรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
ทรงบัญญัติสิกขาบท
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมีกถาเพราะเรื่องนี้เป็นต้นเหตุ แล้ว
รับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น เราจะบัญญัติสิกขาบทแก่
ภิกษุทั้งหลาย โดยอาศัยอำนาจประโยชน์ 10 ประการ คือ
1. เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์
ฯลฯ
9. เพื่อความตั้งมั่นแห่งสัทธรรม
10. เพื่อเอื้อเฟื้อวินัย1
แล้วจึงรับสั่งให้ภิกษุทั้งหลายยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงดังนี้
เชิงอรรถ :
1 ดูข้อ 566 หน้า 92 ในเล่มนี้
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ [6.ปาฏิเทสนียกัณฑ์] 4.จตุตถปาฏิเทสนียสิกขาบท พระบัญญัติ
พระบัญญัติ
ก็ ภิกษุใดอยู่ในเสนาสนะป่าที่รู้กันว่าน่าหวาดระแวง มีภัยน่ากลัวเช่นนั้น
ไม่ได้รับแจ้งไว้ก่อนรับของเคี้ยวหรือของฉันด้วยมือตนเองในอารามแล้วฉัน
ภิกษุนั้นพึงแสดงคืนว่า ท่านทั้งหลาย กระผมต้องธรรมคือปาฏิเทสนียะ เป็น
ธรรมที่น่าตำหนิ ไม่เป็นสัปปายะ กระผมขอแสดงคืนธรรมนั้น
สิกขาบทนี้พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้แก่ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้
เรื่องคนรับใช้ของเจ้าศากยะ จบ
เรื่องภิกษุผู้เป็นไข้
[571] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งผู้เป็นไข้อยู่ในเสนาสนะป่า พวกชาวบ้านนำ
ของเคี้ยวของฉันไปถวาย ครั้นแล้วได้กล่าวอาราธนาภิกษุนั้นดังนี้ว่า นิมนต์ฉันเถิด
ขอรับ ทีนั้น ภิกษุนั้นมีความยำเกรงอยู่ว่า พระผู้มีพระภาคทรงห้ามการรับของ
เคี้ยวของฉันในเสนาสนะป่าด้วยมือตนเองแล้วเคี้ยวฉัน จึงไม่ยอมรับ ท่านไม่
สามารถเที่ยวบิณฑบาตได้ทัน จึงไม่ได้ฉันภัตตาหาร ท่านได้แจ้งเรื่องนั้นให้ภิกษุ
ทั้งหลายทราบ ครั้นแล้วภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้
ทรงทราบ
พระพุทธานุญาตพิเศษ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมีกถาเพราะเรื่องนี้เป็นต้นเหตุ รับสั่ง
กับภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้เป็นไข้รับของเคี้ยวของฉัน
ในเสนาสนะป่าด้วยมือตนเองแล้วเคี้ยวฉันได้ แล้วจึงรับสั่งให้ภิกษุทั้งหลายยก
สิกขาบทนี้ขึ้นแสดงดังนี้
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ [6.ปาฏิเทสนียกัณฑ์] 4.จตุตถปาฏิเทสนียสิกขาบท สิกขาบทวิภังค์
พระอนุบัญญัติ
[572] อนึ่ง ภิกษุใดไม่เป็นไข้อยู่ในเสนาสนะป่าที่รู้กันว่าน่าหวาดระแวง
มีภัยน่ากลัวเช่นนั้น ไม่ได้รับแจ้งไว้ก่อนรับของเคี้ยวหรือของฉันด้วยมือตนเอง
ในอารามแล้วฉัน ภิกษุนั้นพึงแสดงคืนว่า ท่านทั้งหลาย กระผมต้องธรรมคือ
ปาฏิเทสนียะ เป็นธรรมที่น่าตำหนิ ไม่เป็นสัปปายะ กระผมขอแสดงคืน
ธรรมนั้น
เรื่องภิกษุผู้ป็นไข้ จบ
สิกขาบทวิภังค์
[573] คำว่า เสนาสนะป่า ความว่า เสนาสนะที่ชื่อว่าป่า ได้แก่ เสนาสนะ1
มีระยะ 500 ชั่วธนูเป็นอย่างตํ่า
ที่ชื่อว่า น่าหวาดระแวง คือ ในอาราม อุปจารแห่งอาราม ปรากฏที่อยู่
ปรากฏที่กิน ปรากฏที่ยืน ปรากฏที่นั่ง ปรากฏที่นอนของพวกโจร
ที่ชื่อว่า มีภัยน่ากลัว คือ ในอาราม อุปจารแห่งอาราม ปรากฏมีมนุษย์ถูก
พวกโจรฆ่า ปรากฏมีมนุษย์ถูกพวกโจรปล้น ปรากฏมีมนุษย์ถูกพวกโจรทุบตี
คำว่า ก็...ใด คือ ผู้ใด ผู้เช่นใด ฯลฯ นี้ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ก็...ใด
คำว่า ภิกษุ มีอธิบายว่า ชื่อว่าภิกษุ เพราะเป็นผู้ขอ ฯลฯ นี้ที่พระผู้มีพระ
ภาคทรงประสงค์เอาว่า ภิกษุ ในความหมายนี้
คำว่า ในเสนาสนะเช่นนั้น คือ เสนาสนะเช่นนี้
ที่ชื่อว่า ไม่ได้รับแจ้งไว้ก่อน คือ ถึงจะแจ้งแก่สหธรรมิกทั้ง 5 นี้ชื่อว่าไม่
ได้รับแจ้งไว้
แจ้ง(ในที่อื่น) เว้นอาราม อุปจารแห่งอาราม นี่ก็ชื่อว่าไม่ได้รับแจ้งไว้
เชิงอรรถ :
1 หมายถึงเสนาสนะที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 25 เส้น (ดู เชิงอรรถ ข้อ 566 หน้า 92 ในเล่มนี้)
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ [6.ปาฏิเทสนียกัณฑ์] 4.จตุตถปาฏิเทสนียสิกขาบท สิกขาบทวิภังค์
ที่ชื่อว่า รับแจ้งไว้ คือ ผู้ใดผู้หนึ่งจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม มาที่อารามหรือ
อุปจารแห่งอารามแล้วบอกว่า พระคุณเจ้า ทายกทายิกาจะนำของเคี้ยวหรือของฉัน
มาถวายภิกษุชื่อนี้
ถ้าที่นั้นน่าหวาดระแวง ภิกษุพึงบอกว่า น่าหวาดระแวง ถ้าที่นั้นมีภัยน่ากลัว
ภิกษุพึงบอกว่า มีภัยน่ากลัว
ถ้าเขาบอกว่า ไม่เป็นไร ขอรับ เขาจักนำมาเอง ภิกษุต้องบอกพวกโจรว่า
พวกชาวบ้านจะเข้ามาที่นี้ พวกท่านจงหลบไป
เมื่อภิกษุได้รับแจ้งด้วยข้าวต้มแล้ว เขานำเครื่องบริวารข้าวต้มนั้นมาด้วย นี้ชื่อ
ว่าได้รับแจ้งไว้
เมื่อภิกษุได้รับแจ้งด้วยภัตตาหารแล้ว เขานำเครื่องบริวารภัตตาหารนั้นมา
ด้วย นี้ก็ชื่อว่าได้รับแจ้งไว้
เมื่อภิกษุได้รับแจ้งด้วยของเคี้ยวแล้ว เขานำเครื่องบริวารของเคี้ยวนั้นมาด้วย
นี้ก็ชื่อว่าได้รับแจ้งไว้
เมื่อภิกษุได้รับแจ้งเฉพาะตระกูล พวกคนในตระกูลนั้นนำของเคี้ยวของฉันมา
ถวาย นี้ก็ชื่อว่าได้รับแจ้งไว้
เมื่อภิกษุได้รับแจ้งเฉพาะหมู่บ้าน พวกคนในหมู่บ้านนั้นนำของเคี้ยวของฉัน
มาถวาย นี้ก็ชื่อว่าได้รับแจ้งไว้
เมื่อภิกษุได้รับแจ้งเฉพาะสมาคม พวกคนในสมาคมนั้นนำของเคี้ยวของฉัน
มาถวาย นี้ก็ชื่อว่าได้รับแจ้งไว้
ที่ชื่อว่า ของเคี้ยว คือ ยกเว้นโภชนะ 5 ยามกาลิก สัตตาหกาลิก และ
ยาวชีวิก นอกนั้นชื่อว่าของเคี้ยว
ที่ชื่อว่า ของฉัน ได้แก่ โภชนะ 5 คือ ข้าวสุก ขนมกุมมาส ข้าวตู ปลา
เนื้อ
ที่ชื่อว่า ในอาราม ได้แก่ สำหรับอารามที่มีรั้วล้อม กำหนดเอาภายใน
อาราม สำหรับอารามที่ไม่มีรั้วล้อม กำหนดเอาอุปจารอาราม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ [6.ปาฏิเทสนียกัณฑ์] 4.จตุตถปาฏิเทสนียสิกขาบท บทภาชนีย์
ที่ชื่อว่า ไม่เป็นไข้ คือ ภิกษุผู้สามารถไปบิณฑบาตฉันได้
ที่ชื่อว่า ผู้เป็นไข้ คือ ภิกษุผู้ไม่สามารถไปบิณฑบาตได้
ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ได้รับแจ้ง รับประเคนด้วยตั้งใจว่า จะเคี้ยว จะฉัน ต้องอาบัติ
ทุกกฏ ฉัน ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะทุก ๆ คำกลืน
บทภาชนีย์
ติกปาฏิเทสนียะ
[574] ไม่ได้รับแจ้งไว้ ภิกษุสำคัญว่าไม่ได้รับแจ้งไว้ ไม่เป็นไข้ รับของเคี้ยว
หรือของฉันด้วยมือตนเองในอาราม เคี้ยวหรือฉัน ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ
ไม่ได้รับแจ้งไว้ ภิกษุไม่แน่ใจ ไม่เป็นไข้ รับของเคี้ยวหรือของฉันด้วยมือตนเอง
ในอาราม เคี้ยวหรือฉัน ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ
ไม่ได้รับแจ้งไว้ ภิกษุสำคัญว่าไม่ได้รับแจ้งไว้ ไม่เป็นไข้ รับของเคี้ยวหรือของ
ฉันด้วยมือตนเองในอาราม เคี้ยวหรือฉัน ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ
ทุกกฏ
ภิกษุรับประเคนยามกาลิก สัตตาหกาลิก ยาวชีวิก เพื่อเป็นอาหาร ต้องอาบัติ
ทุกกฏ ฉัน ต้องอาบัติทุกกฏทุก ๆ คำกลืน
ได้รับแจ้งไว้แล้ว ภิกษุสำคัญว่าไม่ได้รับแจ้งไว้ ต้องอาบัติทุกกฏ
ได้รับแจ้งไว้แล้ว ภิกษุไม่แน่ใจ ต้องอาบัติทุกกฏ
ได้รับแจ้งไว้แล้ว ภิกษุสำคัญว่าได้รับแจ้งไว้ ไม่ต้องอาบัติ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ [6.ปาฏิเทสนียกัณฑ์] บทสรุป
อนาปัตติวาร
ภิกษุต่อไปนี้ไม่ต้องอาบัติ คือ
[575] 1. ภิกษุที่ได้รับแจ้งไว้ก่อน
2. ภิกษุผู้เป็นไข้
3. ภิกษุที่ได้รับแจ้งไว้หรือภิกษุฉันของเป็นเดน ของภิกษุผู้เป็นไข้
4. ภิกษุรับของนอกอารามมาฉันในอาราม
5. ภิกษุฉันรากไม้ เปลือกไม้ ใบไม้ ดอกไม้ หรือผลไม้ที่เกิดในที่นั้น
6. ภิกษุฉันของเป็นยามกาลิก สัตตาหกาลิก และยาวชีวิก เมื่อมี
เหตุจำเป็น
7. ภิกษุวิกลจริต
8. ภิกษุต้นบัญญัติ
ปาฏิเทสนียะสิกขาบทที่ 4 จบ
บทสรุป
ท่านทั้งหลาย ธรรมคือปาฏิเทสนียะ 4 สิกขาบท ข้าพเจ้ายกขึ้นแสดงแล้ว
ข้าพเจ้าขอถามท่านทั้งหลาย ในธรรมคือปาฏิเทสนียะ 4 สิกขาบทเหล่านั้นว่า
ท่านทั้งหลายบริสุทธิ์แล้วหรือ
ข้าพเจ้าขอถามเป็นครั้งที่ 2 ว่า ท่านทั้งหลายบริสุทธิ์แล้วหรือ
ข้าพเจ้าขอถามเป็นครั้งที่ 3 ว่า ท่านทั้งหลายบริสุทธิ์แล้วหรือ
ท่านทั้งหลายบริสุทธิ์แล้วในธรรมคือปาฏิเทสนียะ 4 สิกขาบทนี้ เพราะฉะนั้น
จึงนิ่ง ข้าพเจ้าขอถือความนิ่งนั้นเป็นมติอย่างนี้
ปาฏิเทสนียกัณฑ์ จบ
หน้าว่าง
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ [7.เสขิยกัณฑ์] 1.ปริมัณฑลวรรค สิกขาบทที่ 1
7. เสขิยกัณฑ์
ท่านทั้งหลาย ธรรมคือเสขิยะทั้งหลายเหล่านี้มาถึงวาระที่จะยกขึ้นแสดงเป็น
ข้อ ๆ ตามลำดับ
1. ปริมัณฑลวรรค
หมวดว่าด้วยการนุ่งห่มเรียบร้อย
สิกขาบทที่ 1
เรื่องพระฉัพพัคคีย์
[576] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ครั้งนั้น พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ครอง
อันตรวาสกย้อยข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง พวกชาวบ้านพากันตำหนิ ประณาม
โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายศากยบุตรจึงครองอันตรวาสกย้อยข้างหน้า
บ้าง ข้างหลังบ้าง เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามเล่า
ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกชาวบ้านตำหนิ ประณาม โพนทะนา บรรดาภิกษุผู้
มักน้อย ฯลฯ พากันตำหนิ ประณาม โพนทะนาว่า ไฉนพวกภิกษุฉัพพัคคีย์
จึงครองอันตรวาสกย้อยข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้างเล่า ครั้นภิกษุทั้งหลายตำหนิ
พวกภิกษุฉัพพัคคีย์โดยประการต่าง ๆ แล้วจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาค
ให้ทรงทราบ
ทรงประชุมสงฆ์บัญญัติสิกขาบท
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมีกถาเพราะเรื่องนี้เป็นต้นเหตุ แล้ว
รับสั่งให้ประชุมสงฆ์ ตรัสถามพวกภิกษุฉัพพัคคีย์ว่า ภิกษุทั้งหลาย ทราบว่า พวก
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ [7.เสขิยกัณฑ์] 1.ปริมัณฑลวรรค สิกขาบทที่ 1
เธอครองอันตรวาสกย้อยข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง จริงหรือ พวกภิกษุฉัพพัคคีย์
ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงตำหนิว่า โมฆบุรุษ
ทั้งหลาย ไฉนพวกเธอจึงครองอันตรวาสกย้อยข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้างเล่า
โมฆบุรุษทั้งหลาย การกระทำอย่างนี้ มิได้ทำคนที่ยังไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใส หรือทำ
คนที่เลื่อมใสอยู่แล้วให้เลื่อมใสยิ่งขึ้นได้เลย ฯลฯ แล้วจึงรับสั่งให้ภิกษุทั้งหลายยก
สิกขาบทนี้ขึ้นแสดงดังนี้
พระบัญญัติ
1. พึงทำความสำเหนียกว่า เราจักครองอันตรวาสกให้เรียบร้อย
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ
สิกขาบทวิภังค์
ภิกษุพึงครองอันตรวาสกให้เรียบร้อย คือปิดบริเวณสะดือ บริเวณเข่า
ภิกษุใดไม่เอื้อเฟื้อ ครองอันตรวาสกย้อยข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง ต้อง
อาบัติทุกกฏ
อนาปัตติวาร
ภิกษุต่อไปนี้ไม่ต้องอาบัติ คือ
1. ภิกษุไม่จงใจ 2. ภิกษุไม่มีสติ
3. ภิกษุผู้ไม่รู้ 4. ภิกษุผู้เป็นไข้
5. ภิกษุผู้มีเหตุขัดข้อง 6. ภิกษุวิกลจริต
7. ภิกษุต้นบัญญัติ
สิกขาบทที่ 1 จบ