เมนู

7. เรื่องกระเสือกกระสนเพื่อจะทำลายสงฆ์ [133]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวันทรงปรารภการกระเสือก
กระสนเพื่อจะทำลายสงฆ์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " สุกรานิ " เป็นต้น.

พระเทวทัตพยายามทำลายสงฆ์


ความพิสดารว่า พระเทวทัตกระเสือกกระสนเพื่อจะทำลายสงฆ์ วัน
หนึ่ง เห็นท่านพระอานนท์เที่ยวบิณฑบาตอยู่ บอกความประสงค์ของ
ตนแล้ว. พระเถระฟังข่าวนั้นแล้วไปสู่สำนักของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้
กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า " พระเจ้าข้า เวลาเช้า ข้าพระองค์ครองสบงที่
เวฬุวันนี้แล้ว ถือบาตรจีวรเข้าไปสู่กรุงราชคฤห์เพื่อบิณฑบาต. พระเจ้าข้า
พระเทวทัตได้เห็นข้าพระองค์เที่ยวบิณฑบาตอยู่ในกรุงราชคฤห์แล้วแลตาม
เข้าไปหาข้าพระองค์ ได้กล่าวคำนี้ว่า 'อาวุโส อานนท์ จำเดิมแต่วันนี้
ฉันจักทำอุโบสถและสังฆกรรมแยกจากพระผู้มีพระภาคเจ้า แยกจากภิกษุ
สงฆ์; ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า วันนี้ พระเทวทัตจักทำลายสงฆ์. คือ
จักทำอุโบสถและสังฆกรรม. "

ความดีคนทำง่าย


เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนั้นแล้ว พระศาสดาทรงเปล่ง
พระอุทานว่า:-
" ความดีคนดีทำง่าย, ความดีคนชั่วทำยาก, ความ
คนชั่วทำง่าย, ความชั่วอริยบุคคลทำได้ยาก "

แล้วตรัสว่า " อานนท์ ขึ้นชื่อว่ากรรมอัน ไม่เป็นประโยชน์แก่ตน
ทำได้ง่าย. กรรมอันเป็นประโยชน์แก่ตนทำยากนักหนา " แล้วตรัสพระ-
คาถานี้ว่า:-
7. สุกรานิ อสาธูนิ อตฺตโน อหิตานิ จ
ยํ เว หิตญฺจ สาธุญฺจ ตํ เว ปรมทุกฺกรํ.
" กรรมอันไม่ดีและไม่เป็นประโยชน์แก่ตน คน
ทำง่าย; กรรมใดแลเป็นประโยชน์แก่ตนและดี,
กรรมนั้นแลทำยากอย่างยิ่ง."

แก้อรรถ


ความแห่งพระคาถานั้นว่า :-
" กรรมเหล่าใดไม่ดี คือมีโทษและเป็นไปเพื่ออบาย ชื่อว่าไม่เป็น
ประโยชน์แก่คนเพราะทำนั่นแล กรรมเหล่านั้นทำง่าย. ฝ่ายกรรมใดชื่อ
ว่าเป็นประโยชน์แก่ตนเพราะทำ และชื่อว่าดี ด้วยอรรถว่าหาโทษมิได้คือ
เป็นไปเพื่อสุคติ และเป็นไปเพื่อพระนิพพาน. กรรมนั้นทำแสนยาก
ราวกับทดน้ำแม่คงคาอันไหลไปทิศตะวันออก ทำให้ไหลกลับฉะนั้น. "
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากได้บรรลุโลกุตรผล มีโสดาปัตติ-
ผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องกระเสือกกระสนเพื่อจะทำลายสงฆ์ จบ.

8. เรื่องพระกาลเถระ [134]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระกาลเถระ
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " โย สาสนํ " เป็นต้น.

พระเถระไม่ให้อุปัฏฐายิกาไปฟังธรรม


ดังได้ยินมา หญิงคนหนึ่งในกรุงสาวัตถี ตั้งอยู่ในที่แห่งมารดา
ทำนุบำรุงพระเถระนั้นอยู่. พวกคนในเรือนแห่งผู้คุ้นเคยของหญิงนั้น
ฟังธรรมในสำนักพระศาสดาแล้ว กลับมาเรือนแล้ว สรรเสริญอยู่ว่า
" โอ ชื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอัศจรรย์. โอ พระธรรมเทศนาก็
ไพเราะ. " หญิงนั้น ฟังถ้อยคำของคนพวกนั้นแล้ว จึงบอกแก่พระกาละ
ว่า " ท่านเจ้าข้า ดิฉันอยากจะฟังธรรมเทศนาของพระศาสดาบ้าง. " เธอ
ห้ามเขาว่า " อย่าไปที่นั่นเลย." หญิงนั้นในวันรุ่งขึ้นก็ขออีก แม้อัน
พระกาละนั้นห้ามอยู่ถึง 3 ครั้งก็ยังอยากจะฟังอยู่นั้นแล. มีคำถามสอดเข้า
มาว่า " ก็เหตุไฉน ? เธอจึงได้ห้ามเขาเสีย." แก้ว่า " ได้ยินว่า เธอ
ได้มีความเห็นเช่นนี้ว่า " อุบาสิกานี้ ได้ฟังธรรมในสำนักพระศาสดาแล้ว
จักแตกจากเรา " เหตุนั้น เธอจึงได้ห้ามเขาเสีย.
วันหนึ่ง หญิงนั้นบริโภคอาหารเสร็จสมาทานอุโบสถแล้ว สั่งบุตรี
ไว้ว่า " แม่ จงอังคาสพระผู้เป็นเจ้าให้ดี " แล้วได้ไปวิหารแต่เช้าเทียว.
ฝ่ายบุตรีของเขาก็อังคาสพระกาละโดยเรียบร้อย ในกาลเธอมาถึง เธอ
ถามว่า " อุบาสิกาผู้ใหญ่ไปไหน ? " (นาง) ตอบว่า " ไปวิหารเพื่อฟัง
ธรรม. " เธอพอได้ฟังข่าวนั้น ทุรนทุรายอยู่เพราะความกลัดกลุ้มอันตั้ง
ขึ้นในท้อง (ควรจะเป็น อนฺโต ในภายใน) นึกว่า " เดี๋ยวนี้ อุบาสิกา

นั้นแตกจากเราแล้ว " รีบไป เห็นหญิงนั้นฟังธรรมอยู่ในสำนักพระศาสดา
จึงทูลพระศาสดาว่า " พระเจ้าข้า หญิงคนนี้เขลา ไม่เข้าใจธรรมกถาอัน
ละเอียด. อย่าตรัสธรรมกถาอันละเอียดซึ่งประดับด้วยสภาวธรรมมีขันธ์
เป็นต้น ตรัสแต่เพียงทานกถาหรือสีลกถาแก่เขาก็พอ."

สักการะย่อมฆ่าคนถ่อย


พระศาสดา ทรงทราบอัธยาสัยของเธอแล้ว ตรัสว่า " เธอเป็น
คนปัญญาโฉด อาศัยทิฏฐิอันชั่วช้า ห้ามปรามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า.
เธอพยายามเพื่อฆ่าตนเอง " แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า :-
8. โย สาสนํ อรหตํ อริยานํ ธมฺมชีวินํ
ปฏิกฺโกสิ ทุมฺเมโธ ทิฏฺฐึ นิสฺสาย ปาปิกํ
ผลานิ กณฺฏกสฺเสว อตฺตฆญฺญาย ผลฺลติ.
" บุคคลใดปัญญาโฉด อาศัยทิฏฐิอันชั่วช้า คัด
ค้านคำสั่งสอนของพระอริยบุคคล ผู้อรหันต์ มีปกติ
เป็นอยู่โดยธรรม, บุคคลนั้นย่อมเกิดมาเพื่อฆ่าตน
เหมือนขุยแห่งไม้ไผ่. "

แก้อรรถ


ความแห่งพระคาถานั้นว่า :-
บุคคลใดปัญญาโฉด อาศัยทิฏฐิอันชั่วช้า ห้ามปรามพวกคนผู้
กล่าวอยู่ว่า ' จักฟังธรรมก็ดี.' ว่า ' จักถวายทานก็ดี.' เพราะกลัวแต่
เสื่อมสักการะของตน ชื่อว่าโต้แย้งคำสั่งสอนของพระอริยบุคคลผู้อรหันต์
มีปกติเป็นอยู่โดยธรรม คือพระพุทธเจ้า. การโต้แย้งและทิฏฐิอันเลวทราม
นั้นของบุคคลนั้น ย่อมเป็นเหมือนขุยของไม้มีหนาม กล่าวคือไม้ไผ่,

เหตุนั้น ไม้ไผ่เมื่อตกขุย ย่อมตกเพื่อฆ่าตนเท่านั้น ฉันใด ; แม้บุคคล
นั้นก็ย่อมเกิดมาเพื่อฆ่าตน คือว่าเกิดมาเพื่อผลาญตนเอง ฉันนั้น. สมจริง
แม้คาถาประพันธ์นี้ พระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสไว้ว่า :-
" ผลนั้น แลย่อมฆ่าต้นกล้วยเสีย. ผลนั้นแลย่อม
ฆ่าไม้ไผ่เสีย, ผลนั้นแลย่อมฆ่าไม้อ้อเสีย, ลูกใน
ท้องย่อมฆ่าแม่ม้าอัศดรเสีย ฉันใด, สักการะก็ย่อม
ฆ่าบุรุษถ่อยเสีย ฉันนั้น."

ในเวลาจบเทศนา อุบาสิกาตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล เทศนาได้มี
ประโยชน์แม้เเก่บริษัทผู้ประชุมกันแล้ว ดังนี้แล
เรื่องพระกาลเถระ จบ.

9. เรื่องอุบาสิกาชื่อจุลกาล [135]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภอุบาสกชื่อ
จุลกาล ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " อตฺตนาว กตํ ปาปํ " เป็นต้น.

จุลกาลถูกกล่าวหาว่าเป็นโจร


ความพิสดารว่า วันหนึ่งพวกโจรขุดอุโมงค์ อันเจ้าของทั้งหลาย
ติดตามแล้ว จึงทิ้งห่อภัณฑะไว้ข้างหน้าของอุบาสก ผู้ฟังธรรมกถาใน
วิหารตลอดราตรี เดินออกจากวิหารแต่เช้าตรู่มาสู่กรุงสาวัตถีแล้ว ก็หลบ
หนีไป โดยนัยที่กล่าวแล้วในเรื่องมหากาลนั่นแล. พวกมนุษย์เห็นเข้า
แล้ว พูดว่า " คนนี้ ทำโจรกรรมในราตรีแล้ว ทำทีเหมือนฟังธรรม
เที่ยวไป, ท่านทั้งหลายจงช่วยกันจับมันไว้ ดังนี้แล้ว โบยอุบาสกนั้น.

จุลกาลรอดตายเพราะนางกุมภทาสีช่วย


หมู่นางกุมภทาสี เดินไปท่าน้ำ ประสบเหตุนั้น จึงกล่าวว่า " นาย
ท่านทั้งหลายจงหลีกไป. ท่านผู้นี้ย่อมไม่ทำกรรมเห็นปานนั้น " ดังนี้แล้ว
ให้มนุษย์พวกนั้นปล่อยเขาแล้ว. เขาไปวิหาร บอกแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
" ท่านขอรับ ก็กระผมถูกมนุษย์ทั้งหลายให้ฉิบหายแล้ว. กระผมได้ชีวิต
เพราะอาศัยพวกนางกุมภทาสี. " ภิกษุทั้งหลายกราบทูลความนั้นแด่พระ-
ตถาคต.

จะเศร้าหมองหรือผ่องแผ้วเพราะตน


พระศาสดา ทรงสดับถ้อยคำของภิกษุเหล่านั้นเเล้ว ตรัสว่า " ภิกษุ

ทั้งหลาย จุลกาลอุบาสก ได้ชีวิตเพราะอาศัยพวกนางกุมภทาสี และ
ความที่ตนไม่ใช่ผู้ทำ ; ด้วยว่า ธรรมดาสัตว์เหล่านี้ทำบาปกรรมด้วยตน
แล้ว ย่อมเศร้าหมองด้วยตนเอง ในอบายมีนรกเป็นต้น. ส่วนสัตว์
ทั้งหลายทำกุศลแล้ว ไปสู่สุคติและนิพพาน ย่อมชื่อว่าบริสุทธิ์ได้ด้วยตน
เอง " ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
9. อตฺตนา ว กตํ ปาปํ อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ
อตฺตนา อกตํ ปาปํ อตฺตนา ว วิสุชฺฌติ
สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย.
" บาปอันผู้ใดทำแล้วด้วยตนเอง ผู้นั้นย่อมเศร้า
หมองด้วยตน ; บาปอันผู้ใดไม่ทำด้วยตน, ผู้นั้นย่อม
บริสุทธิ์ด้วยตนเอง ; ความบริสุทธิ์ไม่บริสุทธิ์ เป็น
ของเฉพาะตน, คนอื่นทำคนอื่นให้บริสุทธิ์ไม่ได้. "

แก้อรรถ


ความแห่งพระคาถานั้นว่า :-
อกุศลกรรมเป็นกรรมอันผู้ใดทำแล้วด้วยตน. ผู้นั้นเมื่อเสวยทุกข์
ในอบาย 4 ชื่อว่าเศร้าหมองด้วยตนเอง ; ส่วนบาปอันผู้ใดไม่ได้ทำด้วย
ตน ผู้นั้นเมื่อไปสู่สุคติและนิพพาน ชื่อว่าย่อมบริสุทธิ์ด้วยตนเอง. ความ
บริสุทธิ์กล่าวคือกุศลกรรม และความไม่บริสุทธิ์กล่าวคืออกุศลกรรม เป็น
ของเฉพาะตน คือย่อมเผล็ดผลเฉพาะในตนของสัตว์ผู้ทำทั้งหลาย. บุคคล

อื่นทำบุคคลอื่นให้บริสุทธิ์ไม่ได้ คือให้หมดจดไม่ได้เลย ให้เศร้าหมอง
ไม่ได้เลย. "
ในกาลจบเทศนา จุลกาลตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล. พระธรรม-
เทศนาได้มีประโยชน์แม้เเก่บริษัทผู้ประชุมกัน ดังนี้แล.
เรื่องอุบาสกชื่อจุลกาล จบ.

10. เรื่องพระอัตตทัตถเถระ [136]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระอัตต-
ทัตถเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " อตฺตทตฺถํ ปรตฺเถน " เป็นต้น.

พระเถระพยายามบำเพ็ญประโยชน์


ความพิสดารว่า เมื่อพระศาสดาตรัสในกาลที่จวนจะปรินิพพานว่า
" ภิกษุทั้งหลาย โดยกาลล่วงไป 4 เดือนแต่วันนี้ เราจักปรินิพพาน. "
ภิกษุประมาณ 700 รูปซึ่งยังเป็นปุถุชน เกิดความสังเวช ไม่ละสำนัก
พระศาสดาเยล เที่ยวปรึกษากันว่า " ท่านผู้มีอายุ พวกเราจะทำอะไร
หนอแล ? "
ส่วนพระอัตตทัตถเถระ คิดว่า " ข่าวว่า พระศาสดา จักปรินิพพาน
โดยกาลล่วงไป 4 เดือน. ก็ตัวเรายังเป็นผู้มีราคะไม่ไปปราศ. เมื่อพระ-
ศาสดายังทรงพระชนม์อยู่นี่แหละ เราจักพยายามเพื่อประโยชน์แก่พระ-
อรหัต. " พระเถระนั้น ย่อมไม่ไปสำนักของภิกษุทั้งหลาย. ลำดับนั้น
ภิกษุทั้งหลายกล่าวกะท่านว่า " ผู้มีอายุ ทำไม ? ท่านจึงไม่มาสำนักของ
พวกกระผมเสียเลย. ท่านไม่ปรึกษาอะไร ๆ " ดังนี้แล้ว ก็นำไปสู่สำนัก
พระศาสดา กราบทูลว่า " พระเจ้าข้า ภิกษุรูปนี้ ย่อมทำชื่ออย่างนี้. "
พระอัตตทัตถเถระนั้น แม้พระศาสดาตรัสว่า " เหตุไร ? เธอ
จึงทำอย่างนั้น " ก็กราบทูลว่า " พระเจ้าข้า ข่าวว่า พระองค์จัก
ปรินิพพานโดยกาลล่วงไป 4 เดือน. ข้าพระองค์พยายามเพื่อบรรลุพระ-
อรหัต ในเมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่นี่แหละ."

ผู้ปฏิบัติธรรมชื่อว่าบูชาพระศาสดา


พระศาสดา ประทานสาธุการแก่พระเถระนั้นแล้ว ตรัสว่า " ภิกษุ
ทั้งหลาย ผู้ใดมีความสิเนหาในเรา. ผู้นั้นควรเป็นดุจอัตตทัตถะ ด้วยว่า
ชนทั้งหลายบูชาอยู่ด้วยวัตถุต่าง ๆ มีของหอมเป็นต้น ย่อมไม่ชื่อว่าบูชา
เรา, ส่วนผู้บูชาอยู่ด้วยการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ย่อมชื่อว่าบูชา
เรา; เพราะฉะนั้น แม้ภิกษุรูปอื่นก็พึงเป็นเช่นอัตตทัตถะ " ดังนี้แล้ว
ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
10. อตฺตทตฺถํ ปรตฺเถน พหุนาปิ น หาปเย
อตฺตทตฺถมภิญฺญาย สทตฺถปสุโต สิยา.
" บุคคลไม่พึงยังประโยชน์ของตน ให้เสื่อมเสีย
เพราะประโยชน์ของคนอื่นแม้มาก รู้จักประโยชน์
ของตนแล้ว พึงเป็นผู้ขวนขวายในประโยชน์ของตน."

แก้อรรถ


เนื้อความแห่งพระคาถานั้นว่า.
" บุคคลผู้เป็นคฤหัสถ์ ไม่พึงยังประโยชน์ของตน แม้ประมาณ
กากณิก1หนึ่งให้เสื่อมเสีย เพราะประโยชน์ของคนอื่น แม้ประมาณค่าตั้ง
พันทีเดียว. ด้วยว่าประโยชน์ของตนแห่งบุคคลนั้นแล แม้ประมาณกากณิก
หนึ่ง ก็ยังของควรเคี้ยวหรือของควรบริโภคให้สำเร็จได้, ประโยชน์ของ
คนอื่น หาให้สำเร็จไม่. ส่วนสองบาทพระคาถาเหล่านี้ พระผู้มีพระภาค
เจ้าไม่ตรัสอย่างนั้น ตรัสด้วยหัวข้อแห่งกัมมัฏฐาน. เพราะฉะนั้น ภิกษุ
1. เป็นชื่อของมาตราเงินอย่างต่ำที่สุด แทบไม่มีค่าเสียเลย แต่ในที่นี้ เป็นคุณบทของคำว่า
ประโยชน์ จึงหมายความว่า ประโยชน์ของตนแม้น้อย จนไม่รู้จะประมาณได้ว่าเท่าไหน ก็ไม่
ควรให้เสียไป.

ตั้งใจว่า ' เราจะไม่ยังประโยชน์ของตนให้เสื่อมเสีย ' ดังนี้แล้ว ก็ไม่พึง
ยังกิจมีการปฏิสังขรณ์พระเจดีย์เป็นต้น อันบังเกิดขึ้นแก่สงฆ์ หรือวัตถุมี
อุปัชฌายวัตรเป็นต้นให้เสื่อมเสีย. ด้วยว่าภิกษุบำเพ็ญอภิสมาจาริกวัตร
ให้สมบูรณ์อยู่แล ย่อมทำให้แจ้งซึ่งผลทั้งหลายมีอริยผลเป็นต้น. เพราะ-
ฉันนั้น การบำเพ็ญวัตรให้บริบูรณ์แม้นี้ จึงชื่อว่าเป็นประโยชน์ของตนแท้.
อนึ่ง ภิกษุใด มีวิปัสสนาอันปรารภยิ่งแล้ว ปรารถนาการแทง
ตลอดว่า 'เราจักแทงตลอดในวันนี้ ๆ แหละ ' ดังนี้แล้ว ประพฤติอยู่.
ภิกษุนั้น แม้ยังวัตรมีอุปัชฌายวัตรเป็นต้นให้เสื่อมแล้ว ก็พึงทำกิจของตน
ให้ได้. ก็ภิกษุรู้จักประโยชน์ของตนเห็นปานนั้น คือกำหนดได้ว่า ่นี้
เป็นประโยชน์ตนของเรา ' พึงเป็นผู้เร่งขวนขวาย ประกอบในประโยชน์
ของตนนั้น. "
ในกาลจบเทศนา พระเถระนั้น ได้ตั้งอยู่ในพระอรหัตผล เทศนา
ได้เป็นประโยชน์แม้เเก่ภิกษุผู้ประชุมกันทั้งหลาย ดังนี้แล.
เรื่องพระอัตตทัตถเถระ จบ.
อัตตวรรควรรณนา จบ.
วรรคที่ 12 จบ.