พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอ
นั่งประชุมกันด้วยกถาอะไรหนอ ? " เมื่อภิกษุเหล่านั้น กราบทูลว่า " ด้วย
กถาชื่อนี้ พระเจ้าข้า " ดังนี้แล้วตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะ
มรณภาพไม่สมควรแก่อัตภาพนี้เท่านั้น, แต่เธอถึงมรณภาพสมควรแท้
แก่กรรมที่เธอทำไว้ในกาลก่อน " อันภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า " ก็บุรพ-
กรรมของท่านเป็นอย่างไร ? พระเจ้าข้า " ได้ตรัส (อดีตนิทาน) อย่าง
พิสดาร (ดังต่อไปนี้) :-
บุรพกรรมของพระมหาโมคคัลลานะ
ดังได้สดับมา ในอดีตกาล กุลบุตรผู้หนึ่ง เป็นชาวเมืองพาราณสี
ทำกิจต่าง ๆ มีตำข้าวและหุงต้มเป็นต้นเองทั้งนั้น ปรนนิบัติมารดาบิดา.
ต่อมา มารดาบิดาของเขา พูดกะเขาว่า " พ่อ เจ้าผู้เดียวเท่านั้น
ทำงานทั้งในเรือน ทั้งในป่า ย่อมลำบาก, มารดาบิดาจักนำหญิงสาวคน
หนึ่งมาให้เจ้า," ถูกเขาห้ามว่า ' คุณแม่และคุณพ่อ ผมไม่ต้องการด้วย
หญิงสาวเห็นปานนั้น, ผมจักบำรุงท่านทั้งสองด้วยมือของผมเอง ตราบ
เท่าท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ " ก็อ้อนวอนเขาแล้ว ๆ เล่า ๆ แล้วนำหญิง-
สาวมา (ให้เขา).
หญิงชั่วยุยงผัวฆ่ามารดาบิดา
หญิงนั้นบำรุงแม่ผัวและพ่อผัวได้เพียง 2-3 วันเท่านั้น ภายหลัง
ก็ไม่อยากเห็นท่านทั้งสองนั้นเลย จึงบอกสามีว่า " ฉันไม่อาจอยู่ในที่แห่ง
เดียวกับมารดาบิดาของเธอได้ " ดังนี้แล้ว ติเตียน (ต่าง ๆ นานา) เมื่อ
สามีนั้นไม่เชื่อถ้อยคำของตน, ในเวลาสามีไปภายนอก ถือเอาปอ ก้านปอ
และฟองข้าวยาคู ไปเรี่ยรายไว้ในที่นั้น ๆ (ให้รกรุงรังเลอะเทอะ) สามีมา
แล้ว ก็ถามว่า " นี้ อะไรกัน " ก็บอกว่า " นี่ เป็นกรรมของคนแก่ผู้
บอดเหล่านี้, แกทั้งสองเที่ยวทำเรือนทั่วทุกแห่งให้สกปรก. ฉันไม่อาจ
อยู่ในที่แห่งเดียวกันกับแกทั้งสองนั่นได้.
เชื่อเมียต้องเสียพ่อแม่
เมื่อหญิงนั้น บ่นพร่ำอยู่อย่างนั้น. สัตว์ผู้มีบารมีบำเพ็ญไว้แล้ว
แม้เห็นปานนั้น ก็แตกกับมารดาบิดาได้. เขาพูดว่า " เอาเถอะ, ฉันจักรู้
กรรมที่ควรทำแก่ท่านทั้งสอง " ดังนี้แล้ว เชิญมารดาบิดาให้บริโภคแล้ว
ก็ชักชวนว่า " ข้าแต่พ่อและแม่ พวกญาติในที่ชื่อโน้น หวังการมาของ
ท่านทั้งสองอยู่. ผมจัก (พา) ไปในที่นั้น " ดังนี้แล้ว ให้ท่านทั้งสองขึ้น
สู่ยานน้อยแล้วพาไป ในเวลาถึงกลางดงลวงว่า " คุณพ่อขอรับ ขอพ่อ
จงถือเชือกไว้. โคทั้งสองจักไปด้วยสัญญาแห่งปฏัก, ในที่นี้มีพวกโจรซุ่ม
อยู่, ผมจะลงไป " ดังนี้แล้ว มอบเชือกไว้ในมือของบิดา ลงไปแล้ว
ได้เปลี่ยนเสียงทำให้เป็นเสียงพวกโจรซุ่มอยู่.
มารดาบิดาสิเนหาในบุตรยิ่งกว่าตน
มารดาบิดาได้ยินเสียงนั้น ด้วยสำคัญว่า " พวกโจรซุ่มอยู่ " จึงกล่าว
ว่า " ลูกเอ๋ย แม่และพ่อแก่แล้ว, เจ้าจงรักษาเฉพาะตัวเจ้า (ให้พ้นภัย)
เถิด." เขาทำเสียงดุจโจร ทุบตีมารดาบิดา แม้ผู้ร้องอยู่อย่างนั้นให้ตาย
แล้ว ทิ้งไว้ในดง แล้วกลับไป.
ผลของกรรมชั่วตามสนอง
พระศาสดา ครั้นตรัสบุรพกรรมนี้ของพระมหาโมคคัลลานะนั้นแล้ว
ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะ ทำกรรมประมาณเท่านี้ไหม้ใน
นรกหลายแสนปี, ด้วยวิบากที่ยังเหลือ จึงถูกทุบตีอย่างนั้นนั่นแล ละเอียด
หมด ถึงมรณะ สิ้น 100 อัตภาพ, โมคคัลลานะ ได้มรณะอย่างนี้ ก็พอ
สมแก่กรรมของตนเองแท้. พวกเดียรถีย์ 500 กับโจร 500 ประทุษ-
ร้ายต่อบุตรของเราผู้ไม่ประทุษร้าย ก็ได้มรณะที่เหมาะ (แก่กรรมของเขา)
เหมือนกัน, ด้วยว่า บุคคลผู้ประทุษร้ายต่อบุคคลผู้ไม่ประทุษร้าย ย่อม
ถึงความพินาศฉิบหายด้วยเหตุ 10 ประการเป็นแท้ " ดังนี้แล้ว เมื่อจะ
ทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า
7. โย ทณฺเฑน อทณฺเฑนสุ อปฺปทุฏฺเฐสุ ทุสฺสติ
ทสนฺนมญฺญตรํ ฐานํ ขิปฺปเมว นิคจฺฉติ
เวทนํ ผรุสํ ชานึ สรีรสฺส จ เภทนํ
ครุกํ วาปิ อาพาธํ จิตฺตกฺเขปํ ว ปาปุเณ
ราชฺโต วา อุปสคฺคํ อพฺภกฺขานํ ว ทารุณํ
ปริกฺขยํ ว ญาตีนํ โภคานํ ว ปภงฺคุณํ
อถ วาสฺส อคารานิ อคฺคิ ฑหติ ปาวโก
กายสฺส เภทา ทุปฺปญฺโญ นิรยํ โส อุปปชฺชติ.
" ผู้ใด ประทุษร้ายในท่านผู้ไม่ประทุษร้ายทั้ง
หลาย ผู้ไม่มีอาชญา ด้วยอาชญา ย่อมถึงฐานะ 10
อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งพลันทีเดียว คือ ถึงเวทนา
กล้า 1 ความเสื่อมทรัพย์ 1 ความสลายแห่งสรีระ 1
อาพาธหนัก 1 ความฟุ้งซ่านแห่งจิต 1 ความขัดข้อง
แต่พระราชา 1 การถูกกล่าวตู่อย่างร้ายแรง 1 ความ
ย่อยยับแห่งเครือญาติ 1 ความเสียหายแห่งโภคะ
ทั้งหลาย 1 อีกอย่างหนึ่ง ไฟป่าย่อมไหม้เรือนของ
เขา, ผู้นั้นมีปัญญาทราม เพราะกายแตก ย่อมเข้า
ถึงนรก."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อทณฺเฑสุ ความว่า ในพระขีณาสพ
ทั้งหลาย ผู้เว้น จากอาชญามีอาชญาทางกายเป็นอาทิ.
บทว่า อปฺปทุฏฺเฐสุ ความว่า ผู้ไม่มีความผิดในชนเหล่าอื่น หรือ
ในตน.
บาทพระคาถาว่า ทสนฺนนญฺญตร ฐานํ ความว่า ในเหตุแห่งทุกข์
10 อย่าง ซึ่งเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง.
บทว่า เวทนํ ได้แก่ เวทนากล้า อันต่างด้วยโรคมีโรคในศีรษะ
เป็นต้น.
บทว่า ชานึ ได้แก่ ความเสื่อมทรัพย์ที่ได้โดยยาก.
บทว่า เภทนํ ได้แก่ ความสลายแห่งสรีระมีการตัดมือเป็นต้น.
บทว่า ครุกํ ได้แก่ (หรือ) อาพาธหนักต่างโดยโรคมีโรคอัมพาต1
มีจักษุข้างเดียว เปลี้ย ง่อย และโรคเรื้อนเป็นต้น.
บทว่า จิตฺตกฺเขปํ ได้แก่ ความเป็นบ้า.
บทว่า อุปสคฺคํ ได้แก่ (หรือ) ความขัดข้องแต่พระราชาเป็นต้น
ว่า ถอดยศลดตำแหน่งเสนาบดีเป็นต้น.
บทว่า อพฺภกฺขานํ ความว่า การถูกกล่าวตู่อย่างร้ายแรงเห็นปานนี้
ว่า ' กรรมมีการตัดที่ต่อเป็นต้นนี้ก็ดี, กรรมคือการประพฤติผิดในพระ-
ราชานี้ก็ดี เจ้าทำแล้ว.' ซึ่งตนไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน และไม่เคยคิดเลย.
1. Caralysis โรคเส้นประสาทพิการทำให้เนื้อตัวตาย.
บาทพระคาถาว่า ปริกฺขยํ ว ญาตีนํ ได้แก่ ความย่อยยับแห่ง
เครือญาติ ผู้สามารถเป็นที่พำนักของตน.
บทว่า ปภงฺคุณํ คือ ความเสียหาย ได้แก่ ความผุพังไป. ก็
ข้าวเปลือกในเรือนของเขา ย่อมถึงความผุ. ทองคำถึงความเป็นถ่าน
เพลิง. แก้วมุกดาถึงความเป็นเมล็ดฝ้าย. กหาปณะถึงความเป็นชิ้นกระ-
เบื้องเป็นต้น. สัตว์ 2 เท้า 4 เท้า ถึงความเป็นสัตว์บอดเป็นอาที.
สองบทว่า อคฺคิ ฑหตี ความว่า ในปีหนึ่ง เมื่อไฟผลาญอย่าง
อื่นแม้ไม่มี ไฟคืออสนิบาต ย่อมตกลงเผาผลาญ 2-3 ครั้ง. หรือไฟป่า
ตั้งขึ้นตามธรรมดาของมัน ย่อมไหม้เทียว.
บทว่า นิรยํ เป็นต้น ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า " ผู้นั้น
ย่อมเข้าถึงนรก " ก็เพื่อแสดงฐานะ อันการกบุคคลแม้ถึงฐานะ 10 อย่าง
เหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งในปัจจุบันนี้แล้ว ก็พึงถึงในสัมปรายภพโดยอย่าง
เดียวกัน.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุอริยผลทั้งหลาย มี
โสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องพระมหาโมคคัลลานเถระ จบ.
8. เรื่องภิกษุมีภัณฑะมาก [114]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้มีภัณฑะ
มาก1 ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " น นคฺคจริยา " เป็นต้น.
กุฎุมพีเตรียมเครื่องใช้ก่อนบวช
ได้ยินว่า กุฎุมพีชาวเมืองสาวัตถีผู้หนึ่ง มีภรรยาทำกาละแล้ว จึง
บวช. เขาเมื่อจะบวช ให้สร้างบริเวณ เรือนไฟและห้องเก็บภัณฑะเพื่อตน
บรรจุห้องเก็บภัณฑะแม้ทั้งหมดให้เต็มด้วยวัตถุทั้งหลายมีเนยใสและน้ำมัน
เป็นต้นแล้ว จึงบวช. ก็แล ครั้นบวชแล้วให้เรียกพวกทาสของตน มา
หุงต้มอาหารตามที่ตนชอบใจ แล้วบริโภค. ได้เป็นผู้มีภัณฑะมาก และ
มีบริขารมาก. ผ้านุ่งผ้าห่มในราตรีมีชุดหนึ่ง. กลางวันมีอีกชุดหนึ่ง. อยู่
ในวิหารหลังสุดท้าย.
ถูกพวกภิกษุต่อว่าแล้วนำตัวไปเฝ้าพระศาสดา
วันหนึ่ง เมื่อภิกษุนั้น ตากจีวรและผ้าปูที่นอนอยู่. ภิกษุทั้งหลาย
เดินเที่ยวจาริกไปตามเสนาสนะ2 เห็นแล้ว จึงถามว่า " ผู้มีอายุ จีวรและ
ผ้าปูที่นอนเหล่านี้ของใคร ? " เมื่อเขาตอบว่า " ของผมขอรับ " ดังนี้
แล้ว จึงกล่าวว่า " ผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอนุญาตจีวร (เพียง)
3 ผืน. ก็ท่านบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้มีความปรารถนาน้อย3อย่าง
นี้ (ทำไม) จึงเป็นผู้มีบริขารมากอย่างนี้ " ดังนี้แล้ว ได้นำภิกษุนั้นไปสู่
สำนักพระศาสดา กราบทูลว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุรูปนี้ เป็น
ผู้มีภัณฑะมากเหลือเกิน."
1. สั่งสมสิ่งของ. 2. เสนาสนจาริกํ อาหิณฺฑนฺตา. 3. มังคลัตถทีปนี ทุติยภาค หน้า 271
แก้ศัพท์นี้ว่า ไม่มีความปรารถนา.
พระศาสดาตรัสถาม (ภิกษุนั้น) ว่า "ได้ยินว่า เป็นอย่างนั้น
จริงหรือ ? ภิกษุ " เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า " จริง พระเจ้าข้า " จึงตรัส
ว่า " ภิกษุ ก็เหตุไร เธอ เมื่อเราแสดงธรรมเพื่อความเป็นผู้มีความ
ปรารถนาน้อยแล้ว, จึงกลับเป็นผู้มีภัณฑ์มากอย่างนี้เล่า ? "
ภิกษุนั้นโกรธแล้วด้วยเหตุเพียงเท่านั้นแล คิดว่า " บัดนี้เราจัก
เที่ยวไป โดยทำนองนี้ " ดังนี้แล้ว ทิ้ง (เปลื้อง) ผ้าห่ม มีจีวรตัวเดียว
ได้ยืนอยู่ในท่ามกลางบริษัท.
พระศาสดาให้เธอกลับมีหิริและโอตตัปปะ
ลำดับนั้น พระศาสดา เมื่อจะทรงอุปถัมภ์ภิกษุรูปนั้น จึงตรัสว่า
" ภิกษุ ในกาลก่อน เธอแสวงหาหิริและโอตตัปปะ แม้ในกาลเป็นรากษส
น้ำ ก็แสวงหาหิริโอตตัปปะอยู่ (ถึง) 12 ปี มิใช่หรือ ? (แต่) บัดนี้ เธอ
บวชในพระพุทธศาสนาที่เคารพอย่างนี้แล้ว เปลื้องผ้าห่มละหิริและโอต-
ตัปปะ ยืนอยู่ในท่ามกลางบริษัท 4 เพราะเหตุไร ? "
ภิกษุนั้นฟังพระดำรัสของพระศาสดาแล้ว กลับตั้งหิริและโอต-
ตัปปะขึ้นได้ ห่มจีวรนั้น ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว นั่ง ณ ที่ สมควร
ข้างหนึ่ง.
ภิกษุทั้งหลายทูลขอพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อให้ทรงประกาศ
เนื้อความนั้น. ทีนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำอดีตนิทานมาตรัสว่า:-
บุรพกรรมของภิกษุนั้น
" ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในพระครรภ์
พระอัครมเหสีของพระเจ้าพาราณสี. ในวันขนานพระนามของพระโพธิ-
1. คือ เหลือสบงตัวเดียว เพราะ ติจีวรํ ย่อมหมายผ้า 3 ผืน.
สัตว์นั้น ชนทั้งหลายขนานพระนามของพระองค์ว่า " มหิสสากุมาร.1 "
พระกนิษฐภาดา2ของพระองค์ ได้มีพระนามว่าจันทกุมาร. เมื่อพระชนนี
ของพระราชกุมารทั้งสองนั้น สิ้นพระชนม์แล้ว พระราชาก็ทรงสถาปนา
สตรีอื่นไว้ในตำแหน่งพระอัครมเหสี.
พระนางแม้นั้นประสูติพระราชโอรส (พระองค์หนึ่ง). ชนทั้งหลาย
ขนานพระนามของพระโอรสนั้นว่า " สุริยกุมาร " พระราชาทอดพระ-
เนตรเห็นสุริยกุมารนั้นแล้ว ก็ทรงพอพระทัย ตรัส (พระราชทานพร) ว่า
" เราให้พรแก่บุตรของเธอ. " ฝ่ายพระเทวีนั้นแลกราบทูลว่า " หม่อม
ฉันจักรับเอา ในเวลาที่ต้องการ " ดังนี้แล้ว ในกาลที่พระราชโอรส
เจริญวัยแล้ว จึงทูลพระราชาว่า " ขอเดชะสมมติเทพ พระองค์ได้พระ-
ราชทานพรไว้แล้ว ในเวลาบุตรของหม่อมฉันประสูติ. ขอพระองค์โปรด
พระราชทานราชสมบัติแก่บุตรของหม่อมฉันเถิด. "
พระโพธิสัตว์ต้องเดินไพร
พระราชาแม้ทรงห้ามว่า " บุตรทั้งสองของเรากำลังรุ่งเรืองดุจกอง-
ไฟ เที่ยวไป, เราไม่อาจให้ราชสมบัติแก่สุริยกุมารนั้นได้ (แต่) ทรงเห็น
พระนางยังขืนอ้อนวอนอยู่บ่อย ๆ จึงทรงดำริว่า " นางนี้จะพึงทำแม้ความ
ฉิบหายแก่บุตรของเรา " ดังนี้แล้ว จึงรับสั่งให้เรียกพระราชโอรสทั้งสอง
มา ตรัสว่า " พ่อทั้งสอง พ่อได้ให้พรไว้ในเวลาสุริยกุมารประสูติ. บัดนี้
มารดาของเขา ทูลขอราชสมบัติ. พ่อไม่อยากจะให้แก่เขาเลย มารดา
ของเขา จะพึงทำแม้ความฉิบหายแก่เจ้าทั้งสอง. เจ้าจงไป อยู่ในป่าแล้ว
1. แปลว่า กุมารผู้ซัดไปซึ่งลูกศรใหญ่ ฉบับยุโรปและสิงหลว่า มหิงฺสกกุมาโร. 2. แปลว่า
น้องชาย.
ค่อยกลับมารับราชสมบัติโดยกาลที่พ่อล่วงไป " ดังนี้แล้ว ทรงส่งไป.
สุริยกุมารเล่นอยู่ที่พระลานหลวง เห็นพระราชกุมารทั้งสองนั้น
ถวายบังคมพระราชบิดาแล้วลงจากปราสาท ทราบเหตุนั้นแล้วจึงออกไป
กับพระราชกุมารเหล่านั้นด้วย.
พระราชกุมารทั้งสองถูกรากษสจับไว้
ในกาลที่พระราชกุมารเหล่านั้น เข้าไปสู่หิมวันตประเทศ พระ-
โพธิสัตว์เสด็จแยกออกจากทาง นั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่งแล้วตรัส
กะสุริยกุมารว่า " แน่ะพ่อ เจ้าจงไปสู่สระนั่น อาบน้ำและดื่มน้ำแล้ว
จงเอาใบบัวนำน้ำมาเพื่อพี่ทั้งสองบ้าง. " ก็สระนั้น เป็นสระที่รากษสน้ำ1ตน
หนึ่งได้จากสำนักแห่งท้าวเวสวัณ. ก็ท้าวเวสวัณรับสั่งกะรากษสน้ำนั้นว่า
" เว้นชนผู้รู้เทวธรรมเท่านั้น ชนเหล่าอื่นลงสู่สระนี้, เจ้าย่อมได้เพื่อเคี้ยว
กินชนเหล่านั้น. " ตั้งแต่นั้นมา รากษสน้ำนั้นถามเทวธรรมกะคนผู้ลง
แล้ว ๆ ลงสู่สระนั้น ย่อมเคี้ยวกินคนผู้ไม่รู้อยู่.
ฝ่ายสุริยกุมาร มิทันพิจารณาสระนั้น ลงไป, และถูกรากษสนั้น
ถามว่า " ท่านรู้เทวธรรมหรือ ? " ก็ตอบว่า " พระจันทร์และพระอาทิตย์
ชื่อว่าเทวธรรม. " ลำดับนั้น รากษสกล่าวกะสุริยกุมารนั้นว่า " ท่านไม่
รู้เทวธรรม. " แล้วก็ฉุดลงน้ำไปพักไว้ในภพของตน.
ส่วนพระโพธิสัตว์ เห็นสุริยกุมารนั้นช้าอยู่ จึงส่งจันทกุมารไป
แม้จันทกุมารนั้น ถูกรากษสนั้นถามว่า " ท่านรู้เทวธรรมหรือ ? " ก็ตอบ
ว่า " ทิศ 4 ชื่อว่า เทวธรรม, " รากษสน้ำก็ฉุดแม้จันทกุมารนั้นลงน้ำ
ไปพักไว้อย่างนั้นเหมือนกัน.
1. ปทานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2470 ว่า รากษส (รากสด) ยักษ์ ผีเสื้อน้ำ เป็น
ชื่อพวกอสูรอย่างเลว มีนิสัยดุร้าย ชอบเที่ยวตามป่า ทำลายพิธีและคน.
พระโพธิสัตว์แสดงเทวธรรมแก่รากษส
พระโพธิสัตว์แม้เมื่อจันทกุมารนั้นเช้าอยู่ จึงคิดว่า "อันตรายจะ
พึงมี" ดังนี้แล้ว จึงไปเอง เห็นรอย (เท้า) ลงแห่งกุมารแม้ทั้งสองแล้ว
ก็ทราบว่า "สระนี้มีรากษสรักษา" จึงสอดพระขรรค์ไว้ ถือธนูได้ยืน
แล้ว. รากษสเห็นพระโพธิสัตว์นั้นไม่ลง (สู่สระ) จึงแปลงเพศเป็นชาย
ชาวป่า มากล่าวปราศรัยว่า "ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านเดินทางอ่อนเพลีย
ทำไม จึงไม่ลงสู่สระนี้ อาบน้ำ, ดื่มน้ำ, เคี้ยวกินเหง้าบัว ประดับดอกไม้
แล้ว จึงไปเปล่า ?"
พระโพธิสัตว์พอเห็นบุรุษนั้นก็ทราบได้ว่า "ผู้นี้เป็นยักษ์" จึง
กล่าวว่า "ท่านจับเอาน้องชายทั้งสองของข้าพเจ้าไว้หรือ ?"
ยักษ์. เออ ข้าพเจ้าจับไว้.
โพธิสัตว์. จับไว้ทำไม ?
ยักษ์. ข้าพเจ้า ย่อมได้ (เพื่อกิน) ผู้ลงสู่สระนี้.
โพธิสัตว์. ก็ท่านย่อมได้ทุกคนเทียวหรือ ?
ยักษ์. เว้นผู้รู้เทวธรรม คนที่เหลือ ข้าพเจ้าย่อมได้.
โพธิสัตว์. ก็ท่านมีความต้องการด้วยเทวธรรมหรือ ?
ยักษ์. ข้าพเจ้ามีความต้องการ.
โพธิสัตว์. ข้าพเจ้าจักกล่าว (ให้ท่านฟัง).
ยักษ์. ถ้ากระนั้น ขอท่านจงกล่าวเถิด.
โพธิสัตว์. ข้าพเจ้ามีตัวสกปรก ไม่อาจกล่าวได้.
ยักษ์ให้พระโพธิสัตว์อาบน้ำ ให้ดื่มน้ำอันควรดื่ม ตบแต่งแล้ว
เชิญขึ้นสู่บัลลังก์ ในท่ามกลางมณฑปอันแต่งไว้ ตัวเองหมอบอยู่แทบ
บาทมูลของพระโพธิสัตว์นั้น.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์บอกกะยักษ์นั้นว่า "ท่านจงฟังโดยเคารพ"
ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
"นักปราชญ์ เรียกคนผู้ถึงพร้อมด้วยหิริและ
โอตตัปปะ ตั้งมั่นดีแล้วในธรรมขาว เป็นผู้สงบเป็น
สัตบุรุษในโลกว่า 'ผู้ทรงเทวธรรม."
ยักษ์ฟังธรรมเทศนานี้แล้วเลื่อมใส กล่าวกะพระโพธิสัตว์ว่า
" ท่านบัณฑิต ข้าพเจ้าเลื่อมใสต่อท่านแล้ว จะให้น้องชายคนหนึ่ง, จะนำ
คนไหนมา ?"
โพธิสัตว์. จงนำน้องชายคนเล็กมา.
ยักษ์. ท่านบัณฑิต ท่านรู้เทวธรรมอย่างเดียวเท่านั้น, แต่ท่านไม่
ประพฤติในเทวธรรมเหล่านั้น.
โพธิสัตว์. เพราะเหตุไร ?
ยักษ์. เพราะท่านให้นำน้องชายคนเล็กมาเว้นคนโตเสีย ย่อมไม่
ชื่อว่าทำอปจายิกกรรม1ต่อผู้เจริญ.
พระโพธิสัตว์ทั้งรู้ทั้งพฤติเทวธรรม
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า "ยักษ์ เรารู้ทั้งเทวธรรม, ทั้งประพฤติใน
เทวธรรมนั้น, เพราะเราอาศัยน้องชายคนเล็กนั่น พวกเราจึงต้องเข้าป่า
นี้, เหตุว่า มารดาของน้องชายนั่น ทูลขอราชสมบัติกะพระราชบิดาของ
เราทั้งสอง เพื่อประโยชน์แก่น้องชายนั้น, ก็พระบิดาของเราไม่พระราช-
ทานพรนั้น ทรงอนุญาตการอยู่ป่า เพื่อประโยชน์แก่การตามรักษาเรา
1. กรรมคือการทำความอ่อนน้อม.